บทที่ 173 ครึ่งเดือน (3)
เมืองเลียบคีรี
ผู้คุมจตุรัสแดงปักดาบยาวกึ่งโปร่งแสงในมือใส่พื้นดังฉึก แล้วนั่งลงข้างบ่อน้ำในตัวลานบ้าน
อิงอิงสตรีกางร่มนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ข้างบ่อ
“ยังขาดอีกหน่อย…” ผู้คุมจตุรัสแดงสูดหายใจลึก ลูบด้ามดาบบนพื้นข้างตัวอย่างแผ่วเบา
ดาบเล่มนี้มีชื่อว่ารุ่งโรจน์ ติดตามนางมาหลายปี อาจถึงหนึ่งร้อยปี หรือสองร้อยปี นางจำไม่ได้แล้วว่านานขนาดไหน
เดิมทีนางไม่ถึงกับชอบดาบเล่มนี้ เพียงแต่ใช้จนชิน จึงคร้านจะเปลี่ยน บวกกับดาบนี้แข็งแกร่งมาก แทบไม่มีส่วนใดบุบสลาย จึงใช้มาถึงปัจจุบัน แต่ว่าขณะนี้นางกับรุ่งโรจน์เชื่อมกันเป็นร่างเดียวกันโดยสมบูรณ์แล้ว
ผู้คุมจตุรัสแดงถอนใจอีกครั้ง ยื่นมือไปลูบเศษสีแดงชิ้นหนึ่งที่ฝังไว้ระหว่างด้ามดาบกับตัวดาบ
เศษชิ้นนั้นเป็นเป็นประกายสีแดงขมุกขมัวใต้ท้องฟ้ามืดมิดยามพลบค่ำ
ประกายแสงนี้แฝงความยั่วยวน ความงดงาม และความอันตราย
“บนคัมภีร์…ไม่ได้พูด…อะไรเลย…” อิงอิงสตรีกางร่มวางหนังสือลง ขมวดคิ้วกล่าว
“ไม่เป็นไร…ขอแค่รู้สึกได้ถึงพลังก็เพียงพอแล้ว” ผู้คุมจตุรัสแดงเลียริมฝีปาก เอ่ยเสียงทุ้ม
“ข้ารู้สึกได้ว่ามีพลังงานที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายกำลังไหลเข้ามา” นางถือด้ามดาบ ประกายสีแดงหลายสายแผ่จากเศษชิ้นส่วนเข้าไปในร่างนางอย่างช้าๆ เหมือนกับลานทั้งลานเหลือแค่สีแดง ไม่มีสีสันอื่นๆ ในชั่วขณะ
นี่เป็นเศษของภัยพิบัติมังกรสีชาด ของวิเศษที่นางเสี่ยงชีวิตแย่งมาจากศัตรูที่แข็งแกร่งมากมาย
ผ่านไปสักพัก แสงสีแดงบนด้ามดาบก็ริบหรี่ลง
ผุ้คุมจตุรัสแดงชักดาบรุ่งโรจน์ออกมา ดาบนี้ค่อยๆ จางหายไปบนมือนาง จนไม่เห็นโดยสมบูรณ์
นางลุกขึ้น
“เอาล่ะ ต่อจากนี้พวกเราจะไปดูพรรคอีกพรรคหนึ่งที่ชื่อว่าสำนักคูรวมอะไรนั่น”
“ใช่ แต่…จะไม่เป็นไร…หรือ” สตรีกางร่มมองนางอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง
นางเพิ่งรู้ว่าภัยพิบัติมังกรสีชาดมอบพลังให้ท่านพี่อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่พลังแบบนี้ไม่ใช่ไม่มีค่าตอบแทน
“ข้ายังทนได้…” ผู้คุมจตุรัสแดงหัวเราะเหอะๆ ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยวอันน่าสะพรึง ขอแค่มีดาบในมือ นางก็ไม่เคยเกรงกลัวศัตรูคนใด!
