บทที่ 167 ดูดซับ (1)
ตึงๆๆ…
เสียงตีกลองอันเร่งร้อนดังขึ้นในพันธมิตรบู๊ นี่เป็นการแจ้งเตือน เสียงวิ่งของสมาชิกจำนวนมากดังออกมา
ผู้คุมจัตุรัสแดงเลียริมฝีปาก
“คนธรรมดามักดิ้นรนโดยไร้ความกลัวเกรง”
เปรี้ยง!
องครักษ์พันธมิตรบู๊ที่เมื่อครู่หนีออกไปไกลแล้ว ตอนนี้พลันตัวระเบิด ทรวงอกของพวกเขาเหมือนถูกคนใช้ดาบฟันเฉียงๆ ใส่ หนีไปไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ล้มฮวบลงกับพื้น
“มารปีศาจ! มารปีศาจมาแล้ว!”
“รีบไปเชิญท่านผู้นำ!”
คนที่ปั่นป่วนกระจัดกระจายไปทั่ว พันธมิตรบู๊เหมือนกับนกกระจอกแตกรัง พากันหลบหนี ไม่มีคนคิดต่อสู้สักคนเดียว
ผู้คุมจัตุรัสแดงเบะปากอย่างเบื่อหน่าย เดินออกจากหลุม มุ่งตรงไปยังหอตรงกลาง
ฟิ้ว!
ในตอนนี้เอง มีชายชราหลายคนพุ่งมากลางอากาศ โจมตีจากด้านหลังของนางอย่างไร้สุ้มเสียง คิดลอบโจมตี
ฟุ่บ!
ประกายโลหิตกระจาย ผู้คุมจัตุรัสไม่ได้ทำอะไร เพียงเยื้องย่างไปด้านหน้าอย่างเงียบๆ เงาร่างหลายสายที่พุ่งมาด้านข้างนางระเบิดแหลกเหลว ปลิวกระเด็นออกไป บนร่างปรากฏรอยดาบน่ากลัวขึ้นหลายสาย
ละอองเลือดหลายกลุ่มวนเวียนอยู่รอบตัวนาง เหมือนกับพลุที่ระเบิดอย่างยิ่งใหญ่
ผู้คุมจัตุรัสแดงเดินไปตรงกลางพันธมิตรบู๊อย่างมาดมั่น ด้วยประสบการณ์ของนาง ตรงกลางสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ ปกติจะเป็นส่วนแกนหลัก
“รีบไป!” คนสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ในมือถืออาวุธหนักเช่นลูกตุ้ม เหล็กท่อนคู่ ขวาน ระดมทุบใส่นาง
บนใบหน้าพวกเขามีความองอาจหาญกล้าขณะพุ่งเข้ามาเอง เพื่อปกป้องเหล่าสหาย
แต่ก็ไร้ประโยชน์
เปรี้ยง!
เงาร่างที่โจมตีมาเหล่านั้นระเบิดอยู่ข้างตัวนางอีกครั้ง จากนั้นก็กระเด็นออกไป บนผิวหนังมีรอยดาบขนาดใหญ่
ตูมๆๆ!
ซากศพจำนวนมากล้มลงรอบๆ บางส่วนกระแทกกับประตูไม้กับเสาหินจนพังทลาย เลือดสาดกระจายไปทั่ว
ผู้คุมจัตุรัสแดงเดินไปตรงกลางทีละก้าวๆ ในแดนเหนือไม่มีใครต้านทานนางได้
ตระกูลซั่งหยางทำไม่ได้ จวนอู๋โยวก็ทำไม่ได้!
ที่แห่งนี้นางไร้คู่ต่อกร
“รอเดี๋ยว!” ทันใดนั้นเงาดำสายหนึ่งแวบผ่าน โผล่ขึ้นมาด้านหน้านาง
เคร้ง!
พริบตานั้น เงาที่พร่ามัวของมีดสายหนึ่งวูบขึ้น เงาดำที่ด้านหน้าเหมือนถูกสายฟ้าผ่าใส่ กระเด็นออกไป ลากพื้นเป็นรอยไหม้เกรียมยาว
หมับ!
