บทที่ 192 ไม่หัวเราะ (10)
เหยียนไคอ้าปาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“พี่เหยียนไค” เวลานี้หรงหรงเบียดตัวเข้ามาจากประตู “นี่คือ…เกิดอะไรขึ้นหรือ” นางมองภาพนี้ด้วยสีหน้างุนงง
ฝนเทหนักลงมาเรื่อยๆ ฟ้าผ่ายิ่งมายิ่งดัง ทุกคนจนปัญญา จึงเข้าไปหลบฝนในเรือนหลัก
เรือนหลักสภาพไม่ดีนัก ผนังสกปรกและมีแต่หยากไย่ สิ่งที่สมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวคือเก้าอี้สองสามตัว
ชายฉกรรจ์หน้าบากนั่งบนเก้าอี้ หยิบกิ่งไม้หยาบขึ้นมาเขี่ยกองไฟบนพื้น
“ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็เจอสภาพอากาศเลวร้ายขนาดนี้ เดิมคิดไปหาพี่ชายในเมืองที่อยู่ไม่ไกล ตอนนี้เกรงว่าจะต้องรอถึงวันมะรืนแล้ว”
พวกเฉินจื่อกวงไม่ได้พูดอะไร ยามอยู่ด้านนอกอย่าได้บอกเล่าประวัติตนเองตามใจ นี่เป็นความรู้ทั่วไป ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าแค่เครื่องแบบของตนก็เผยสถานะออกมาแล้วก็ตาม
“ที่แท้ท่านก็เข้ามาหลบฝนเหมือนกัน” เหยียนไคกระจ่างแจ้ง
“ท่านพี่คิดว่าอย่างไรเล่า” ชายฉกรรจ์ทำหน้าฉงน
“เอ่อ…ไม่พูดแล้วๆ” เหยียนไคเดาว่าก่อนหน้านี้ตนอาจถูกสิ่งใดล่อลวง
เขามองต้วนหรงหรงกับว่านเหอจื่อ คนทั้งสองดียิ่ง ไม่ต่างจากยามปกติ
“จะว่าไปเมื่อครู่นี้มีหมอกหนามาก…”
“หมอกเมื่อครู่หนาจริงๆ” ชายฉกรรจ์หน้าบากพยักหน้า “แต่อยู่ๆ ก็หายไป แปลกอยู่บ้าง ในป่าเขาแบบนี้ทุกคนระวังไว้หน่อยก็ดี”
“ถูกต้อง ท่านพี่กล่าวถูกต้อง” เฉินจื่อกวงพยักหน้าเห็นด้วย
ครืน
สายฟ้าสายหนึ่งแลบขึ้น ส่องสว่างนอกบ้านเป็นสีขาวโพลน
ทุกคนอังเสื้ออยู่รอบกองไฟ ถือโอกาสสนทนากัน
เหยียนไคจึงค่อยทราบว่า ชายฉกรรจ์หน้าบากคนนั้นชื่อซุนช่านขวง มาจากพื้นที่อื่นเพื่อไปขอพึ่งพิงพี่ชายตนซึ่งเป็นคนในยุทธภพ เขาเล่าว่าเป็นคนของสำนักมหาอินทรีอะไรสักอย่าง
บัณฑิตสองคนนั้นพาเด็กรับใช้มาด้วยคนหนึ่ง กำลังไปสอบในเมืองที่อยู่ใกล้ๆ
แสงไฟอบอุ่น ด้านนอกเกิดฝนฟ้าคะนอง อุณหภูมิลดฮวบลง แดนเหนืออยู่ใกล้ธารน้ำแข็ง เดิมอุณหภูมิต่ำถึงขีดสุด บวกกับเป็นฤดูสารทคิมหันต์ จึงเหน็บหนาวกว่าเดิม ถ้าไม่มีไฟ ความเย็นตอนกลางคืนสามารถเด็ดชีวิตชายฉกรรจ์ได้
“บ้านหลังนี้ใหญ่จริงๆ มีห้องเดี่ยวเชื่อมกันสามห้อง ข้ายึดห้องหนึ่งไปแล้ว ที่เหลือทุกท่านจัดการกันเอง มืดมากแล้ว ข้าขอนอนก่อน”
หลังสนทนากัน ชายฉกรรจ์หน้าบากซุนช่านขวงก็หาวหวอด พร้อมกับลุกขึ้นยืน
“พี่ซุนตามสบาย ห้องสามห้องมีพอสำหรับพวกเราสามกลุ่มพอดี” เฉินจื่อกวงคุยกับซุนช่านขวงอย่างเพลิดเพลิน รีบลุกขึ้นประสานมือ