ต่อให้เป็นสมาคมหทัยร่อนเร่แล้วอย่างไร
อิงอิงกลับกังวลมากกว่าเดิม
นางทราบว่าอานุภาพของอาวุธเทพศัสตรามารเกินขอบเขตธรรมดาไปไกล สามารถบรรลุถึงขั้นที่วัดไม่ได้
ทว่า…
มันใช้พลังของพิธีกฎเกณฑ์ การทำพิธีกฎเกณฑ์ครั้งหนึ่งคงอยู่ได้สิบปี นี่เป็นการเซ่นสรวงตามความถี่ปกติ และเป็นกฎทั่วไปของพวกตระกูลขุนนาง
เหมือนกับกองไฟที่ลุกไหม้ ต้องเพิ่มฟืนทุกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
แต่ว่าสภาพของท่านพี่ในตอนนี้ต่างออกไป นางบรรณาการสารจำเป็น ปราณ จิตแก่เศษชิ้นส่วนเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลัง สิ่งที่ได้มาจากการเข่นฆ่ายังไม่เพียงพอจะใช้กับพิธีกฎเกณฑ์
“ไป๋เฟิงถึงกับยั่วยุให้เราไปหาเรื่องตระกูลซั่งหยาง น่าตายจริงๆ จริงด้วย อิงอิง เจ้าตรวจสอบเจออะไรหรือไม่” นางลุกขึ้นบิดขี้เกียจ กล้ามเนื้อที่เรียกได้ว่ากำยำเบียดบิดตามการเคลื่อนไหว ดูแข็งแกร่งทรงพลัง
สตรีกางร่มแขวนหยกประกบสีดำในมือไว้บนเสื้อผ้า
“ไม่…ไม่เจอะไร…เลย…”
“ก็ดี ถ้าพบอะไร จำไว้ว่าบอกข้าได้ตลอด” ผู้คุมจตุรัสแดงเอียงคอ “อยากกลับจตุรัสแดงจริงๆ พักผ่อนข้างบ่อสบายที่สุด…อยู่ในที่ที่มีคนอยู่เยอะนานไป จนดูเหมือนจิตใจจะอึดอัดอยู่บ้าง” นางนิ่วหน้า นวดหน้าอก
“รอ…สร้างเสร็จ…พวกเราค่อยกลับไป…” สตรีกางร่มพูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“อิงอิง เจ้าว่าถ้าพวกเราใช้ชีวิตด้วยกัน เที่ยวเล่นด้วยกัน กระทำเรื่องที่อยากทำด้วยกันได้ตลอดกาล จะดีขนาดไหน” ผู้คุมจตุรัสแดงเอ่ยเบาๆ
“ใช่แล้ว…” อิงอิงก้มหัว สีหน้าอ่อนโยน “อิงอิง…ชอบท่านพี่…ที่สุด…”
นางลูบหยกประกบอย่างไม่รู้ตัว นี่เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งขอให้นางพกไว้ แต่ไม่ได้บอกว่ามีประโยชน์อะไร นางเองก็ไม่กล้าถาม นำมาศึกษาอย่างละเอียด พบว่าไม่มีผลเสียต่อร่างกาย จึงเชื่อฟัง แขวนไว้บนตัว
เพียงแต่หยกประกบมีเส้นสีดำสายหนึ่งกะพริบในจุดที่นางสังเกตไม่เห็น
…
ตกดึก
ลู่เซิ่งเปลี่ยนเป็นชุดรัดรูป สวมหน้ากากแพะภูเขา เปิดหน้าต่างห้องนอนของประมุขพรรคในพรรควาฬแดงออก
แม่น้ำไม้สนตอนกลางคืนคลื่นลมสงบ คลื่นน้ำกระทบกับตัวเรืออย่างมีจังหวะจะโคน ลมเย็นพัดมาจากนอกหน้าต่าง พัดผมยาวของลู่เซิ่งไปด้านหลัง
เขาชะโงกมองบริเวณรอบๆ
ยอดฝีมือที่เป็นองครักษ์ใกล้ชิดหลายคนในพรรคยืนเฝ้ายามอยู่ พลางหาวหวอดๆ อยู่บนดาดฟ้าเรือด้านล่าง
เรือน้อยลาดตระเวนติดโคมไฟ คอยวนรอบเรือวาฬแดงเพื่อตรวจตราบนแม่น้ำอยู่ไกลๆ
เต๊ง…เต๊ง…เต๊ง
ถึงเวลาซันเกิง[1]แล้ว
