บทที่ 169 ดูดซับ (3)
ลู่เซิ่งยกชายชราเดินออกไปไม่ไกล ก็นั่งลงตรงข้างห้องขังที่กลิ่นค่อนข้างสะอาด
จากนั้นก็ยัดยาที่สมาคมหทัยร่อนเร่ส่งให้ ใส่เข้าปากชายชราตอนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
ลู่เซิ่งไม่มองใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงเลือดหมูของชายชรา
“กินซะ ให้ข้าดูผลลัพธ์หน่อย…”
เขายื่นมือออกมาทาบบนทรวงอกของชายชรา ปราณหยินหยางขวดสมบัติที่บริสุทธิ์หลายสายซึมเข้าไปในร่างอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เริ่มรุกรานแผ่ขยายไปทั่วทั้งตัวชายชราด้วยความเร็วสูง
ข่ายกระเรียนหยินที่เล็กละเอียดคลุมเครือก่อร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังค่อยๆ ชักนำปราณภายในอันมหาศาลแต่เดิมของชายชราเข้าไปด้านใน
นี่เป็นวิธีใช้คนอื่นๆ ทดลองยาของลู่เซิ่ง ถ้าได้ผลจริงๆ เขาจะดูดซับปราณภายในที่เพิ่มมาผ่านข่ายกระเรียนหยินโดยไม่เสียอะไรเลย
หนำซ้ำในห้องขังมีนักโทษคดีอุกฉกรรจ์จำนวนมาก ทำให้ลู่เซิ่งเกิดความคิดหนึ่ง ยอดฝีมือในห้องขังเหล่านี้สามารถกลายเป็นของบำรุงสำหรับยกระดับพลังฝึกปรือและปราณภายในของเขาได้โดยสมบูรณ์
แค่คุกชั้นที่สี่ก็คุมขังนักโทษยี่สิบสามสิบคนแล้ว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกขังมาหลายสิบปี อีกไม่นานก็จะตาย
ถึงอย่างไรนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ชั้นที่สี่ก็ต้องตายในสักวัน ลู่เซิ่งคิดใช้ข่ายกระเรียนหยินดูดซับปราณภายในของพวกเขาจนแห้งเหือดเหมือนเอาขยะมาใช้ประโยชน์
เขาคาดหวังอยู่บ้างว่าหลังจากดูดซับปราณภายในของยอดฝีมือเหล่านี้จนแห้งเหือด พลังฝึกปรือและปราณภายในของตัวเองจะบรรลุระดับใด
หลังจากยาเข้าไปในปาก ชายชราก็เริ่มตัวสั่น ไอความร้อนจำนวนมากระเหยออกมาจากศีรษะ หลอดเลือดสีแดงมากมายนูนขึ้นบนผิวหนัง
พรู่ด!
ทันใดนั้น ชายชรากระอักเลือดออกมา ปราณภายในที่ไม่อาจควบคุมได้หลายสายในร่างกระเพื่อมและระเหยอย่างรุนแรง
ลู่เซิ่งสองตาเป็นประกาย ยื่นมือไปทาบบนหน้าผากของเขา ปราณหยินหยางขวดสมบัติซึมเข้าสู่ร่างอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ปราณภายในเพิ่งเข้าไปในร่างของชายชรา ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกลายเป็นถังดินระเบิด พร้อมจะระเบิดทุกเวลา
ปราณภายในจำนวนมากเหมือนกับน้ำพุ พวยพุ่งออกจากส่วนกระเพาะของชายชราอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะกระจายไปยังเส้นลมปราณที่แขนขา
ถ้าหากร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากพอ หลังกินยาแบบนี้อีกหลายสิบเม็ด ก็อาจบรรลุระดับควบแน่นปราณภายใน แต่อนิจจากายเนื้อของชายชราอ่อนแอเกินไป
แค่ยาเปลี่ยนเป็นปราณภายในร้อยกว่าปี เขาก็รับไม่ไหวแล้ว
“ช่วย…ช่วยด้วย…!” ชายชราตาถลน ริ้วเลือดกระจายเต็มนัยน์ตา
ข่ายกระเรียนหยินประกอบขึ้นในร่างของอีกฝ่าย ลู่เซิ่งรอคอยเงียบๆ ผ่านไปราวสิบอึดใจกว่าๆ
ซู้ด…!