“เกรงใจแล้ว ยามออกเดินทางสมควรช่วยกันไม่ใช่หรือ” ซุนช่านขวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ดึกมากแล้ว อย่างนั้นพวกเราก็ไปพักผ่อนด้วยเถอะ” สวีเผยลุกขึ้นกล่าว
“ก็ดี อย่างนั้นพวกเราก็จะพักผ่อนเหมือนกัน” เหยียนไคลุกตาม พูดพลางยิ้มแย้ม
เขาขยิบตาให้ต้วนหรงหรงกับว่านเหอจื่อ ทั้งสองลุกตาม คนสามกลุ่มแยกกันเข้าห้องเดี่ยวสามห้องในบ้านหิน
“คืนนี้…พักผ่อนกันเถอะ เตียงนั้นใช้ไม่ได้แล้ว ได้แต่เอามาก่อไฟบนพื้น” เหยียนไคเดิมอยากถามสถานการณ์ก่อนหน้าของทั้งสอง แต่คำพูดถึงมุมปาก กลับพูดไม่ออก
“พี่เหยียนไคก่อนหน้านี้ ข้าเห็นคนที่เหมือนกับท่านวิ่งในหมอกเข้าไปส่วนลึกของหมู่บ้าน ถ้าไม่ใช่ได้ยินเสียงพูดของท่านในลานว่าง ข้าอาจถูกคนผู้นั้นล่อไปจริงๆ” ต้วนหรงหรงพลันเอ่ยเบาๆ
เหยียนไคตาเป็นประกาย พยักหน้า “ระวังตัวด้วย ดูดีๆ ก่อนตัดสินใจ อย่าได้รีบร้อน”
“ศิษย์น้อง พรุ่งนี้เจ้าพวกเจ้ากลับไปเถอะ เป็นข้าแส่หาเรื่อง สมควรให้ข้าจัดการเอง…” ว่านเหอจื่อสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์พี่ไม่ต้องพูดแล้ว” เหยียนไคส่ายหน้า “ระวังตัวด้วย ที่นี่พิกลอยู่บ้าง ถ้าเกิดเรื่องให้ปกป้องตัวเองก่อน เห็นอะไรก็อย่ารีบร้อนตัดสินใจ”
“อือ ข้ารู้แล้ว” ว่านเหอจื่อพยักหน้า
ทั้งสามคนต่างมีเรื่องในใจ พากันพิงกำแพงพักผ่อน
…
เมืองชาใส
ลู่เซิ่งออกจากห้องนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ฟ้ายังไม่สว่าง ยืนมองสายฟ้าแลบแปลบปลาบบนท้องฟ้าในลานว่าง
สตรีกางร่มตัวน้อย โดดออกมาจากมุมลานว่าง มองลู่เซิ่งอย่างขลาดๆ จากนั้นเดินถึงข้างบ่อกลางลาน มือน้อยๆ เริ่มใช้ถังน้ำตักน้ำทีละนิดๆ
เสียงล้อหมุนดังเอี๊ยดอ๊าด
“อิงอิงหรือ เจ้าตื่นเช้ายิ่ง” ลู่เซิ่งไม่ต้องหันหลัง ก็แยกแยะได้ว่าสตรีกางร่มตอนนี้อยู่ในร่างไหน
“ข้า…ไม่ต้อง…หลับ” สตรีกางร่มตัวน้อยตอบเบาๆ
ลู่เซิ่งอดหัวเราะไมได้
“ก็จริง ข้าลืมไป”
เขามองป่าเขาที่อยู่ห่างไกล นั่นเป็นทิศทางที่หมู่บ้านหินแห่งนั้นตั้งอยู่
“เจ้ารู้จักหมู่บ้านหินแห่งนั้นหรือไม่ จะว่าไปอายุเจ้าน่าจะเยอะกว่าหงฟางไป๋ ไม่เคยได้ยินข่าวของหมู่บ้านนั้นแม้แต่น้อยเลยหรือ”
“…ขอ…ขออภัย…” อิงอิงก้มหน้าขอโทษ
“ไม่เป็นไร ข้าถามไปเช่นนั้นเอง” ลู่เซิ่งยิ้ม “สถานที่นั้นไม่ใช่ที่ที่อยากเข้าไปแล้วจะเข้าไปได้ ข้าต้องทำความเข้าใจก่อนว่าที่นั่นมีอะไรกันแน่ จะได้รับอะไรบ้าง ทำไมเฉาหลงนั่นถึงเดินทางไกลมาที่นี่”
อิงอิงไม่เข้าใจความคิดของลู่เซิ่ง สำหรับนาง ต่อให้แข็งแกร่ง สถานที่แบบนั้นหรือว่าจะต้านทานท่านพี่ของนางในช่วงสมบูรณ์ที่สุดได้