เงาดำกระอักเลือดออกมา ยกมือกุมอก
“ผู้คุมจัตุรัสแดง!” เย่หลิงม่อตั้งหลักอย่างทุลักทุเล ถูกดาบฟันใส่โดยอธิบายไม่ได้ เกือบแสดงสภาพน่าอนาถ นี่ทำให้เขาเสียหน้า ขณะเดียวกันเลือดลมในกายพลุ่งพล่าน ตระหนกในพลังของอีกฝ่าย
“…ท่านนี่เอง” ผู้คุมจัตุรัสแดงใบหน้าไร้อารมณ์ “หลีกไป ไม่อย่างนั้นจะฆ่าท่านด้วย”
“ท่านฆ่าคนหมดแบบนี้ มีประโยชน์ใดต่อการตรวจสอบสถานการณ์ของข้า!?” เย่หลิงม่อกล่าวอย่างจนใจ
“แล้วจะเป็นไร กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนตรวจสอบง่ายกว่า” ผู้คุมจัตุรัสแดงกล่าวราบเรียบ สายตาเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะทำอะไรต้องให้ท่านมาสั่งสอนหรือ”
เย่หลิงม่อตัวสั่น ไม่กล้าพูดอีก พลังของผู้คุมจัตุรัสแดงเหนือความคาดหมายของเขา ต่อให้ข้อดีของเขาไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ซึ่งหน้า แต่ถูกดาบฟันปลิวในการต่อสู้ระดับเดียวกัน ก็ออกจะเสียหน้าไปแล้ว
“ไม่กล้า ผู้แซ่เย่เพียงคิดจะเตือนสติผู้คุมจัตุรัส การแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้สุดท้ายอาจไม่ได้อะไรเลย” เขาสะกดเพลิงโทสะ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ผู้คุมจัตุรัสแดงชะงักฝีเท้า
เย่หลิงม่อเห็นว่าได้ผล ก็รีบพูดต่อ
“ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คุมจัตุรัสเคลื่อนไหวโจ่งแจ้งเกินไป ต่อให้ครั้งนี้เจอเบาะแส ที่อื่นๆ ต่อจากนี้คนร้ายหลังฉากจะต้องรู้ตัวแน่ ความยากในการตรวจสอบจะเพิ่มขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นท่านว่าข้าควรทำอย่างไร” ผู้คุมจัตุรัสดวงตาอันตรายมากขึ้น
“ไปหาขุนนางตรวจการของแดนเหนือหลังตรวจสอบที่นี่เสร็จ พวกเราใช้ขุมกำลังทั้งหมดที่ใช้ได้” เย่หลิงม่อพูดรัวเร็ว
เขารู้ว่าผู้คุมจัตุรัสแดงรอดมาจากเรื่องภัยพิบัติมังกรสีชาด มีขุมกำลังที่แย่งชิงภัยพิบัติมังกรสีชาดมากมาย นางยังแย่งมาได้ชิ้นหนึ่ง ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตนคิดแน่
“ส่วนที่นี่ จวนอู๋โยวของข้าอยู่นี่ และมีสายลับบางส่วน” เย่หลิงม่อกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าพบเบาะแสที่ไม่นับเป็นเบาะแสอย่างหนึ่งจากพวกเขา… เกรงว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องที่แน่นอนกับตระกูลซั่งหยาง”
“ตระกูลซั่งหยาง…” ผู้คุมตรอกแดงสายตาเคร่งเครียด
…
บนถนนตอนกลางคืน ลู่เซิ่งขี่ม้าตัวใหญ่ ถือคัมภีร์ลับที่จางอู่หยามอบให้พลางอ่านอย่างตั้งใจ
นี่เป็นวิทยายุทธ์ระดับพลังปลอดโปร่ง แม้สำหรับเขาในตอนนี้ระดับจะต่ำเกินไป แต่สุดท้ายก็มีส่วนที่เรียนรู้ได้
เขาวางแผนว่าหลังจากรวบรวมวรยุทธ์เสร็จแล้ว จะดูว่าสามารถเร่งการลอกคราบของปราณภายในด้านในร่างกายได้หรือไม่