ลู่เซิ่งปาดรอยยับบนชุดรัดรูปสีดำจนเรียบ มือกดบนกรอบหน้าต่าง หายใจลึกเฮือกหนึ่ง
ฟุ่บ
เขาพลันออกแรง พุ่งตัวออกไปจากกรอบหน้าต่างอย่างนิ่มนวลราวภูตพราย ไร้สุ้มไร้เสียงเหมือนค้างคาวยักษ์ตัวหนึ่งกลางท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิด พริบตาเดียวก็ลอยออกมาหลายสิบหมี่ แล้วทิ้งตัวลงบนแม่น้ำอย่างแผ่วเบา
เสียงจ๋อมเมื่อลู่เซิ่งสะกิดเท้ากับผิวน้ำ ยืมแรงพุ่งไปยังที่ไกลอีกครั้ง
เขาใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ ที่นี่เหมือนไม่มีคนคิดค้นวิชาตัวเบาที่ร้ายกาจ ส่วนใหญ่เป็นทักษะเคลื่อนย้ายสำหรับใช้ตอนต่อสู้ส่วนหนึ่ง
ถึงจะใช้วิชาตัวเบาไม่เป็น แต่ด้วยสภาพหยินโชติช่วง ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าปราณภายในหยินหยางด้านในร่างกายเสียดสีและปะทะกันต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าพิศวง
การเปลี่ยนแปลงนี้ลดแรงต้านในการเคลื่อนไหวของเขาได้ในระดับหนึ่ง ต่อให้เขาตัวหนักจนน่าเหลือเชื่อ ภายใต้การผลักดันรวมตัวของปราณภายในหยินหยาง การยืมแรงโผพุ่งด้วยความเร็วสูงแบบหยาบๆ ยังพอทำได้
นี่เหมือนกับคนกระโดดไกล ขอแค่มีแรงมากพอ ก็กระโดดได้ไกลมาก
เขากระโจนขึ้นจากผิวน้ำอีกครั้งอย่างแผ่วเบา แล้วดีดตัวไปยังที่ไกล
ถ้ามีคนเดินผ่านข้างใต้เขา จะรู้สึกได้ว่า ด้านล่างของตัวลู่เซิ่งปล่อยไอร้อนไร้รูปร่างออกมาตลอดเวลา
เป็นเพราะไอร้อนที่รุนแรงสายนี้ที่ทำให้ร่างกายอันหนักอึ้งของเขาเคลื่อนไหวอย่างไร้สุ้มเสียง แผ่วเบาดั่งสำลี
กล่าวง่ายๆ ก็คือ ลู่เซิ่งอาศัยปราณภายในที่ล้ำลึกสุดเปรียบปานเป็นอุปกรณ์ไอพ่น ผลักดันตนเองบินไปด้านหน้า สร้างปรากฏการณ์ลวงเหมือนวิชาตัวเบากลายๆ
หนำซ้ำการใช้แบบนี้ สำหรับเขาในสภาพหยินโชติช่วงแล้ว ความเร็วในการสิ้นเปลืองปราณภายในยังช้ากว่าความเร็วในการคืนปราณ จึงไม่มีผลกระทบใดๆ
พุ่งผ่านผิวน้ำไม่กี่ลมหายใจ ลู่เซิ่งก็ขึ้นบนฝั่ง จากนั้นก็ผลุบหายไปในม่านวิกาลมืดมิดอย่างเงียบเชียบ
เขาเร็วเหลือเกิน ครั้นเร่งความเร็วสุดกำลังก็เหมือนกับลมหอบหนึ่ง พริบตาเดียวก็ลอยไปหลายร้อยหมี่ หนึ่งหมี่สำหรับเขาคือสองกะพริบตา
แสงจันทร์จางๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังชั้นเมฆ สาดส่องผืนดิน เห็นเขาเหมือนกับควันดำสายหนึ่ง แวบผ่านพื้นดินสูงต่ำอย่างต่อเนื่อง
ทิศทางที่เขามุ่งไปไม่ใช่เมืองเลียบคีรี แต่เป็นเมืองป่าบูรพาทางเหนือ
เปรี้ยง
สายฟ้าสายเล็กๆ แวบผ่านเมฆดำ สาดส่องพื้นดินเพียงพริบตาหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ! ทุกคนดื่ม! ไม่ต้องเกรงใจ! ดื่มให้เต็มที่!”
