บทที่ 170 ดูดซับ (4)
หลังจากลู่เซิ่งเห็นคนออกไปแล้ว ก็หลับตาลงเริ่มทดลองย้อนกลับการโคจรของปราณขวดสมบัติในข่ายกระเรียนหยินอีกครั้ง เป็นอย่างที่คาด สามารถเปลี่ยนปราณขวดสมบัติธาตุหยินเป็นปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานบริสุทธิ์ได้อย่างสบายๆ
นี่เป็นผลมหัศจรรย์ของการปรับสมดุลหยินหยาง
“จ้าวเจียวเจียวคำนับประมุขพรรค” ทันใดนั้น ในห้องมีเสียงสตรีที่แหบพร่าดังขึ้น
ลู่เซิ่งลืมตาพิจารณาจ้าวเจียวเจียวในตอนนี้
สุกงอมยิ่ง
ดั่งลูกท้อแดงอวบอั๋นหอมหวน
จ้าวเจียวเจียวสวมชุดกระโปรงเผยไหล่สีชมพู ผมยาวรวบไว้ ปักปิ่นไม้สีแดงเรียบง่ายแท่งหนึ่ง ร่างกายส่วนที่ควรนูนก็นูน ส่วนที่ควรงอนก็งอน มองไม่ออกเลยว่านางอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว
ผิวนุ่มนิ่มที่ขาวนวลอมชมพูเหมือนกับดรุณีอายุสิบหกปี ใบหน้างดงามชวนให้ผู้พบเห็นนึกถึงกุหลาบเลือดสีแดงฉาน
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ นางจงใจฉีกชายกระโปรงออก เผยขาจนเกือบถึงต้นขาให้เห็นวับแวม ลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้า
“เป็นอะไร ประมุขพรรคจำเจียวเจียวไม่ได้หรือ” จ้าวเจียวเจียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แต่งตัวได้ดี” ลู่เซิ่งชมอย่างเรียบง่าย “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้ารวบรวมยาล้ำค่าในแผนที่ฉบับนี้” เขาหยิบแผนที่แผ่นหนึ่งซึ่งตัดแบ่งไว้ออกมาจากลิ้นชัก ด้านบนทำสัญลักษณ์ที่อยู่ของยาล้ำค่าไว้สามแห่ง
โยนแผนที่ออกไปเบาๆ จ้าวเจียวเจียวคว้าไว้อย่างแม่นยำ ก่อนคลี่ออกดู
“มีบ้านเกิดของเจียวเจียวอยู่พอดี” นางยิ้ม ต่างจากตอนพูดคุยอย่างจริงจังในคุกเมื่อก่อนหน้าอย่างกับคนละคน
“งั้นก็ดีแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ไปเถอะ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน หาไม่เจอค่อยรีบกลับมา”
“ทราบแล้ว” จ้าวเจียวเจียวเลิกคิ้ว ก่อนหมุนกายนวยนาดออกไป
องครักษ์เฝ้าประตูหลายคนตาค้าง
เห็นจ้าวเจียวเจียวจากไปแล้ว ลู่เซิ่งก็หลับตาลงอีกครั้ง ทางผู้คุมจัตุรัสแดงกับจวนอู๋โยวเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เขาจำเป็นต้องมีพลังมากกว่านี้และแข็งแกร่งกว่านี้
การจับยอดฝีมือกำลังภายในที่เป็นอริทั้งหมดกลับมาเพื่อดูดปราณภายในพลังฝึกปรือเป็นแค่ก้าวแรก
ขอแค่มีพลังมากพอ ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นจวนอู๋โยวหรือผู้คุมจัตุรัสแดง ล้วนต้องตาย!
หลังแปลงปราณภายในหยินหยาง เขาก็รู้สึกได้ว่าการลอกคราบด้านในเหมือนกับเริ่มเร็วขึ้นอย่างช้าๆ…
‘ถูกต้อง…ถูกต้อง…เป็นแบบนี้…เร็วกว่าเดิม…’ ลู่เซิ่งตั้งใจเปลี่ยนแปลงมากขึ้น แสยะยิ้มดุดัน
…
“ตาย!”
