บทที่ 206 วิชาลับ (2)
เหง่ง…หง่าง…
ไม่รู้ว่าเสียงระฆังดังมาจากที่ไหน
ลู่เซิ่งวางหนังสือในมือลง เงี่ยหูฟัง นึกถึงสิ่งที่ซ่งจื่ออันเคยพูดถึง เสียงระฆังบ่งบอกว่าคาบเช้าเริ่มต้นแล้ว
แต่เขาเพิ่งเข้ามาแค่ไม่กี่ชั่วยาม ไม่น่าจะใช่คาบเช้า
‘น่าจะเป็นเสียงระฆังเตือนให้กลับถ้ำพักผ่อน…’ ลู่เซิ่งวางหนังสือ ลุกขึ้นยืน
‘ตอนนี้ยังไม่รู้สถานการณ์ พรุ่งนี้หลังเจอศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ค่อยถามข้อห้าม แล้วมาอ่านหนังสืออีกรอบก็ยังไม่สาย’ เขาตัดสินใจ เก็บหนังสือ ออกจากหอน้อย กลับมาถึงหน้าสะพานแขวน
ตอนที่กำลังจะข้ามสะพานแขวน พลันได้ยินเสียงดังแอ๊ด
หันกลับไปมอง ประตูใหญ่ของห้องหนังสือที่เดิมอ้าอยู่กำลังปิดลงช้าๆ
ตึง
ดาลหล่นลงกั้นประตูใหญ่ที่ปิดสนิทแล้ว
ลู่เซิ่งหยีตา หมุนตัวกระโจนออกไปกลางอากาศ ข้ามสะพานแขวน หายไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
กลับไปพักผ่อนในถ้ำ จนถึงเช้าตรู่วันที่สอง
แสงสีขาวหลายสายสาดลอดลงมาจากหลังคาถ้ำ ส่องสว่างสถานที่กว้างขวางในถ้ำ
ลู่เซิ่งสวมเครื่องแบบเดินออกจากถ้ำ เห็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีรออยู่ด้านหน้าประตูถ้ำของผู้อาวุโสใหญ่
บุรุษมีคิ้วหนาหน้าตาองอาจ แต่งตัวเรียบร้อย สวมเสื้อเข้ารูปพอดีตัวสีขาว รัดเข็มขัดหยกมรกตไว้ที่เอว พอเห็นลู่เซิ่งออกมา พลันเลิกคิ้วพิจารณามองเขา
“เป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนัก” บุรุษผู้นั้นพึมพำเบาๆ
สตรีที่อยู่ด้านหลังเขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ให้ความรู้สึกซึมเซาเฉื่อยชา มองลู่เซิ่งแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
ลู่เซิ่งครุ่นคิดแล้วเดินเข้าไปรออยู่นอกประตูด้วย
บุรุษท่าทางองอาจผู้นั้น ขมวดคิ้วมองลู่เซิ่งอีกรอบ
คิดไม่ถึงสำนักมารกำเนิดมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีคนใหม่ยินยอมเข้าร่วม ไม่มีทรัพยากรให้ ยังต้องทำงานปฏิบัติภารกิจให้สำนักโดยไร้ค่าตอบแทน ยังต้องเจอการกดดันจากสำนักเก้ากระดิ่งสำนักคู่อริ ถ้าไม่ใช่เพราะวิชาลับมารกำเนิดอันลึกลับที่ผู้อาวุโสใหญ่ซุกซ่อนเอาไว้ เขาเฟยหวงจื่อก็คร้านจะรับใช้
‘บางทีอาจเป็นศิษย์ที่เลือกเข้าผิดที่ ผ่านไปนานเข้าคงทนไม่ไหวออกไปเอง แต่ถ้ามาเพื่อวิชาลับจริงๆ ถึงตอนนั้นหากอยากเด็ดผลท้อ ต้องถามข้าเฟยหวงจื่อก่อนว่าอนุญาตหรือไม่’ บุรุษท่าทางองอาจใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน ตัดสินใจกับตัวเอง
เขาไม่แสดงสีหน้า หางตาเหลือบมองสตรีที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง
คู่แข่งตัวฉกาจของเขาในตอนนี้ก็คือเหอเซียงจื่อที่อยู่ด้านหลัง แม้สตรีนางนี้จะมีคุณสมบัติย่ำแย่ พลังฝึกปรือต่ำต้อย แต่มีความคิดล้ำลึก แสร้งทำเป็นซื่อสัตย์เชื่อฟัง กลอกกลิ้งถึงขีดสุด
“เข้ามาเถอะ” มีเสียงพูดราบเรียบของผู้อาวุโสใหญ่ดังออกมาจากในถ้ำ
ครืนๆ
ประตูหินเปิดออกช้าๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อนั่งบนเบาะกลมบนพื้นหน้าโต๊ะ
เบาะกลมบางส่วนที่วางอยู่ด้านหน้าเขา มอบให้พวกลู่เซิ่ง
“ขอรับ” พวกเขาค่อยๆ เข้าไป
“นั่งลงเถอะ พวกเจ้ามาเร็วดี” เห็นเฟยหวงจื่อเข้ามา ใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ฉายแววปลาบปลื้ม
ถึงแม้สำนักจะตกต่ำลง แต่ก็ยังมีศิษย์ที่ยินดีสนับสนุนตนรั้งอยู่ต่อส่วนหนึ่ง เฟยหวงจื่อกับเหอเซียงจื่อเป็นสองคนที่โดดเด่นที่สุดในนี้
โดยเฉพาะเฟยหวงจื่อ นิสัยใช้ได้ คุณสมบัติก็ใช้ได้เหมือนกัน วันหน้าไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาสฟื้นฟูสำนัก
