บทที่ 186 ไม่หัวเราะ (4)
“ผู้อาวุโสสวีหายตัวไปหรือ คนสิบกว่าคนที่ไปค้นหาด้วย หายไปในหุบเขาลึกทั้งหมด” เขาขยำกระดาษจดหมายเป็นก้อน เสียงพึ่บเมื่อแสงไฟกะพริบวาบ กระดาษกลายเป็นผงดำโปรยปรายผ่านร่องนิ้ว
ตอนนี้จัตุรัสแดงล่มสลาย จวนอู๋โยวถอยหนี ผีป่าวิญญาณเลวส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่เขาก็ส่งยอดฝีมือจำนวนมากไปกวาดล้าง ความประหลาดลี้ลับที่แข็งแกร่งกว่าจะไม่ปรากฏตัวมาในเร็วๆ นี้
ส่วนภูตผีที่พลังแข็งแกร่ง มีสติปัญญา เมื่อไม่มีจัตุรัสแดงคอยหนุน ทั้งหมดรับรู้บารมีของพรรควาฬแดง พอแจ้งชื่อแล้วก็ล่าถอยไปเอง
ส่วนภูตผีที่พลังอ่อนแอกว่า พลังย่อมอ่อนด้อยกว่า ยอดฝีมือกำลังภายในของพรรคจัดการได้อย่างรวดเร็ว
จ้าวเจียวเจียวกับสวีชุยคอยกำจัดภูตผีระดับนี้
แดนเหนือบังเกิดความสงบสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนบารมีของลู่เซิ่งก็ดุจอาทิตย์กลางหาวเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน
ในแนวโน้มที่ดีเช่นนี้ แต่กลับมียอดฝีมือระดับผู้อาวุโสหายตัวไป นี่เป็นการท้าทายอย่างร้ายแรงต่อพรรควาฬแดง
ลู่เซิ่งอธิบายข้อผิดพลาดให้หลินหงเหลียนกับหยวนจง ปล่อยให้พวกนางฝึกฝนกันเอง แล้วหมุนตัวตรงดิ่งไปยังห้องหนังสือของประมุขพรรค
เขานั่งอ่านเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียดในห้องหนังสือ หลังจากได้รับจดหมายตอบกลับของจ้าวเจียวเจียวในครั้งก่อน สิบกว่าวันมานี้ก็ไม่ได้รับข้อมูลใดๆ อีก
ด้วยนิสัยของจ้าวเจียวเจียว ถ้าไม่เจอปัญหา ก็ฆ่าคนจนเพลินเป็นเหตุให้ลืมเรื่องหลักไป
ลู่เซิ่งครุ่นคิดสักพัก แล้วสั่งว่า “ให้นิ่งซานมาเจอข้า”
“ขอรับ” องครักษ์ใกล้ชิดรับคำสั่งแล้วจากไป
ไม่ทันไรนิ่งซานที่อยู่ในพรรควาฬแดงก็บึ่งเข้ามาในห้องหนังสือพร้อมเหงื่ออาบเต็มตัว
“นิ่งซานคำนับประมุขพรรค!” เขาคุกเข่าลงกับพื้น สีหน้าเลื่อมใส
“เป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งแล้วหรือ” ลู่เซิ่งค่อนข้างประหลาดใจ นิ่งซานเป็นหนึ่งในคนที่เขาถ่ายทอดข่ายกระเรียนหยินให้ เมื่อมีข่ายกระเรียนหยิน เหล่ายอดฝีมือกำลังภายในจะฝึกฝนปราณภายในได้เร็วกว่าก่อนหน้ามาก กระนั้น นิ่งซานที่เดิมอยู่ในระดับพลังปลอดโปร่งกลับกลายเป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งเร็วขนาดนี้ นี่ทำให้เขาคาดไม่ถึง ตามหลักการทั่วไป อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะมีโอกาสบรรลุระดับนี้
“เอ่อ…หลังจากโชคดีบรรลุแก่นแท้มรรคายุทธ์ ก็เข้าใจหมัดทะลวงภูผาที่ข้าน้อยฝึกอย่างปรุโปร่ง” นิ่งซานตอบอย่างเคารพ เขาไม่ใช่ระดับสำนึกปลอดโปร่งที่สั่งสมปราณภายในแล้วยกระดับขึ้นมา หากแต่อาศัยการทำความเข้าใจขอบเขตของตัวเอง