ผู้คุมจัตุรัสแดงกับเย่หลิงม่อมอบแรงกดดันให้เขาไม่น้อย เขารู้สึกได้ว่า เย่หลิงม่อคนเดียวตนยังรับมือไม่ได้ หากแต่นี่ยังรวมกับผู้คุมจัตุรัสแดงที่แข็งแกร่งกว่าอีกคน…
ถ้าไม่รีบลอกคราบ เกิดถูกสืบเจอ ต่อให้เป็นซั่งหยางจิ่วหลี่ก็คุ้มครองเขาไม่ได้
‘แต่ว่าด่านนี้ไม่ใช่ว่าทำไปแบบปกติก็จะเลื่อนระดับได้’ ลู่เซิ่งความคิดทำงานเร็วจี๋ ตอนที่ร่างกายยังอยู่ในช่วงลอกคราบ คิดจะต้านทานผู้คุมจัตุรัสแดงกับเย่หลิงม่อคนใดคนหนึ่ง เกรงว่าต้องพึ่งปราณภายใน
‘สิ่งที่มีความหวังมากที่สุดคือข่ายกระเรียนหยิน ส่วนปราณหยิน…’ ปราณหยินตอนนี้ใช้ไปหมดเกลี้ยงแล้ว แต่ข่ายกระเรียนหยินกลับดูดปราณภายในจากยอดฝีมือวิทยายุทธ์ที่สู้ด้วยได้
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
‘ถ้ายังไม่สำเร็จอีก จะยกระดับพลังเร็วๆ…’ เขาพลันนึกถึงแผนที่ของยาล้ำค่าที่หลี่ซุ่นซีทิ้งไว้
‘หลังจัดหาที่อยู่ให้คนอื่นๆ ก็เริ่มเร่งเก็บรวบรวมยาล้ำค่า ผู้คุมจัตุรัสแดงไม่ได้ตรวจสอบเร็วมากนัก แต่ก็เหลือเวลาไม่มากแล้วเหมือนกัน’
ลู่เซิ่งร้อนใจอยู่บ้าง
พั่บๆ
เสียงกระพือปีกของนกดังขึ้นเบามาก สวีชุยรุดมาจากด้านหลัง
“ประมุขพรรค จดหมายของท่าน” เขาถือม้วนกระดาษที่เป็นจดหมายกระดาษสีแดงม้วนหนึ่ง มองดูก็รู้ว่าเป็นม้วนกระดาษที่มัดติดกับขานกพิราบ
ลู่เซิ่งรับมาเปิดอ่าน แล้วกำมือ ม้วนกระดาษพลันลุกไหม้ ไม่ทันไรก็กลายเป็นผงดำหายไป
เป็นข่าวจากสตรีกางร่ม ผู้คุมจัตุรัสแดงถึงพันธมิตรบู๊แล้ว
“เร่งความเร็ว!” ลู่เซิ่งพลันพูดอย่างเร่งร้อน
จงอวิ๋นซิ่วมาจากด้านหลัง ใบหน้าฉายแววสงสัย
“ประมุขพรรค เกิดเรื่องอะไรหรือ”
ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พยักหน้าอย่างจริงจัง
“พันธมิตรบู๊ถูกจู่โจม ผู้คุมจัตุรัสแดงกับยอดฝีมือของจวนอู๋โยวเข่นฆ่าเข้าไปแล้ว เกรงว่าตอนนี้…”
หน้างามของจงอวิ๋นซิ่วฉายแววตื่นตระหนก นางอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ครู่ต่อมา นางค่อยๆ ได้สติ กำมือแน่น
นางไม่คิดว่าลู่เซิ่งจะพาคนของจวนอู๋โยวมาด้วย นับตั้งแต่เรื่องสายลับ ที่อยู่ของพันธมิตรบู๊ความจริงก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
พวกจางอู๋หยารีบมารวมตัวกัน
“พันธมิตรบู๊ถูกจู่โจม?!” พวกเขาเป็นคนที่มีประสาทสัมผัสฉับไว ตอนลู่เซิ่งเล่าก็ไม่ได้ปกปิด ย่อมได้ยิน
“กลัวอะไร! พวกเราพาคนออกมาแล้ว ที่เหลือ หากไม่ใช่สายลับก็เป็นคนโง่เขลา ตายๆ ไปก็ดี พันธมิตรบู๊ไม่ควรเป็นแบบนี้มานานแล้ว วันๆ เอาแต่หลบหนี ข้าก่วนเนี่ยนไม่ทนแล้ว!” ก่วนเนี่ยนโยนถุงน้ำลงบนพื้นอย่างเดือดดาล
“ท่านไม่เข้าใจ…ไม่เข้าใจ…” จางอู่หยาสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ผู้อาวุโสระดับเอกะฟ้าที่เหลืออีกหลายคนประคองเขาพร้อมกล่าวขออภัย แล้วกลับไป
จงอวิ๋นซิ่วสีหน้าซีดขาว เงียบเสียงลง “ประมุขพรรคลู่ ไม่ทราบว่าตอนนี้พันธมิตรบู๊มีสถานการณ์เป็นอย่างไร ถูกจู่โจมเสียหายขนาดไหน..”