เมืองป่าบูรพา อยู่ในเขตเมืองใหญ่ประสานมังกร มียอดหอคอยสูงที่งดงามไม่ธรรมดา โร่วหลงประมุขพรรคดาวเขียว มือหนึ่งถือน่องวัวขนาดใหญ่ มือหนึ่งโอบเอวกิ่วของโฉมสะคราญผู้อ่อนหวาน หัวเราะลั่นพลางทักทายแขกเหรื่อในงานเลี้ยง
“แม้พรรควาฬแดงเป็นผู้ปกครองแดนเหนือ แต่ตอนนี้พวกเราหลบภัยชั่วคราว เด็กน้อยลู่นั่นแม้พลังแข็งแกร่ง แต่ก็เอื้อมมือมาไม่ถึงเมืองประสานมังกร ที่นี่คือเมืองป่าบูรพา ทุกท่านไม่ต้องห่วง! ขอแค่มีข้าโร่วหลงอยู่ จะไม่ให้พรรควาฬแดงยื่นกรงเล็บเข้ามาแน่” โร่วหลงสัญญาอย่างผ่าเผย
“ประมุขพรรคโร่วหลงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองประสานมังกร คำพูดของท่านพวกเราย่อมเชื่อถือ เพียงแต่พรรควาฬแดงมีขุมกำลังยิ่งใหญ่ ปัจจุบันยังเรียกคนไปพบปะ ไม่แน่ว่าจะมีใจทะเยอทะยาน วางแผนการไว้…” หัวหน้าพรรคคนหนึ่งของเมืองประสานมังกรเอ่ยอย่างกังวล
พวกเขาทั้งหมดเป็นยอดฝีมือไม่กี่คนในเมืองป่าบูรพา ที่นี่หากนับกันจริงๆ ไม่ถือเป็นแดนเหนือ แม้จะอยู่ห่างจากเมืองเลียบคีรีไม่ไกล แต่ก็อยู่ทางตะวันออกติดแม่น้ำ ด้านบนเป็นธารน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตา
หลังโดนบีบคั้นพวกเขาอย่างมากก็ขนย้ายข้าวของ ล่องเรือหนีออกจากที่นี่เพื่อเปลี่ยนสถานที่ ถึงอย่างไรเมืองประสานมังกรของพวกพวกเขาแม้มีอย่างอื่นไม่เยอะ แต่มีเรือเยอะ
พรรคดาวเขียวเป็นหนึ่งในสองพรรคใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นี่ โร่วหลงประมุขพรรคฝึกฝนพลังไขมัน ไม่มีใครสู้ได้ คนธรรมดาปล่อยหมัดใส่เขา ก็จะถูกพลังดีดสะท้อนหักกระดูกในชั่วพริบตา
“ที่นี่อยู่ไกล พวกเราควบคุมเส้นทางเดินเรือของเกาะทางตะวันออก อย่างมากถ้าแตกหักก็เดินเรือออกทะเล จะสนใจจิตใจทะเยอทะยานของเขาไปทำไม” หัวหน้าพรรคอีกแห่งหนึ่งซดสุรากินเนื้ออย่างมูมมาม ไม่แยแสสนใจ
สามารถหาเนื้อวัวสุกมากินในถิ่นที่ฟ้าน้ำมีแต่แข็ง ดินมีแต่หิมะเช่นที่นี่ได้ แค่ใช้คำว่าฟุ่มเฟือยบรรยายไม่พอแล้ว
“พูดมากไปใย ดื่ม! เพื่อฉลองที่วันนี้ที่งมมาได้มาก ไม่ได้ของทะเลเยอะๆ แบบนี้มานานแล้ว ออกทะเลในครั้งนี้เพียงพอให้พวกเราดื่มกินได้มากกว่าครึ่งปี!” โร่วหลงยกถังสุรา ตะโกนขึ้น
“ไม่ผิด! ดื่ม!”