แม้ปราณภายในของระดับสำนึกปลอดโปร่งในลักษณะนี้จะสู้อีกแบบไม่ได้ ทว่ามีพื้นฐานที่มั่นคงกว่า พลังที่พวกเขาแสดงออกมาจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อมีพลังยุทธ์เท่ากัน แต่ก็เป็นแค่ขอบเขตหนึ่ง ในความจริงพลังฝึกปรือของวิชากำลังภายในยังไม่ถึงขั้น พลังจึงยังไม่พอ เพียงแค่ไม่มีคอขวดบนขอบเขตแล้ว
ตอนแรกตัวลู่เซิ่งก็บรรลุแก่นแท้วิชาดาบพยัคฆ์ดำ ก้าวสู่ระดับสำนึกปลอดโปร่งเช่นกัน
สวีชุยที่ลู่เซิ่งคาดหวังมาโดยตลอดกลับไม่อาจบรรลุขั้นสำนึกปลอดโปร่งได้ สุดท้ายก็ต้องให้เขาถ่ายพลังยุทธ์ให้ จึงข้ามมาถึงระดับนี้ได้
“ในเมื่อเจ้าบรรลุสำนึกปลอดโปร่งแล้ว ก็ไปกับข้าได้พอดี” ลู่เซิ่งว่า นิ่งซานเป็นคนสายตากว้างไกล จัดการเรื่องราวจิปาถะได้อย่างเชี่ยวชาญทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง พาไปไหนก็สบาย
“เอ่อ…ข้าน้อยเพิ่งเลื่อนระดับ จะเร็วเกินไปหรือไม่…” นิ่งซานลังเลอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งยิ้มๆ “ข้าจะให้พลังเจ้าไว้ ไม่ถึงที่สุดห้ามใช้”
เขายกมือขวาขึ้น เดินไปด้านหน้านิ่งซาน
ผัวะ!
ฝ่ามือที่เร็วราวกับสายฟ้า ฟาดไปที่ศีรษะของนิ่งซาน
ซู้ด…ปราณหยินหยางขวดสมบัติสายใหญ่จำนวนมากทะลักเข้าไปในร่างของนิ่งซานอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากลู่เซิ่งทำศึกใหญ่กับผู้คุมจัตุรัสแดง และจากตัวยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าในพันธมิตรบู๊ เขาได้ดูดซับพลังยุทธ์มาร้อยปี ตอนนี้ถ่ายให้นิ่งซานอย่างบ้าคลั่งในรวดเดียว
นิ่งซานตัวสั่น ขณะปราณภายในไหลซัดเข้ามา เนื่อเยื่อและกล้ามเนื้อหลายแห่งบวมขยายและบิดกระตุก ข้อต่อกระดูกเริ่มเปลี่ยนแปลง
เหมือนกับสวีชุย ขณะรับการถ่ายทอดปราณหยินหยางขวดสมบัติ ซึ่งเป็นปราณภายในธาตุหยินปริมาณมากในเวลาสั้นๆ นิ่งซานเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเช่นกัน
พลังยุทธ์มากกว่าร้อยปี และปราณภายในแปดสิบปีไหลบ่าเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง นิ่งซานเลือดย้อนขึ้น กระอักออกมาจากปาก ลมปราณอ่อนแอลงด้วยความเร็วสูง กำลังจะถึงขีดจำกัด
ลู่เซิ่งรีบชักมือกลับ
ปราณภายในแปดสิบปี บวกกับพื้นฐานปราณภายในที่เขาฝึกฝน โดยพื้นฐานก็ไปถึงขีดจำกัดของร่างกายร่างนี้แล้ว
รับการถ่ายทอดและกระแทกกระทั้นจากปราณภายในจำนวนมากขนาดนี้ในเวลาครู่เดียว มือซ้ายของนิ่งซานทนไม่ไหว ส่วนข้อศอกและแขนท่อนปลายนูนขึ้นมา ผิวกลายเป็นสีดำและแดง ถึงขั้นมีขนสีดำเหมือนกับหนามแหลมเล็กเรียวงอกขึ้นช้าๆ
พรึ่บ!