ในเสียงดูดปราณที่ระคายหูเล็กน้อย ชายชราร่างสั่น ตาเหลือกแล้วสิ้นสติไป ปราณภายในจำนวนมากถูกข่ายกระเรียนหยินชักนำออกมาราวกับน้ำพุ ไหลตามฝ่ามือเข้าสู่ร่างลู่เซิ่ง
ปราณภายในธาตุหยางมากกว่าร้อยปีของชายชราถูกดูดซับกลืนกินจนเกือบหมดในเวลาสั้นๆ
ลู่เซิ่งปล่อยตัวชายชรา สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ปราณภายในจำนวนมากในร่างโคจรอย่างบ้าคลั่ง เปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วสูงในข่ายกระเรียนหยิน ปราณภายในที่ไม่สอดรับกับลมปราณของตัวเองทั้งหมดเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้วยการโคจรอย่างรวดเร็ว แล้วกลายเป็นปราณภายในของตัวเขา
เวลาผ่านไป ลู่เซิ่งตัวสั่น ปราณเหลวของปราณขวดสมบัติหยดใหม่หยดหนึ่งค่อยๆ รวมตัวกันที่ทรวงอก
ของเหลวหยดนี้เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาเพราะปราณภายในทั่วร่างชายชรารวมตัวกับยา
‘อัตราการเปลี่ยนแปลง…ถือว่าใช้ได้ ก่อนหน้านี้ตอนข่ายกระเรียนหยินเป็นรูปเป็นร่างน่าจะมาดูดปราณภายในที่นี่ แต่คิดได้ในตอนนี้ก็ยังไม่สาย’
ลู่เซิ่งยืนขึ้น ไม่สนใจชายชราที่หมดเรี่ยวแรงบนพื้น เดินไปยังห้องขังห้องอื่นในคุกใต้น้ำต่อ
เขาต้องหานักโทษจำนวนมากกว่านี้มาดูดปราณภายใน
ระหว่างทางก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ห้องขังแต่ละห้องส่วนใหญ่เหลือแต่ศพ ศพที่บวมอืด มีคนเป็นๆ ส่วนหนึ่ง แต่เลือดลมแห้งเหือด ใกล้จะตายแล้ว ทั้งยังคลุ้มๆ คลั่งๆ สู้ชายชราคนก่อนหน้าไม่ได้
ลู่เซิ่งเดาว่าชายชราคนนั้นน่าจะเป็นคนที่สุดท้ายที่ถูกขัง จึงรักษาพลังชีวิตส่วนหนึ่งไว้ได้
เขาวนรอบห้องขังทั้งหมดรอบหนึ่ง ในห้องขังเหลือคนแค่สิบกว่าคน มีนักโทษห้าคนที่ยังนับว่าปราณภายในเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ คนที่เหลือใกล้ตาย สารจำเป็น ปราณ จิตถูกใช้ไปพอประมาณ ปราณภายในยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“คนที่สอง”
นักโทษในห้องขังที่เลือกเป็นคนที่สอง คือสตรีร่างผอมแห้ง แต่สองตาเป็นประกายอย่างน่าประหลาด
นางไม่สวมเสื้อผ้า คราบน้ำสีดำหนาบนตัว ทำให้คนไม่นึกถึงความยั่วยวนชวนลุ่มหลงแม้แต่น้อย
นางผมกระเซิง เงยหน้ามองลู่เซิ่ง ประตูห้องขังกั้นคนทั้งสองไว้ แต่ลู่เซิ่งยังคงรู้สึกได้ถึงสารจำเป็น ปราณ จิตที่เต็มเปี่ยมของอีกฝ่าย
“ข้าได้ยินเสียงโหยหวนของเฒ่าหัตถ์หยุดอาทิตย์แล้ว ท่านมาปล่อยพวกเราออกไป หรือคิดหาคนลองวิชา” นางเสียงแหบพร่า เหมือนกับได้รับบาดเจ็บที่ลำคอ
“นับว่าลองวิชาก็แล้วกัน” เป็นระดับเอกะฟ้าอีกคนหนึ่ง
ลู่เซิ่งแค่ยืนอยู่หน้าประตูห้องขัง ก็รู้สึกได้ถึงปราณภายในที่ยิ่งใหญ่บนร่างนาง ห้องขังของพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือสุดที่คนธรรมดาจะจินตนาการออกจริงๆ
เขาคิดไว้แล้ว ในอาณาเขตอันกว้างใหญ่อย่างแดนเหนือ เหตุใดไม่เคยมีคนระดับเอกะฟ้าโผล่มาสักคน ที่แท้ไม่ใช่ไม่เคยโผล่มา หากแต่ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ ก็ถูกขังคุก
เป็นฝีมือของใคร นอกจากตระกูลเจิน ย่อมไม่มีคนอื่นอีก
“ข้าได้ยิน ได้ยินว่าท่านปล่อยหัตถ์หยุดอาทิตย์ออกไป” นางกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านจะปล่อยข้าออกไปเหมือนกับเขาหรือไม่”
“ทำไม” ลู่เซิ่งงุนงง ไม่ทราบว่านางถามคำถามนี้เพราะอะไร
“ข้ากลัวอยู่บ้าง” นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ากลัวว่าถ้าออกไปจะอดใจไม่ฆ่าท่านไม่ได้ ข้าแนะนำให้ท่านหายอดฝีมือส่วนหนึ่งมาตรึงแขนขาข้าไว้ก่อน”
ลู่เซิ่งสับสน ก่อนจะหัวเราะขึ้น
“เจ้า…น่าสนใจมาก” เขายื่นมือออกมาจับลูกกรงเหล็กขนาดใหญ่เท่าแขน แล้วออกแรงดึง
แอ๊ด…
ท่ามกลางเสียงโลหะบิดเบี้ยวอันน่าสะพรึงกลัว นางตาค้าง ลูกกรงเหล็กขนาดเท่าแขนสองเส้นถูกเขาดึงออกเป็นวงกลม
พละกำลังนี้ถึงขั้นอมนุษย์แล้ว
“ออกมา” ลู่เซิ่งมองไปในกรง
สตรีผู้นั้นสองตาเป็นประกายกว่าเดิม
นางมองลู่เซิ่ง มือแนบกำแพงที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ก่อนจะออกวิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งปราดจากช่องว่างของลูกกรงเหล็กออกมา ก่อนทิ้งตัวบนพื้นซึ่งอยู่ไม่ห่างจากลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา
ลู่เซิ่งเห็นนางตาเป็นประกาย คล้ายกับสะกดความคิดที่อธิบายไม่ได้บางอย่าง
“เจ้าชื่ออะไร” เขาถามเบาๆ
“จ้าวเจียวเจียว” นางตอบอย่างขึงขัง
“เจ้าร้ายกาจมาก” ลู่เซิ่งแสดงความชื่นชมอย่างหากได้ยาก “ร้ายกาจกว่าชายชราคนก่อนหน้าอีก”
“แน่นอนถ้าไม่ใช่ตอนนั้นข้าหาคนของตระกูลเจินมาทดสอบฝีมือจนพ่ายแพ้ถูกจับ คงไม่ตกต่ำอยู่ที่นี่” จ้าวเจียวเจียวกล่าวอย่างเปิดเผย ดูเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง
“เจ้าถูกขังอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ไม่ทราบ อาจจะยี่สิบปี อาจจะห้าสิบปี ข้าเลิกนับไปแล้ว” จ้าวเจียวเจียวเอ่ยอย่างไม่แยแส “ตอนนี้ท่านปล่อยข้าออกมา คิดทำอะไร”
“ข้าเดิมคิดจะทำลายพลังฝึกปรือของเจ้า” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
ฟิ้ว!
ร่างของเขากะพริบ ปรากฏขึ้นด้านด้านหลังจ้าวเจียวเจียวเหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา แล้วฟาดฝ่ามือใส่กลางหลังนาง
พรู่ด!
จ้าวเจียวเจียวตัวสั่น ปราณภายในอันบ้าคลั่งที่น่าสะพรึงกลัวจำนวนมากไหลออกจากในตัวนาง ปราณภายในนี้ถึงขั้นรุนแรงกว่าวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน เหมือนกับลูกระเบิดที่แค่แตะก็ระเบิดหลายลูก
ตูมๆๆ!