ลู่เซิ่งเอาชนะท่านพี่ที่ร้ายกาจที่สุดมาแล้ว บนพื้นที่แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงเรื่องใด
“เจ้าไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า สถานะของเขาล่อแหลม ต้องรีบเพิ่มระดับตัวเองโดยเร็วที่สุด มีแต่พลังของตัวเองถึงขั้นที่ไม่มีใครไปถึง ไม่มีใครคุกคามได้เท่านั้น จึงจะไม่ต้องห่วงปัญหาอย่างตระกูลขุนนางและมารปีศาจอีก
ถึงอย่างไรพลังของเขาก็มากพอจะพลิกค่ำระบอบการปกครองของโลกใบนี้ได้
ก่อนหน้านั้น การเคลื่อนไหวกับการเปิดเผยที่ไร้ความหมายล้วนอันตราย ทุกครั้งที่ลงมือจะถูกค้นพบความเป็นมาได้ง่าย
อิงอิงตักน้ำเสร็จแล้วก็กลับไป ลู่เซิ่งยืนอยู่ในลานว่างสักพัก ค่อยเดินไปยังห้องหนังสือ
ต่งฉีแห่งพรรคชารออยู่ที่นั่น
“เรียนประมุขพรรค เจ้าบ้านไม่หัวเราะปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว! เมื่อวานมีคนหายไปอย่างลึกลับ ดูจากร่องรอยที่เหลืออยู่ สมควรเป็นเจ้าบ้านไม่หัวเราะโผล่มา”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งกระตือรือร้น “คนผู้นั้นหายไปได้อย่างไร”
ต่งฉีก้มหน้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในบ้านของเขาเอง ครอบครัวเขาบอกว่ากลางดึกได้ยินเสียงร้องโหยหวน จึงลุกขึ้นมาค้นดู พบว่าคนผู้นั้นหายตัวไปแล้ว ถึงบัดนี้นี่เป็นคดีที่สิบหกของเมืองนี้”
“คดีนี้แม้แต่คนที่รอดมาได้ก็ตายอยู่ดี ตึงมือยิ่ง” ลู่เซิ่งหยีตา
“ตอนนี้คนในเมืองหวาดหวั่นขวัญผวา ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรรับมืออย่างไร” ต่งฉีมองลู่เซิ่งด้วยความคาดหวัง หวังว่าเขาจะมีวิธี
“ไม่ต้องรีบ…แล้วเฉาหลงเล่า” ลู่เซิ่งยิ้มถาม
“ไม่พบร่องรอย…ยังมีพวกเหยียนไคก็หายไปด้วย แปลกยิ่ง” ต่งฉีสงสัย
“ประมุขพรรค!” ต่งฉียังพูดไม่จบ สวีชุยกลับพุ่งพรวดเข้ามา สีหน้ากระสับกระส่าย
“ในพรรคมีคนหายตัวไปแล้ว!” ประโยคแรกของเขาทำให้ลู่เซิ่งกับต่งฉีสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ใกล้เข้ามาแล้ว…ใกล้เข้ามาแล้ว…” ลู่เซิ่งดวงตาปรากฏความเย็นชา แต่ยังคงไม่เคลื่อนไหว “ระงับการเคลื่อนไหวไว้ เจ้าพาคนไปหลบซ่อนก่อน”
“ขอรับ!” สวีชุยขานรับทันที
พรรควาฬแดงไม่มีการเคลื่อนไหว มีพลพรรคหายตัวไป กระนั้นก็เหมือนไม่เคยเกิดเรื่อง เพียงแต่คนส่วนใหญ่ค่อยๆ ถอยออกจากเมืองชาใส ไปยังเมืองห่วงหยกด้วยการนำของสวีชุย
เวลาผ่านไปทีละวันๆ
เมืองชาใสสงบสุขอีกครั้ง คล้ายกับเรื่องเล่าของเจ้าบ้านไม่หัวเราะหายไปแล้ว
แต่ลู่เซิ่งทราบว่า มันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กำลังหลบซ่อนอยู่
เปรี้ยง!
เสียงสายฟ้าคำราม
ต่งฉีลุกขึ้นจากเตียง นางตื่นเพราะปวดปัสสาวะ ราตรีด้านนอกลมพัดฝนกระหน่ำ เสียงดังยิ่ง เสียงฟ้าผ่าเหมือนมีคนกำลังตีกลองอยู่นอกประตู
ครืน
ด้านนอกเป็นสีฟ้า
ซู้ด…ซู้ด…
นางสูดลมหายใจหลายครั้ง พลิกตัวลงจากเตียง แล้วสวมรองเท้า
ต่งฉีดึงประตูเปิด ห้องน้ำที่จะไปต้องผ่านโถงรับแขกในเรือน กลางดึก โคมไฟแขวนผนังที่เดิมจุดไว้ดับลงเพราะพายุพัด
นางยืนอยู่ที่ประตู ขยับคอเสื้อ รู้สึกเย็นวูบ
‘รีบไปรีบกลับดีกว่า’ นางคิดในใจเช่นนี้
ต่งฉีออกจากห้องนอน รีบจ้ำเข้าโถงรับแขกเพื่อไปยังห้องน้ำ
ทันใดนั้นนางค้นพบอย่างประหลาดใจว่า โคมไฟที่โถงรับแขกยังคงส่องแสง
แสงสีเหลืองมัวๆ ขับโถงรับแขกในเรือนหลักให้พร่ามัว
เอี๊ยด
ต่งฉีค่อยๆ งับประตูห้องนอนด้านหลัง สายตากวาดมองด้านในโถงรับแขก
‘ดึกขนาดนี้แล้ว…หรือคนรับใช้จะลืมดับโคมไฟ’ นางไตร่ตรอง
ทันใดนั้นหางตาของนางแลเห็นคนคนหนึ่งนั่งอยู่อย่างสงบบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับประตูในเรือนหลัก
เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ร่างสูงใหญ่ ท้วมเล็กน้อย หลังยืดตรง
เพราะแสงมืดสลัวและต่งฉีอยู่ไกล จึงมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
อยู่ๆ นางก็เห็นคนที่แข็งทื่อนั้นค่อยๆ หันมามองตนเองแต่ไกล
ต่งฉีที่อยู่ห่างออกมาเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่ในความพร่าเลือนนางคล้ายเห็นว่าดวงตาของเขาดำยิ่ง เหมือนกับเป็นรูสองรู
“ผู้ใด ผู้ใดอยู่ตรงนั้น” ต่งฉีใจเต้นระทึก จำไมได้ว่าตนรู้จักบุรุษที่มีรูปร่างเช่นนี้
มือขวาชักมีดสั้นจากในเสื้อนอนด้านหลังออกมา
“เล่าเรื่องตลกมา” เสียงดังมาจากบนร่างคนผู้นั้นอย่างฉับพลัน
“!?”
เจ้าบ้านไม่หัวเราะหรือ
ต่งฉีร่างแข็งค้างกับที่ ส่งเสียงไม่ออก
นางค่อยๆ เบือนหน้าไปมองประตูไม้ของห้องนอนที่เพิ่งออกมา ไม่ทราบว่ามันอ้าออกตอนไหน
บุรุษที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู ครั้งนี้อยู่ใกล้กันแล้ว นางในที่สุดก็เห็นว่าความมืดมิดในสองตาของบุรุษผู้นั้นว่าเป็นสิ่งใด
นั่นเป็นรูดำสองรู เบ้าตาไม่มีลูกตา ไม่มีอะไรเลย เพียงแต่เป็นรูเลือด ดำจนเห็นด้านในร่างกาย
ต่งฉีร่างสั่นเทา แทบกำมีดสั้นในมือไม่ไหว นางหน้าซีด ร่างเย็นเฉียบ เสื้อชั้นในเปียกชุ่มเพราะเหงื่อบนตัว
ถอยหลังอย่างเชื่องช้าไปสองก้าว
กรี๊ด!
นางกรีดร้อง หมุนตัววิ่งไปทางประตูใหญ่
กลางลานว่างนอกประตู
ลู่เซิ่งกำดาบยืนอยู่บนพื้น มองเงาร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ เดินเข้าใกล้จากทางด้านหลัง
“ข้ารอเจ้ามานานแล้ว เฉาหลง…”
คนด้านหลังชะงักเล็กน้อย…
……………………………………….