พละกำลังที่แขนซ้ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง เริ่มกระตุก นิ่งซานทนไม่ไหว กดแขนลงกับพื้น เพื่อหยุดการสั่นไหวและการสะบัดอันรุนแรงของมัน
“ผ่อนคลาย…ผ่อนคลาย…” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศักยภาพของเจ้าถูกเปิดแล้ว ข้าเพียงแค่ช่วยอีกแรง”
เพราะมีข่ายกระเรียนหยินควบคุม นิ่งซานจึงรู้สึกว่าแรงต้านที่แขนซ้ายลดลงช้าๆ ไม่ทันไรเขาก็ควบคุมแขนซ้ายที่เกิดใหม่ได้อย่างคล่องแคล่ว
ขนสีดำกับผิวหนังสีแดงอมดำหดกลับเป็นปกติ กลายเป็นสภาพของมนุษย์ดั่งเดิม
นิ่งซานได้ทราบจากสวีชุยมานานแล้วว่า ประมุขพรรคมีความสามารถเปิดศักยภาพ ดังนั้นแม้ตอนนี้เขาจะตกใจที่แขนของตนเกิดการเปลี่ยนแปลง ทว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรนัก
“ขอบคุณประมุขพรรคที่ชี้แนะ!” เขาคุกเข่าลง กล่าวอย่างอย่างพลุ่งพล่านใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าพลังของตนทวีขึ้นไม่ทราบกี่เท่า
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวตามข้าไปเมืองชาใส” ยอดฝีมือกำลังภายในที่เขากางข่ายกระเรียนหยินให้คนหนึ่งหายตัวไป เท่ากับผลสำหรับเก็บเกี่ยวปราณภายในของเขาหายไปหนึ่งผล ไม่ว่าจะเพื่อความสงบของพรรควาฬแดงและแดนเหนือ หรือเพื่อการยกระดับวิชากำลังภายในต่อจากนี้ ลู่เซิ่งก็ต้องไปตรวจสอบดู
นอกจากนี้อาจได้ดูดปราณหยินส่วนหนึ่งด้วย
“ขอรับ!” นิ่งซานตอบอย่างนอบน้อม
รอจนเขาถอยออกไปอย่างพินอบพิเทา ในห้องหนังสือก็สงบเงียบอีกครั้ง เงาร่างเล็กจิ๋วก็เดินออกมาจากด้านหลังชั้นหนังสือ
“เป็นความสามารถชั่วร้ายนี้จริงๆ นอกจากจะควบคุมคนได้ ยังเปลี่ยนให้คนกลายเป็นกึ่งมารปีศาจ…” สตรีกางร่มสีหน้าเคร่งขรึม
“กึ่งมารปีศาจหรือ เจ้าตัดสินผิดแล้ว พวกเขายังคงเป็นมนุษย์” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยยิ้ม
“คนที่เหมือนมารปีศาจ เจ้านึกว่าข้าจะเชื่อหรือ กึ่งมารปีศาจก็คือกึ่งมารปีศาจ มีผู้เข้มแข็งไม่น้อยเคยทำการทดลองด้านนี้” สตรีกางร่มน้อยเอ่ยเสียงเย็น “จริงด้วย เคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝนต้องกลืนกินความเคียดแค้น เจ้ารับปากข้าว่าจะช่วยข้าฟื้นฟูพลังกลับมานี่!”
“แน่นอน ดังนั้นเจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ความแค้นที่เกิดเพราะเรื่องนี้คงมีไม่น้อยแน่” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าวางใจให้ข้าอยู่ห่างจากเจ้าหรือ” สตรีกางร่มตัวน้อยเอ่ยอย่างเย็นชา
“รู้ก็ดีแล้ว” ลู่เซิ่งเซิ่งบีบแก้มรูปไข่ของนาง
สตรีกางร่มตัวน้อยคิดหลบแต่ไม่มีประโยชน์ เพราะมีข่ายกระเรียนหยินอยู่ ร่างกายขัดความต้องการของตัวเอง ยืนอยู่กับที่ปล่อยให้ลู่เซิ่งบีบ ทั้งยังคลอเคลียมือของลู่เซิ่งอย่างน่ารัก
หนึบ
ใบหน้ารูปไข่ที่เปล่งปลั่งถูกบีบเป็นเนื้อนุ่มก้อนเล็กๆ จากนั้นก็ถูกปล่อย
ฟุ่บ
สตรีกางร่มหุบปากไม่ลง เป่าลมออกมา ส่งเสียงประหลาด
“เจ้า!” ใบหน้านางพลันแดงก่ำ “ข้าจะฆ่าเจ้า! ย๊าก!” นางยกสองมือขึ้นคว้าใส่ดวงตาลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งเมินความโกรธของอีกฝ่าย หลบมือที่โบกวุ่นวาย ลุกขึ้นแล้วพลิกคัมภีร์บนโต๊ะหนังสือ
สตรีกางร่มตัวน้อยได้แค่แผดเสียงอยู่ที่เดิม ไม่ว่าท่อนบนจะเคลื่อนไหวอย่างไร ท่อนล่างก็ยึดติดอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อน ถูกข่ายกระเรียนหยินควบคุมไว้จนทำอะไรไม่ได้