ตูม!
ผู้คุมจัตุรัสแดงแผดเสียงพลางต่อยหมัดใส่หน้าผาหินสีเทาดำ หน้าผาระเบิด เงาดำสายหนึ่งบินออกมาอย่างแตกตื่นหวาดกลัว
“พวกสวะสมาคมหทัยร่อนเร่!” ผู้คุมจัตุรัสแดงออกวิ่ง พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหลังเงาร่างสีดำนั้น สองมือจับสองแขนของอีกฝ่ายไว้
แคว่ก!
เหมือนนักล่ากัดฉีกเหยื่อ สองแขนของเงาคนสีดำถูกฉีกออกไปสองส่วนพร้อมกับร่างกายอีกครึ่งหนึ่ง
ครึ่งหนึ่งเห็นกระดูกขาวโพลน เลือดจำนวนมากสาดกระจาย เสียงโหยหวนคร่ำครวญดังระงม
ที่นี่เป็นลานกว้างตรงกลางของพันธมิตรบู๊
คนของพันธมิตรบู๊ที่หนีได้ก็หนีไปแล้ว ที่ตายก็ตายไปแล้ว ตอนผู้คุมจัตุรัสแดงไต่สวนวิญญาณเร่ร่อน กลับเจอยอดฝีมือของสมาคมหทัยร่อนเร่ลอบจู่โจม
สิ่งที่น่าเสียดายคือ ธรรมราชาของสมาคมหทัยร่อนเร่ที่สังหารสัตตะลักษณ์ได้ และขึ้นเป็นผู้นำกลุ่ม ยังคงโดนเชือดทิ้งอย่างง่ายดาย สมาคมหทันร่อนเร่เสียยอดฝีมือที่แข็งแกร่งไปอีกคน เกรงว่าจะตื่นตระหนกเดือดดาลกว่าเดิม
“ประมุขสมาคม…ไม่ละเว้นเจ้าแน่!” เงาคนสีดำที่เหลือแค่ครึ่งตัวดิ้นรนพลางกล่าวประโยคสุดท้าย เสียงเปรี้ยงเมื่อถูกผู้คุมจัตุรัสแดงขย้ำศีรษะ
“คำพูดนี้ข้าฟังจนเอียนแล้ว” แสงสีดำสาดขึ้นบนร่างผู้คุมจัตุรัสแดง รอยเลือดทั้งหมดหายไป เหมือนถูกสายน้ำดูดซับ
นางกวาดตามองรอบๆ
บ้านเรือนหอห้องของพันธมิตรบู๊ เพลิงไหม้ยังคงลุกลามไปทั่ว ใต้ควันหนามีศพความประหลาดลี้ลับจำนวนไม่น้อยนอนระเกระกะ ในนี้บ้างมีศีรษะเป็นวัวตัวเป็นมนุษย์ บ้างมีร่างเป็นงูหัวเป็นคน
พวกนี้เป็นนักฆ่าที่สมาคมหทัยร่อนเร่ส่งมา
ขณะกลับจากเส้นทางเข่นฆ่าตระกูลเจิน นางก็ต่อสู้กับนักฆ่าของสมาคมหทัยร่อนเร่มาตลอดทาง
นี่เป็นขุมกำลังกล้าแข็งที่ไม่ขึ้นกับจงหยวนและไม่ขึ้นกับแดนเหนือ ความสามารถในศัสตรามารของพวกเขาเข้ากันได้ดีกับภัยพิบัติมังกรสีชาดถึงขีดสุด จึงเป็นกลุ่มที่บ้าคลั่งที่สุดในกลุ่มไล่ล่า
“ท่านพี่…” ยามนี้สตรีกางร่มลอยมาจากที่ไกล
“หามาสองวัน เจออะไรบ้าง” ผู้คุมจัตุรัสแดงถามเสียงทุ้ม
สตรีกางร่มส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ผู้คุมจัตุรัสแดงพลันรู้สึกหงุดหงิดบ้างแล้ว
“ช่างเถอะ ที่นี่ไม่มีเบาะแสแล้ว พวกเราไปหาไป๋เฟิงเหล่าเต้าที่เมืองเลียบคีรี”