“เพื่อเมืองประสานมังกร!”
“หมดจอก!”
“หมดจอก!”
พวกหัวหน้าพรรคใบหน้าแดงเรื่อ ยกจอกสุรา ถ้วยสุราขึ้นดื่มรวดเดียว
แอ๊ด…
ทันใดนั้นประตูห้องงานเลี้ยงไม่ทราบเกิดอะไรขึ้น พลันแง้มเป็นร่องแยก คล้ายลมแรงเกินไป จึงถูกพัดเปิด
องครักษ์เฝ้าประตูสองคนรีบเข้าไปกดประตูใหญ่ คิดผลักกลับไปเหมือนเดิม
แต่เพิ่งจะปิดประตูใหญ่ แรงอันมหาศาลก็กระแทกใส่บานประตู
เปรี้ยง!
ทั้งสองกระเด็นกลิ้งไปชนใส่กำแพง ไม่ทราบเป็นหรือตาย
ในแสงจันทร์เย็นเยียบ บุรุษผมยาวถึงเอวคนหนึ่งถือดาบยืนอยู่ที่ประตูใหญ่
ในเงามืดของเส้นแสง มองไม่เห็นใบหน้าของเขา เพียงเห็นผมยาวสีดำที่ยุ่งเหยิงถูกลมพัดลอยไปทางซ้าย
“ครึกครื้นจริงๆ…คนมากขนาดนี้เชียว…” เสียงของบุรุษผมยาวสะกดเสียงหัวเราะของทุกคนในชั่วพริบตา ดังสู่รูหูของทุกคนอย่างชัดเจน
ฟู่…
ลมเย็นยะเยียบพัดจากประตูใหญ่ที่อ้าออกเข้าไปด้านใน คนที่เมาอยู่สร่างเมาแล้ว
“ผู้ใด!?”
เช้ง
มีคนชักดาบ ค่อยๆ ลุกขึ้น มองมาด้วยสายตาดุร้าย
ยังมีอีกหลายคนเดินออกไปจากประตูเล็ก ไม่ใช่คิดหนี ก็คิดอ้อมไปล้อมทางด้านหลัง
แก๊ง!
โร่วหลงโยนไหสุราทิ้ง ไหสุรากระแทกใส่กำแพงหิน กลิ้งลงมาส่งเสียงกึงกัง สุราที่เหลือไหลออกจากไห หกบนพื้น
เขายืดตัวขึ้น ใบหน้าที่อ้วนฉุเป็นก้อนไขมันหลายชั้นยิ้มอย่างแปลกประหลาดและโหดเหี้ยม
“มีคนบุกมาถึงที่นี่เลยหรือนี่…”
ร่างมหึมาของโร่วหลงสูงเกือบสองหมี่กว่าๆ ยามลุกขึ้นเหมือนกับภูเขาไขมันที่เคลื่อนไหวได้ ฝ่ามืออวบใหญ่สองข้างตบลงพื้นดังตึงตัง ห้องงานเลี้ยงสั่นสะเทือนน้อยๆ
เหอะๆๆ! เขาหัวเราะอย่างดุร้าย
……………………………………….
[1] ซันเกิง เป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน