บทที่ 205 วิชาลับ (1)
ศิษย์พี่ที่เหมือนคนคลั่งไคล้การฆ่าคน
นี่เป็นภาพประทับใจแรกของลู่เซิ่งต่อหน้าขาว
ติดตามซ่งจื่ออันไปด้านหน้าต่อ ถ้ำเริ่มลาดเทลงด้านล่าง แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือ น้ำจากในร่องหินยังคงไหลจากด้านในถ้ำออกไปด้านนอก
“อย่าไปสัมผัสกับน้ำข้างใต้ มันมีพิษร้ายแรง…ต่อให้เป็นพวกเรา… ก็ต้านทานไม่ไหวเหมือนกัน” ซ่งจื่ออันเตือนอย่างเย็นชา
“อือ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ความจริงไม่ต้องให้อีกฝ่ายบอก เขาก็เห็นแหล่งที่มาของลำธารแล้ว
ฝั่งขวาของถ้ำ มีงูหลามสีดำขนาดยักษ์มีตาเดียวตัวหนึ่ง เอียงศีรษะหลับสนิท ขณะงูหลามดำอ้าปากใหญ่โดยไม่รู้ตัว น้ำลายเหนียวหนืดจำนวนมากก็ไหลย้อยออกมาจากช่องปากของมัน
กล่าวไปก็ประหลาด น้ำลายนั้นยิ่งอยู่ห่างจากงูหลามดำ ก็ยิ่งกระจ่างใสเจือจาง เดิมทีขนาดเท่าแขน พออยู่ไกลๆ ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเหมือนกับแม่น้ำเล็กๆ ท่วมร่องหินในถ้ำจนเต็ม
“นางเป็นผู้พิทักษ์สำนัก ชื่อว่ามี่ (ความลับ) เจ้าเรียกนางว่าคุณหนูความลับก็ได้” ซ่งจื่ออันแนะนำ “แต่ว่าในเวลาส่วนใหญ่คุณหนูมี่จะนอนหลับ หลังจากตื่นจะหงุดหงิดมาก ทางที่ดีอย่าไปอยู่ใกล้เกินไป จะได้ไม่ถูกกิน”
ลู่เซิ่งพยักหน้า ไร้คำพูดโต้ตอบ
เดินไปด้านหน้าต่อโดยใช้เวลาหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดด้านหน้าก็เริ่มมีแสงสว่าง หน้าผาหินขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในสายตาลู่เซิ่ง
นั่นเป็นรังบนหน้าผาหินที่ใหญ่และสว่างเหมือนกับรังผึ้ง รูสีดำแน่นขนัดด้านบนคือถ้ำหินสูงหลายหมี่จำนวนมาก ทุกถ้ำมีประตูหิน เหมือนกับสามารถอยู่อาศัยได้
เสาหินหยาบกว้างต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า หน้าผาหิน ทาสัญลักษณ์สีแดงขนาดใหญ่สัญลักษณ์หนึ่งเอาไว้ มันเปล่งแสงที่น่าอึดอัดและสยดสยองในความมืด
“ที่นี่เป็นใจกลางสำนักของพวกเรา ถ้ำว่างเหล่านี้ใช้อยู่อาศัยได้ ถึงเวลาเจ้าจะต้องเลือกสักถ้ำหนึ่งเพื่อพักอยู่ที่นี่ นอกจากนั้น สำนักในตอนนี้มีผู้อาวุโสใหญ่ดูแลเรื่องราวทั้งหมด ข้าจะพาเจ้าไปพบเขาก่อน” ซ่งจื่ออันอธิบาย
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“รบกวนแล้ว”
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปตามบันไดหินฝั่งขวาของหน้าผาหิน ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพอเข้ามาที่นี่ ก็มีพลังงานที่ยิ่งใหญ่อย่างในเมืองกระดิ่งขาวกำลังตรวจตรากวาดผ่านทุกๆ พื้นที่ในบริเวณใกล้ๆ
พลังงานนั้นยิ่งใหญ่อย่างน่ากลัว ถึงขั้นเห็นไม่หมด พริบตาที่เดินขึ้นบันไดหิน เหมือนกับเดินในโคลนตมเหนียวๆ กลุ่มหนึ่ง รอบๆ ตัวน่าอึดอัด ปราณภายในเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าคลุมเครือ
“จริงด้วย ที่นี่มีชิ้นส่วนอาวุธเทพ ที่สำนักเราสะกดไว้อยู่ อาจจะอึดอัด ปรับตัวเล็กน้อยก็จะชินเอง” ซ่งจื่ออันอธิบายอีกครั้ง
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรมาก เพียงพยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้ว
ทั้งสองคนขึ้นไปด้านบน ไม่นานก็ถึงถ้ำชั้นบนสุดของหน้าผาหิน หยุดลงหน้าถ้ำหินตรงกลาง
ตุบๆๆ
ซ่งจื่ออันเคาะประตูหิน
“เข้ามา” ด้านในแว่วเสียงชายชราที่ดังกระจ่างแต่ก็หนักแน่น
ประตูค่อยๆ เลื่อนออก ซ่งจื่ออันนำลู่เซิ่งก้าวฉับๆ เข้าไป
ด้านในเป็นแสงเทียนสีเหลืองอ่อนโยน ตะเกียงสีเหลืองมากมายตั้งอยู่สองฟากในถ้ำ โต๊ะหนังสือและเก้าอี้ไม้สีเหลืองกระจายกันตั้งอยู่ ข้างใต้เป็นพรมสีขาวนุ่ม บนผนังแขวนเสื้อคลุมสีขาวสะอาดไว้หลายตัว
ชายชราที่ชรามากแล้ว มีรอยย่นบนใบหน้าดุจเปลือกไม้ ถือหนังสือกระดาษเล่มหนึ่ง นั่งอ่านอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ
“พาคนมาแล้วท่านผู้อาวุโสใหญ่” ซ่งจื่ออันกล่าวเสียงดัง
“ลำบากแล้วจื่ออัน” ชายชราเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ดวงตาที่ขุ่นมัวอยู่บ้างหยุดอยู่บนร่างลู่เซิ่ง
“ยินดีต้อนรับศิษย์น้องเล็กลู่ ถ้ายืนยันจะอยู่ ก็เลือกถ้ำอยู่สักคืนหนึ่ง แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจ”
“ข้ายืนยันว่าจะอยู่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ตกลง ข้าคือลิ่วซานจื่อผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักมารกำเนิด ปัจจุบันในสำนักมีผู้อาวุโสทั้งหมดสามคน สองคนดูแลเรื่องต่างๆ ไม่มีศิษย์ ทุกๆ วันยามรุ่งสางจะมีเสียงระฆังดังทั้งหมดสองครั้ง บอกว่าคาบเช้าของพวกเราเริ่มต้น เจ้าเลือกมาเรียนหรือจะเลือกปิดด่านในถ้ำก็ได้ จะไม่มีใครรบกวน ถ้าจะปิดด่านต้องแขวนป้ายไว้นอกถ้ำ”
ลู่เซิ่งพยักหน้าบอกว่าเขาเข้าใจ
“มีตรงไหนไม่เข้าใจ ก็ถามกับจื่ออันได้ เขาอยู่ที่สวนสุสานข้างหน้าผาหินของสำนัก” ผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อแนะนำตัว
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เจ้าไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มคาบเช้า” เขาคล้ายขาดความกระตือรือร้นไปบ้าง แม้ว่าจะอธิบายให้ลู่เซิ่งฟัง แต่ก็เหมือนแค่ต้องทำตามหน้าที่ ฝืนปั้นรอยยิ้ม ไม่มีความน่าสนิทสนมแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งให้ซ่งจื่ออันพาออกไป
ผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อนั่งข้างโต๊ะ มองประตูหินปิดลงช้าๆ ถอนใจเล็กน้อย
สำนักตกต่ำลงทุกที นับตั้งแต่เหมืองแร่ถูกสำนักเก้ากระดิ่งชิงไป ศิษย์ในสำนักก็ไม่อาจรับประกันทรัพยากรในการฝึกฝนขั้นพื้นฐานได้ ศิษย์จำนวนมากในตอนแรกพากันลาออก
สำนักที่เดิมทีก็รับสมัครลูกศิษย์อย่างยากลำบากอยู่แล้ว วันนี้เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เมื่อไม่มีทรัพยากร ย่อมไม่มีใครยอมทำงานเปล่าให้แก่สำนัก ครั้นลูกศิษย์จากไป ก็ไม่มีการลาดตระเวน สำนักไม่อาจรักษาการเตือนภัยขั้นพื้นฐานไว้ได้ด้วยซ้ำ
ลูกศิษย์คนใหม่ที่ตระกูลซั่งหยางส่งมาในวันนี้ อีกไม่นานก็อาจจะจากไปด้วยความผิดหวังเช่นกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสำนักที่ไม่อาจรับประกันทรัพยากรในการฝึกฝนได้ เข้ามาแล้วมีประโยชน์อะไร
ลิ่วซานจื่อถอนใจยาวๆ ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าผาหิน มองผ่านหน้าต่างไม้ออกไปด้านนอก
สายตาของเขาทอดมองเสาหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านล่างต้นนั้น แล้วเหม่อลอย
…
ด้านนอกถ้ำชั้นบนสุดของผาหิน
“ศิษย์น้องลู่เลือกได้ตามใจ จำเอาไว้ว่าตอนกลางคืนห้ามออกจากถ้ำ ตอนนี้ในสำนักไม่มีกลุ่มลาดตระเวน หากเกิดประสบอันตราย ได้แต่ต้องทนรอให้ถึงรุ่งสาง…จึงจะมีคนมาช่วยเจ้า” ซ่งจื่ออันพูดกับลู่เซิ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า “นอจากนี้ข้าอยากให้ศิษย์พี่ชี้แนะว่าหอเก็บหนังสือในสำนักอยู่ที่ไหน ข้าสนใจเรื่องความรู้ทั่วไปมาก”
“หอหนังสืออยู่ด้านหลังหน้าผาหิน เจ้าอ้อมไปก็จะเห็นเอง เจ้าอ่านหนังสือด้านในได้ตามใจ ระวังอย่าให้เสียหายเป็นพอ” ซ่งจื่ออันแนะนำจบ ก็หมุนตัวเดินเอื่อยๆ ไปด้านล่าง
วิธีที่เขาเดินประหลาดยิ่ง ไม่ใช่เดินทีละก้าว แต่ว่าล่องลอยไปเหมือนเคลื่อนไหวในแนวระนาบ ไม่มีขึ้นมีลง
ลู่เซิ่งมองตามจนกระทั่งเขาหายไปที่สุดทางบันได ค่อยหันไปมองถ้ำหินด้านหน้า
ถ้ำหินบางถ้ำก็เปิด บางถ้ำก็ปิดสนิท ในถ้ำที่เปิดอยู่เย็นยะเยือก ไม่มีกลิ่นอายคนแม้แต่น้อย หน้าต่างที่ปิดสนิทมีกระแสอากาศเย็นเยือกพัดตลอดเวลา หนาวเหน็บเสียดกระดูก
‘สำนักนี้…’ ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าควรบรรยายอย่างไรดี เขาเดินผ่านถ้ำชั้นบนสุดทีละถ้ำ สุดท้ายก็เลือกถ้ำทางซ้ายสุดของหน้าผาหินเป็นที่อยู่ของตัวเอง
ประตูถ้ำเปิดอยู่ ด้านในมีโต๊ะ เก้าอี้ ชั้นหนังสือ ตู้เสื้อผ้าครบครัน แต่ทั้งหมดทำจากหิน กลิ่นราฉุนๆ ลอยอยู่ในอากาศ
ลู่เซิ่งใส่สัมภาระของตัวเองเข้าไปในตู้ เจอกลไกปิดประตูบนประตูหิน กลไกเป็นครึ่งวงกลมติดบนประตูหิน ต้องใช้กุญแจถึงจะเปิดได้
กุญแจวางอยู่บนโต๊ะในถ้ำ เป็นเส้นโลหะที่โครงสร้างซับซ้อน
ลู่เซิ่งพกเส้นโลหะไว้กับตัว ไม่ได้หยุดพัก ออกจากถ้ำแล้วเดินลงบันไดไปด้านล่าง
ไม่ทันไรเขาก็ไปยืนอยู่ด้านหน้ารังบนหน้าผาหินอีกครั้ง เงยหน้ามองหน้าผาหินที่อย่างน้อยก็มีอยู่หนึ่งร้อยถ้ำ กวาดตามองซ้ายขวา สองฟากของหน้าผาหินสามารถเห็นเส้นทางเล็กๆ ที่เชื่อมไปยังด้านหลังได้
ลู่เซิ่งเลือกเส้นทางฝั่งซ้ายมือ เดินเข้าไปด้านในตามถนนสายเล็กๆ
ในความมืดมิด แสงสีขาวจางๆ ส่องสว่างบนผาหิน ผสมกับแสงสีแดงที่สว่างอยู่บนเสาหิน กลายเป็นสีเลือดอ่อนๆ แบ่งถ้ำใหญ่ออกเป็นอาณาเขตหนึ่งดำหนึ่งแดง
สีแดงเป็นอาณาเขตที่ถูกแสงส่อง ส่วนสีดำยังคงมืดทะมึน
ไม่นานลู่เซิ่งก็เดินมาถึงริมขอบที่แสงสีแดงส่องถึง เขาชะงักเล็กน้อยแต่ไม่ได้หยุดลง เดินไปด้านหน้าต่อ
ในความมืดมิดไม่มีแสงไฟ แต่ประสาทสัมผัสอันแข็งแกร่งของเขายังคงอาศัยแสงสะท้อนอันน้อยนิดมองเห็นสิ่งของรอบๆ ได้อย่างชัดเจน
ลู่เซิ่งเร่งความเร็วเดินไปตามทางน้อย ไม่ทันไรก็ไปถึงด้านหน้าสะพานแขวน
ข้างใต้สะพานเป็นหมอกสีขาวเทาล้ำลึก พลิกตัวเหมือนสิ่งมีชีวิต เป็นสะพานที่ผุพังไม่มีชิ้นดี ส่วนใหญ่แผ่นไม้ผุสลายแล้ว ถ้าก้าวไม่ระวังก็อาจเป็นไปได้ถึงที่สุดว่าจะตกลงไป
ลู่เซิ่งยืนมองฝั่งตรงข้ามอยู่ที่หัวสะพาน
หอตำหนัก ดำทะมึนกลุ่มหนึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของสะพาน คล้ายเป็นหอเก็บหนังสือที่ซ่งจื่ออันพูดถึง
ฟิ้ว…
สายลมเย็นเสียดกระดูกพัดออกมาจากในเหวลึกเบื้องล่าง ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็ยังรู้สึกหนาวอยู่บ้าง
ความรู้สึกนี้คล้ายไม่ใช่สัมผัสได้จากบนร่าง แต่เป็นความรู้สึกเย็นเยียบจากส่วนลึกของจิตใจ
เขาปรับลมหายใจให้มั่นคง ก้าวเท้าออกไป แล้วเหยียบลงบนสะพานแขวน
ฟิ้ว!
ฉับพลันนั้นเขาพุ่งตัวออกไป ร่างดุจสายฟ้า ปลายเท้าสะกิดบนโซ่เหล็กทั้งสองข้างของสะพานแขวน พริบตาเดียวก็ข้ามพ้นสะพานเแขวนยาวมากกว่าร้อยหมี่
ฟุ่บ
ลู่เซิ่งทิ้งตัวบนหน้าผาฝั่งตรงข้ามอย่างแผ่วเบา หันกลับไปมองสะพานแขวนที่ถูกลมพัดส่ายไปมา ถอนใจเฮือกหนึ่ง
‘สำนักมารกำเนิดนี้…มิน่าพอรับสมัครลูกศิษย์ถึงมีไม่กี่คนอยากมา…’ เขาส่ายศีรษะ หันกลับ ก่อนเดินไปด้านหน้าต่อ
ด้านหน้าเป็นกลุ่มสิ่งปลูกสร้างเย็นเยียบที่ประกอบด้วยหอและตำหนักหลายหลัง กลุ่มสิ่งปลูกสร้างล้อมรอบด้วยกำแพงสีดำสูงใหญ่ ประตูทางเข้าอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง ด้านบนแขวนป้ายขนาดใหญ่
‘หอพิภพเริ่ม’
บนป้ายเขียนตัวอักษรสีแดงที่หนักแน่นแฝงความคมกล้า ใช้ตัวอักษรซ่งโบราญ
ลู่เซิ่งเห็นด้านในประตูใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่ว่างเปล่า ไม่เห็นใครสักคนในลานด้านใน
เขาไม่เกรงใจ สาวเท้าก้าวเข้าไป พลันได้กลิ่นราฉุนเฉียว
เอี๊ยด
ลู่เซิ่งผลักประตูใหญ่ของหอหลังหนึ่ง ชั้นหนังสือสีดำทะมึนหลายชั้นปรากฏในสายตา
เขาเลือกชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง เห็นด้านบนวางหนังสือไว้แน่นขนัด
‘ประวัติศาสต์ราชวงศ์ต้าซ่ง’ ‘ต้นกำเนิดอาวุธเทพ’ ‘เทพนิยายและความจริง’ ‘ดาราศาสตร์’ ‘การกำเนิดน้ำและไฟและวิธีสยบ’ ฯลฯ
หนังสือหลายเล่มไม่ทราบว่าไม่ได้รับการบำรุงรักษามานานเท่าใด ลู่เซิ่งหยิบต้นกำเนิดอาวุธเทพออกมา ราเขียวเล็กละเอียดขึ้นเต็มหนังสือ ลองลูบดูให้ความรู้สึกหยาบๆ เย็นๆ
เขากวาดตามองซ้ายขวา พบตะเกียงที่ถูกผนึกจมลงไปในกำแพงไม่ไกลออกไป เดินเข้าไปใช้หินเหล็กไฟที่พกติดตัวมา จุดตะเกียง
ทันใดนันแสงไฟสีเหลืองอ่อนสว่างขึ้นในหอ ลู่เซิ่งถือหนังสือหาเก้าอี้นั่งลง แล้วจุดไฟตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ ก่อนพลิกอ่านหนังสือโดยไม่สนใจราเขียว
ต้นกำเนิดอาวุธเทพเล่มนี้บอกเล่าว่าตอนแรกสุดตระกูลขุนนางต่อสู้กับสิ่งน่าสะพรึงขวัญในโลก ค่อยๆ สร้างสมดุลกับภูตผีปีศาจ ช่วงชิงพื้นที่ให้มนุษยชาติได้อย่างไร
ตัดเนื้อหาสรรเสริญเยินยอทิ้ง บันทึกเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ในประวัติศาสตร์หลายๆ ครั้งมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการทำความเข้าใจตระกูลขุนนางแห่งต้าซ่งของลู่เซิ่ง ทว่าสิ่งที่สะพรึงขวัญซึ่งหนังสือพูดถึงกลับไม่ได้บรรยายละเอียดนัก เพียงพูดถึงคร่าวๆ คล้ายกับไม่ใช่ภูตผีปีศาจ
เขานั่งอ่านหนังสือที่นี่ ผ่านไปหลายชั่วยามโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
……………………………………….