“อือ…” สตรีกางร่มกดร่มลง ปิดบังดวงตากระสับกระส่าย
“ท่านพี่…ช่างมัน…เถอะ ไม่ต้องหา…แล้ว” นางพลันเอ่ย
“นั่นจะได้อย่างไร!?” ผู้คุมจัตุรัสแดงตัดบทนาง “อีกนิดเดียวเคล็ดวิชาสุดยอดจะถูกชิงไปแล้ว! นั่นเป็นที่พึ่งซึ่งพวกเราใช้พัฒนาตัวเองได้อย่างใหญ่หลวง! ถ้าไม่มีมัน การคืนชีพในภายหลังของพวกเราก็หมดหวังแล้ว! ยังมีวิญญาณอีกมากมาย ทั้งหมดถูกคนผู้นั้นฆ่าทิ้ง”
“แต่…สมาคมหทัยร่อนเร่นั่น…มาอีกแล้ว…” สตรีกางร่มกล่าวอย่างเป็นห่วง
“ให้พวกมันมา” ผู้คุมจัตุรัสแดงไม่นำพาแม้แต่น้อย “ข้ากลับอยากเห็นว่าพวกมันมีกี่คนให้ข้าสังหารทิ้ง”
“ท่านพี่…” สตรีกางร่มคิดพูดอะไรอีก แต่ผู้คุมจัตุรัสแดงยกมือขึ้น คร้านจะฟังอีก
ทั้งสองคนเก็บกวาด ก่อนพาวิญญาณเร่ร่อนออกมา มุ่งหน้าสู่เมืองเลียบคีรี
ความเร็วของคนทั้งสองเหนือกว่าคนธรรมดา ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามก็เข้าคูเมือง เดินบนถนนอย่างเนิบนาบเหมือนสตรีทั่วไป
คนของขุนนางตรวจการพบคนทั้งสองอย่างรดเร็ว ทั้งหมดตื่นตระหนก หลังจากตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รีบรายงานเบื้องบน
รอไป๋เฟิงเหล่าเต้ารุดมาถึง ทั้งสองก็นั่งอยู่ในร้านน่ำชาร้านหนึ่ง
“ข้าไป๋เฟิง คำนับผู้คุมจัตุรัสแดง” ไป๋เฟิงท่าทีอ่อนน้อมยิ่ง เหงื่อผุดซึมออกมาบนร่างทีละหยดๆ กล้ามเนื้อเกร็งจนเป็นตะคริว
เขามีชีวิตมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอภูตผีเดินอาดๆ เข้าเมืองมา โดยเฉพาะผู้คุมจัตุรัสแดงตรงหน้ายังนับเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนในแดนเหนือ ณ เวลานี้อีกด้วย
ผู้คุมจัตุรัสแดงกวาดตามองไป๋เฟิงอย่างเรียบเฉย
“เย่หลิงม่อเล่าให้เจ้าฟังแล้วกระมัง เรื่องคำขอของข้า”
“ขอ…ขอรับ…เล่าแล้ว ประมุขจวนเย่บอกชัดเจนยิ่ง ข้าได้สืบข่าวไปแล้ว” ไป๋เฟิงเนื้อตัวแข็ง กลัวว่าจะทำผิด เกิดหาเรื่องให้อีกฝ่ายลงมือ เมืองเลียบคีรีไม่มีคนหยุดยั้งได้ ถ้าทำให้ผู้คุมจัตุรัสแดงคลั่ง ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกทำลายเมือง
“เช่นนั้นเจ้าเจอเบาะแสอะไรบ้าง บอกมาให้ข้าฟังดู” ผู้คุมจัตุรัสแดงยกน้ำชาขึ้นดื่มอย่างเกียจคร้าน
นางในตอนนี้เหมือนกับสตรีสูงใหญ่ผมขาวที่ร่างกายกำยำ แม้บนตัวจะมีกลิ่นอายดุร้ายจางๆ แต่ก็เหมือนกับยอดฝีมือในยุทธภพทั่วไป