ปราณภายในจำนวนมากระเบิดบนร่างลู่เซิ่งเหมือนกับดวงแสงขนาดเท่ากำปั้นหลายกลุ่ม สั่นสะเทือนกำแพงสี่ด้านของห้องขังไปด้วย
คลื่นเสียงขนาดมหึมากระแทกกระทั้นในคุก ถ้าหากคนธรรมดามา คงถูกทำลายเยื่อหูไปแล้ว
แต่ไม่มีผลต่อทั้งสองคนในตอนนี้โดยสิ้นเชิง
จ้าวเจียวเจียวคิดจะหมุนตัว แต่ต่อให้นางมีพลังมากกว่านี้ ก็ห่างชั้นจากลู่เซิ่งในเวลานี้อย่างใหญ่หลวง
ไม่รอให้นางหมุนตัวมา ปราณภายในที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่งก็ทะลักเข้าสู่ร่างกายนาง ถล่มแนวป้องกันปราณภายในทั้งหมดของนาง
ข่ายกระเรียนหยินที่ละเอียดซับซ้อนเกิดเป็นรูปเป็นร่างในตัวนางด้วยความเร็วสูง
…
อีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ลู่เซิ่งเดินออกจากในคุกอย่างเชื่องช้า จ้าวเจียวเจียวที่สวมเสื้อกันลมสีดำเดินตามอยู่ด้านหลัง
ปราณภายในของนักโทษทั้งหมดที่เหลืออยู่ในคุกถูกเขาดูดจนหมดสิ้น นอกจากจ้าวเจียวเจียวแล้ว นักโทษทั้งหมดที่ถูกดูดปราณภายในจนเหือดแห้งต่างก็กลายเป็นตะเกียงสิ้นน้ำมันอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีปราณภายในคอยส่งเสริม วินาทีที่รับวิชาจากลู่เซิ่ง ก็ถูกดูดจนตายทั้งเป็น
ถึงตอนนี้ ในคุกใต้น้ำชั้นสี่เหลือแค่จ้าวเจียวเจียวที่รอดชีวิต
“เจ้าไปอาบน้ำก่อน ภายหลังจะมีคนพาเจ้ามาหาข้าเอง อย่าได้คิดหนี เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่านั่นไม่มีประโยชน์” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ
“ข้าจ้าวเจียวเจียวไม่ใช่คนโง่แบบนั้น” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็ดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า เรียกองครักษ์ใกล้ชิดมาออกคำสั่ง มีพลพรรคสตรีมาหลายคน พาจ้าวเจียวเจียวไปพักผ่อนอาบน้ำ ส่วนเขาตรงดิ่งไปที่ห้องหนังสือ
หลังดูดปราณภายในของนักโทษทั้งหมดในคุกชั้นที่สี่ ตอนนี้บนร่างเขามีปราณขวดสมบัติเกือบสี่ร้อยปี ปราณเหลวสี่หยดหมุนวนอยู่ในอก สะกดปราณเหลวธาตุหยางของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานโดยสิ้นเชิง
‘ที่ยุ่งยากอยู่บ้างก็คือปราณภายในซึ่งเปลี่ยนมาจากข่ายกระเรียนหยินทั้งหมดเป็นปราณขวดสมบัติ มีแค่ปราณภายในธาตุหยินเพิ่มมา จำเป็นต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลง ปรับสมดุลหยินหยาง…จริงด้วย! ปรับสมดุลหยินหยาง!’
ลู่เซิ่งพลันนึกถึงหนึ่งในประโยชน์ของปราณหยินหยางขวดสมบัติ ปรับสมดุลหยินหยาง หลักการของวิชานี้คืออาศัยหยินหล่อเลี้ยงหยาง เพื่อให้บรรลุสภาพหยินหยางสมดุล
‘ในเมื่อก่อนหน้านี้ปราณขวดสมบัติเปลี่ยนแปลงปราณภายในธาตุหยางชนิดอื่นๆ ได้ อย่างนั้นก็น่าจะเปลี่ยนกลับได้เหมือนกัน’
ลู่เซิ่งดูดปราณภายในสี่ร้อยปีในรวดเดียว ตอนนี้ร่างกายบวมเล็กน้อย
เขาเข้าห้องหนังสือ หลับตาฝึกฝน ศึกษาว่าจะเปลี่ยนแปลงปราณภายในให้กลายเป็นธาตุหยางอย่างไร
“สวีชุยคำนับประมุขพรรค” เพิ่งนั่งลงไม่นาน สวีชุยที่พลังเพิ่งก้าวสู่ระดับสำนึกปลอดโปร่งหรือผนึกจิตก็เดินเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ขอมอบภารกิจหนึ่งให้เจ้า” ลู่เซิ่งไม่ลืมตา เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ประมุขพรรคโปรดบอก” สวีชุยก้มหน้าเอ่ยอย่างเคารพ
“เจ้าพาคนไปจับตัวยอดฝีมือในสำนักพยัคฆ์ภูผาที่ลอบต่อต้านพรรควาฬแดงของพวกเรา แล้วส่งตัวไปที่คุก จำไว้ จับแค่ยอดฝีมือ ยอดฝีมือกำลังภายใน” ลู่เซิ่งกำชับ
“ขอรับ!” สวีชุยขานรับเสียงทุ้ม
หลังเขากลับมาในครั้งล่าสุด ก็ควบคุมโถงอินทรีเหินได้โดยสมบูรณ์ ด้วยพลังสภาพปกติของเขา ต่อสู้กับยอดฝีมือของสำนักพยัคฆ์ภูผาถือว่าเพียงพอแล้ว ยิ่งอย่าว่าแต่ซ่อนไพ่ตายเอาไว้
สวีชุยในตอนนี้สามารถถือเป็นเอกะฟ้าคนหนึ่งได้แล้ว
……………………………………….