“ตามที่ข้ารู้ ความประหลาดลี้ลับสมควรเป็นปัญหาที่หายากที่สุด ไม่รู้ว่าจากมุมมองของภูตผีปีศาจอย่างพวกเจ้า ความประหลาดลี้ลับเป็นอะไร” ลู่เซิ่งถามลอยๆ
“เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่หยามข้าอีก! ข้าถึงจะบอก!” สตรีกางร่มขัดขืนจนหมดแรง กล่าวเสียงเฉียบขาด
“ได้”
สัญญาเร็วไปแล้ว
สตรีกางร่มอ้าปาก ยังไม่ทันใช้เหตุผลและคำเกลี้ยกล่อม ก็ได้ผลลัพธ์แล้ว
ลู่เซิ่งเล่าเรื่องของเมืองชาใสคร่าวๆ
“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้ใด”
“เป็นความประหลาดลี้ลับอย่างชัดเจน” หงฟางไป๋สงบสติอารมณ์ แค่นเสียงกล่าวว่า “ความประหลาดลี้ลับส่วนใหญ่มีความยึดมั่นที่แรงกล้า ถ้าเติมเต็มความยึดมั่นของมันไม่ได้ ไม่ตายก็ไม่เลิกรา การควบคุมความประหลาดลี้ลับของพวกเราก็แค่ใช้วิธีพิเศษบางอย่าง ทำให้พวกมันนึกว่ามีมนุษย์ที่ระบุไว้แล้ว ล่วงล้ำเข้าสู่อาณาเขตของตนเอง ไม่ใช่การควบคุมจริงๆ”
“อย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าความประหลาดลี้ลับเกิดขึ้นได้อย่างไร” ลู่เซิ่งถาม
“เรื่องนี้เจ้าต้องถามอิงอิง ข้าไม่ใช่ความประหลาดลี้ลับ จะรู้เรื่องอะไร!” หงฟางไป๋กล่าวอย่างเหยียดหยาม “จากประสบการณ์หลายปีของข้า พวกที่อยู่โดดเดี่ยวยังดี ชักนำกับควบคุมได้ง่าย แต่ถ้าเจอตัวที่ยุ่งยากที่สุด…”
ถึงจะไม่พอใจลู่เซิ่ง แต่นางก็ตอบโดยให้ความร่วมมืออย่างดี
“จะว่าไป เทียบกับความประหลาดลี้ลับชนิดนั้น ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนหัวหน้าความประหลาดลี้ลับมากกว่า! แต่ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับพวกมันแล้ว ฝั่งไหนจะร้ายกาจกว่ากัน” หงฟางไป๋พูดพลางหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์
“ข้าคาดหวัง คาดหวังว่าตอนเจ้าเจอพวกมันจะทำหน้าอย่าง…”
ผัวะ!
ลู่เซิ่งตบนางล้มลงกับพื้น
“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรทำท่าแก่แดด” ลู่เซิ่งเอ่ย “นอกจากนี้ความประหลาดลี้ลับอีกชนิดที่เจ้าว่าคืออะไร”
“สามหาว!”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งตบอีกรอบ
หลังยื้อยุดกันสักพัก สตรีกางร่มตัวน้อยก็กลับไปนั่งที่เดิมพร้อมแก้มที่บวมแดง จ้องลู่เซิ่งด้วยใบหน้าโกรธแค้น
“ความประหลาดลี้ลับชั่วร้ายชนิดนั้นเป็นอีกชนิดกับอิงอิง เหมือนดอกไม้สีดำแห้งเหี่ยว เหมือนน้ำครำใต้สะพาน ให้ความรู้สึกสกปรกโสมม” หงฟางไป๋หัวเราะหึๆ “ข้าเคยสู้กับพวกมันมาก่อน พวกมันคิดเอาตัวอิงอิงไป น่าเสียดายถูกข้าขัดขวาง ภายหลังข้าไล่ตามไม่ทัน”
“อ้อ? จับความประหลาดลี้ลับหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “มีวิธีการแยกแยะพวกมันหรือไม่”
หงฟางไป๋พยักหน้า
“มี เครื่องหมายของพวกมันคือไม่ว่าจะไปไหน ทุกคนที่อยู่รอบๆ จะถูกดูดพลังงานโดยอัตโนมัติ นอนไม่หลับ สูญพลังงานอย่างสาหัส ดูเหมือนนอนไม่พอ”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งพลันงงงัน คล้ายกับว่าเคยเห็นลักษณะคล้ายๆ กันจากไหนสักแห่ง
ที่พรรคชา
เขานึกย้อนถึง คันฉ่องบานนั้น…
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องคันฉ่องที่สลักรูปหงส์ จิ้งจอก กับแมวหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“หงส์ จิ้งจอก แมว? เจ้า…เจ้าไม่ได้หมายถึงคันฉ่องแก้วกระมัง” หงฟางไป๋พลันเบิกตาโต
……………………………………….