ไป๋เฟิงก้มหัวเช็ดเหงื่อ มองไปรอบๆ ริมฝีปากสั่นไหว ไม่ได้ส่งเสียง
พร้อมกับที่เขาขยับริมฝีปาก ดวงตาของผู้คุมจัตุรัสแดงก็เปล่งประกายเล็กน้อย
นางใคร่ครวญคู่หนึ่ง ลุกพรวดขึ้น
“อย่างนั้นก็ไปดู”
นางทิ้งคำพูดไว้ แล้วสาวเท้าฉุดสตรีกางร่มเดินไปตามถนน
ไป๋เฟิงเหล่าเต้างุนงง ก่อนจะรีบตามไป
“แต่แบบนี้จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เกิดยั่วโมโหตระกูลนั้นเข้า…” เขาคิดเกลี้ยกล่อมผู้คุมจัตุรัสแดง
“ให้พวกมันมาหาข้า ช่างตระกูลมันปะไร ข้าต้องการคำอธิบาย ไม่ว่าเป็นใคร” ผู้คุมจัตุรัสแดงไม่แยแสสนใจ
ไป๋เฟิงโอดครวญในใจ ถ้ามีคนรู้ว่าเป็นข้อมูลที่เขาเปิดเผย อย่างนั้นหัวหน้าขุนนางตรวจการอย่างเขาจะเจอปัญหาจริงๆ แล้ว ความรู้สึกที่ถูกหนีบไว้ตรงกลางนี้ไม่น่าสบายใจยิ่ง
เขาวิ่งเหยาะๆ ติดตามพวกผู้คุมจัตุรัสแดงไป รู้ว่าพวกนางจะไปไหน คิดจะเตือนให้หยุดก็ทำไม่ได้
พวกนางเร็วอย่างน่าประหลาด ลัดเลาะตามถนนสักพัก ไม่ทันไรก็ถึงเขตหลักของเมืองเลียบคีรี
ผู้คุมจัตุรัสแดงหยุดลงตรงหน้าคฤหาสน์กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เงยหน้ามองป้ายที่แขวนด้านบน
“คฤหาสน์ลู่หรือ”
“ตามรายงานของสาย ลู่เซิ่งประมุขพรรคลู่กับพันธมิตรบู๊มีความเกี่ยวข้องกันไม่น้อย เพียงแต่ไม่เคยมีหลักฐาน” ไป๋เฟิงเหล่าเต้ารีบติดตามมาพูดกระซิบ “แต่ว่าเขาไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเผาหน่วยหลักเมื่อช่วงก่อน”
พวกนางยืนหน้าประตูคฤหาสน์ลู่ ดูไม่สะดุดตา คล้ายนักท่องเที่ยวที่บังเอิญผ่านทางมา แล้วประทับใจเพราะการตกแต่งของคฤหาสน์ จึงหยุดลงชมดู
ผู้คุมจัตุรัสแดงมองป้ายของคฤหาสน์ลู่อย่างเย็นชา พลันหันไปมองจ้องไป๋เฟิงเหล่าเต้า เอ่ยว่า
“พวกเจ้ากลับดีดลูกคิดรางแก้วไว้ดีนัก”
นางไม่พูดพร่ำทำเพลง หมุนตัวจากไป
สตรีกางร่มระบายลมหายใจอย่างแรง
ว่ากันว่าประมุขพรรควาฬแดงสนิทสนมกับซั่งหยางจิ่วหลี่ คฤหาสน์ลู่ตรงหน้าเป็นบ้านของประมุขพรรควาฬแดงลู่เซิ่ง ถ้าท่านพี่ถูกไป๋เฟิงเหล่าเต้ายั่วยุ ลงมือกับครอบครัวของลู่เซิ่งจริงๆ เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะยุ่งยากอย่างแท้จริงแล้ว
ตระกูลซั่งหยางจะคิดว่านี่เป็นการท้าทายพวกเขา