ลู่เซิ่งส่ายหน้ายิ้มหนักใจ
“เย่หลิงม่อรองประมุขจวนอู๋โยว กับผู้คุมจัตุรัสแดงลงมือเอง…” คำพูดต่อจากนั้นไม่ได้พูดต่อ แต่ก็ทราบบทสรุปได้อย่างง่ายดาย
จงอวิ๋นซิ่วจากไป กลับไปถึงเกวียนเทียมวัวด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย
ก่วนเนี่ยนรั้งอยู่คนเดียว ให้พี่น้องสองสามคนกลับไปบรรเทาการกระทบกระเทือนจิตใจจากการได้รับข่าวนี้
“ฐานที่มั่นนี้พวกเราใช้กันมาเป็นสิบกว่าปี ตอนนี้เกิดเรื่องอย่างง่ายดาย” ก่วนเนี่ยนยิ้มเย็นชา “พวกหัวแข็งเหล่านั้น ขยะที่เอาแต่ใส่ร้ายว่าพวกเรามีปัญหาจบสิ้นหมดแล้ว เช่นนี้ก็ดี ครั้งนี้สบายแล้วกระมัง”
เขาเว้นเล็กน้อย เงยหน้าพิจารณาลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
“ประมุขพรรคลู่ ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ช่วยพวกเราโดยไม่หวังผลตอบแทน เรื่องน้องซุ่นซีพวกเราจัดการไม่ดีจริงๆ ตอนนี้พันธมิตรบู๊ง่อนแง่นกลางลมฝน หลังจากข้ากับจงอวิ๋นซิ่วจัดการความเข้าใจผิดกันแล้ว ได้ยินนางบอกว่าท่านใช้วิธีแยกแยะว่าคนของพวกเราเป็นสายลับได้หรือ”
“ทำได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า “แต่อีกฝ่ายต้องปลดเยื่อดำ”
“ปลดเยื่อดำ…” ก่วนเนี่ยนสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เยื่อดำเป็นที่พึ่งใหญ่สุดซึ่งพวกเขาใช้ดำรงชีวิต การปลดออกโดยพื้นฐานแล้วคือการฝากความปลอดภัยของตัวเองไว้ในมืออีกฝ่าย
“ข้า…ขอคิดดูก่อน”
ลู่เซิ่งก็ไม่ได้บังคับ เพียงมองก่วนเนี่ยนหมุนตัวกลับเกวียนเทียมวัวของตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขบวนรถหมดเวลาพักผ่อนพอดี จึงรุดออกเดินทางต่อ
จนกระทั่งถึงเช้า ขบวนจึงถึงหุบเขาแห่งใหม่ในที่สุด
น้ำตกสีขาวขนาดใหญ่สายหนึ่งตกลงมา ตรงข้ามน้ำตกเป็นลำธาร ป่าเขา และหาดหินที่กว้างขวาง
หุบเขาตั้งอยู่ระหว่างหาดหินกับป่าเขา ป่าไม้ขนาดยักษ์ที่สูงใหญ่เก่าแก่ผืนหนึ่งห้อมล้อม
ลู่เซิ่งให้คนสร้างบ้านไม้อย่างง่ายๆ ส่วนหนึ่งขึ้นที่นี่ไว้แล้ว ตอนนี้หลังจากพาคนของพันธมิตรบู๊มาถึง ก็เอาธัญญาหาร เนื้อแห้ง และผักที่เก็บไว้ในถ้ำใกล้ๆ ออกมา ก่อนจะมอบหน้าที่ทั้งหมดให้จางอู่หยา
ระหว่างทาง หลังคุยกับพวกจางอู่หยาอย่างละเอียด แม้ลู่เซิ่งจะยังกล่อมให้ระดับเอกะฟ้าทั้งหมดมาอยู่ใต้การบัญชาการของตนได้ แต่ว่าในหมู่เอกะฟ้าสิบกว่าคน อย่างน้อยก็มีสามคนที่หวั่นไหว กำลังลังเล
ทั้งสามคนนี้เป็นคนรักสงบ ส่วนใหญ่ศึกษาวรยุทธ์และยาในพันธมิตรบู๊ ไม่ชอบต่อสู้
ลู่เซิ่งกำลังอยากได้คนเก่งๆ แบบนี้อยู่พอดี
หลังจัดหาที่พักให้คนจากพันธมิตรบู๊เสร็จ เขาก็ไม่ได้รีบร้อน ตอนนี้การใช้ชีวิตทั้งหมดของพันธมิตรบู๊ต่างอาศัยเขากับพรรควาฬแดง ของดีในมือพวกเขาต้องเอามาได้ทั้งหมดในสักวัน
เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการย่นเวลาหรือทำให้ช่วงลอกคราบหายไป วิธีการย่นเวลาและวิธีการทำให้ช่วงลอกคราบหายไปที่ลู่เซิ่งนึกออกได้วิธีเดียว คือยา
ใช้ยาที่แข็งแกร่งประเภทเร่งการเผาผลาญของร่างกายมาเพิ่มความเร็วให้แก่ช่วงลอกคราบ ถึงแม้ยาแบบนี้มักมีผลข้างเคียง แต่ลู่เซิ่งไม่สนใจ เขาฝึกฝนปราณหยินหยางขวดสมบัติที่รวบรวมวิชาหล่อเลี้ยงชีวิต ปัจจุบันสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า ตนเองจะอายุยืนกว่าคนทั่วไป
ลู่เซิ่งพอกลับถึงพรรค ก็ไปยังห้องหนังสือ หยิบแผนที่ยาล้ำค่าที่หลี่ซุ่นซีมอบให้ออกจากช่องลับด้านหลังชั้นหนังสือ
……………………………………….