ด้วยนิสัยไม่กลัวฟ้ากลัวดินของท่านพี่ จะต้องไม่ยอมสยบแน่
“ท่านพี่…พวกเรา…ออกจากแดนเหนือเถอะ…” คำพูดนี้ของสตรีกางร่มไม่ได้ตะกุกตะกักอย่างหาได้ยาก นางรีบติดตามผู้คุมจัตุรัสแดง สีหน้าหม่นหมองอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไร! ข้าใกล้จะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราสร้างจัตุรัสแดงแห่งใหม่ จะไม่มีใครทำร้ายเจ้ากับข้าได้อีก ไม่ต้องห่วงนะอิงอิง ข้าอยู่ ข้าจะดูแลทุกอย่างเอง!” ผู้คุมจัตุรัสแดงกำมือนางแน่น กล่าวอย่างจริงจัง
สตรีกางร่มมองนางอย่างงุนงง ท่านพี่เคยพูดแบบนี้มานานมากแล้ว
เพียงแต่ขณะที่นางมองท่านพี่ที่พยายามดิ้นรน กลับตึงมือตึงเท้า ทั้งๆ ที่พลังร้ายกาจกว่าคนอื่นๆ กลับยังคงกริ่งเกรงหวาดกลัว ไม่กล้าลงมืออย่างเปิดเผย
นางประคับประคองจัตุรัสแดง บ้านที่เหลือแค่พวกนางสองคนอย่างยากลำบาก
เผชิญกับตระกูลซั่งหยาง เผชิญกับสมาคมหทัยร่อนเร่ เผชิญกับขุมกำลังเบื้องหลังที่ใหญ่โต ก็ไม่เคยยอมแพ้
นางแค่ยืนมองด้านข้าง ก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
“วางใจเถอะ ข้าเลื่อนระดับอีกนิดเดียว ทุกอย่างก็จะดีเอง” ผู้คุมจัตุรัสแดงแสดงสีหน้าเชื่อมั่นไม่เหนื่อยล้าตลอดกาล กล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม
แต่ยิ่งอีกฝ่ายทำเช่นนี้ สตรีกางร่มยิ่งทุกข์ใจ สภาพที่ท่านพี่ฝึกฝนอย่างเจ็บปวดเหมือนอดกลั้นต่อการถลกหนังทุกเมื่อเชื่อวันแวบผ่านด้านหน้านางไม่หยุด
นางมองเห็นความไม่สบายใจ ความอิดโรย ความเลื่อนลอยในดวงตาของท่านพี่ได้ นางรู้จักท่านพี่ดีเกินไป
เป็นเพราะสมาคมหทัยร่อนเร่หรือ
ขุมกำลังที่บีบคั้นอยู่ตลอดเวลานั้น ก่อนหน้านี้ท่านพี่ประคองแขนที่หักของตนกลับมาพร้อมกับร่างอาบเลือด สภาพนั้นจนถึงตอนนี้สตรีกางร่มยังไม่ลืมเลือน
ไม่ได้เห็นท่านพี่ทุลักทุเลแบบนี้มานานขนาดไหนแล้ว
อิงอิงหลุบศีรษะ ในใจเกิดความคิดจากไปอีกครั้ง
นางไม่อยากให้ท่านพี่ลำบากแบบนี้ ขุมกำลังของสมาคมหทัยร่อนเร่กำลังไล่ล่ามาทางนี้อย่างช้าๆ พวกนางซ่อนตัวได้อีกไม่นาน ต่อให้สร้างจัตุรัสแดงขึ้นมาอีก ใช้คัมภีร์ลับเคล็ดวิชาเล่มนั้นสร้างค่ายกลซ่อนตัว พวกนางก็ยังคงหลบสมาคมหทัยร่อนเร่ไม่พ้น
……………………………………….