เหอเซียงจื่อย่ำแย่กว่ามาก ถึงแม้จะเชื่อฟัง ซื่อสัตย์ แต่สายเลือดที่เป็นคุณสมบัติย่ำแย่เกินไปจริงๆ ต่อให้นางขยันมาก แต่ก็ยังคงไล่ตามความก้าวหน้าของเฟยหวงจื่อไม่ทัน
ทั้งสามก้มหัวให้ผู้อาวุโสใหญ่ตามมารยาท จากนั้นแยกกันหาเบาะกลมนั่งลง ก่อนจะรอคอยอย่างสงบ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็มีศิษย์ทยอยเข้ามาจากนอกถ้ำ กระนั้นรอเกือบหนึ่งก้านธูป เบาะกลมทั้งหมดยี่สิบกว่าเบาะยังเหลืออีกมากกว่าครึ่งที่ว่างอยู่
เวลาล่วงเลย กวาดตามองเบาะกลมที่ว่างเปล่า สีหน้าของลิ่วซานจื่อเย็นชา
“เอาละ มาเริ่มคาบเช้าของวันนี้ ลู่เซิ่งเป็นศิษย์คนใหม่ พัฒนาการไม่เท่ากัน สามารถฝึกฝนวิชาสามหยินซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานก่อนได้ เหอเซียงจื่อ เจ้าถ่ายทอดให้แก่เขา คนอื่นๆ เริ่มคาบเช้าตามปกติ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
ศิษย์สิบกว่าคนขานรับกันพร้อมเพรียง
จากนั้นแต่ละคนหลับตาลง ไอสีดำหลายสายไหลออกจากปาก ก่อนเข้าสู่รูจมูก ไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง
เหอเซียงจื่อลุกขึ้นเดินไปนั่งลงบนเบาะกลมด้านข้างลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ในใจกลับเป็นกังวลอยู่บ้าง เขาไม่ใช่ลูกหลานตระกูลขุนนาง ไอสีดำชนิดนั้นมองดูก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเยื่อดำ ศิษย์เหล่านี้เป็นผู้ครองสายเลือด สามารชักนำพลังในเยื่อดำได้ถือว่าปกติยิ่ง แม้เขาจะมีพลังเหนือกว่าพวกเขา แต่ว่าพลังของเยื่อดำทำอย่างไรก็ใช้ออกมาไม่ได้
“ศิษย์น้องลู่ พวกเราคุยกันเบาๆ จะได้ไม่ส่งผลต่อคาบเรียนเช้าของศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ” เหอเซียงจื่อกระซิบ
“ขอรับ”
จากนั้นเหอเซียงจื่อก็เริ่มสอนลู่เซิ่งเกี่ยวกับทักษะและขั้นตอนของวิชาสามหยิน
ลู่เซิ่งทางหนึ่งฟัง ทางหนึ่งทำความเข้าใจวิธีการฝึกฝนของลูกหลานจากตระกูลขุนนางเหล่านี้คร่าวๆ
วิชาสามหยินความจริงไม่ต่างจากภาพตรึกตรอกในวรยุทธ์มากนัก ชักนำพลังงานในร่างกายผ่านจิตใจมาเปิดศักยภาพในตัว
“ถึงแม้ว่าวิชาสามหยินจะไม่ได้มีประสิทธิผลแข็งแกร่งนัก ถึงขั้นกล่าวได้ว่าอ่อนแอยิ่ง แต่เหมาะจะใช้ชุบหลอมสายเลือดส่วนใหญ่ ไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆ ที่มีใช้แค่ไม่กี่ชนิด” เหอเซียงจื่ออธิบาย “วิชาลับอย่างวิชาสามหยินในสำนักมารกำเนิดของพวกเรามีทั้งหมดเก้าสิบเก้าชนิด สามารถพัฒนาได้ทีละก้าวจนไปถึงวิชาลับมารกำเนิดซึ่งอยู่จุดสูงสุด วิชาลับมารกำเนิดเป็นวิชาลับระดับสูงสุดของสำนักมารกำเนิด เมื่อชุบหลอมถึงระดับสูงสุด จะพัฒนาพลังงานห้าส่วนในสายเลือดได้ ถึงจะไม่ได้พัฒนาเป็นแปดส่วนเก้าส่วนเหมือนสำนักอื่นๆ แต่ใช้ง่ายกว่า”
“วิชาลับมารกำเนิด…ใช่เกี่ยวกับมารในตำนานหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
เหอเซียงจื่อมองเขาอย่างเรียบเฉย “ว่ากันว่าใช่ แต่ว่านั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว พวกเราคนรุ่นเยาว์ไม่ทราบ ศิษย์น้องตั้งใจฝึกวิชาสามหาหยินให้ดีก่อน ทำลายพันธนาการโดยเร็ว อย่าได้ทำให้สายเลือดของเจ้าผิดหวัง”
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย สั่งสอนศิษย์น้องด้วยสถานะของศิษย์พี่โดยไม่มีอะไรอำพรางไว้
ในสายตาของเขา พลังของเหอเซียงจื่อตรงหน้าไม่เกินระดับตรีลักษณ์ นี่ยังเป็นผลลัพธ์ที่นางพยายามชุบหลอมมาหลายปี
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าตระกูลซั่งหยางบอกพลังของเขากับสำนักมารกำเนิดหรือไม่ พลังระดับตรีลักษณ์บนเปลือกนอกของเขา ในตระกูลขุนนางก็นับว่าเยี่ยมยอดแล้ว
ตอนนี้ดูเหมือนว่าซั่งหยางจิ่วหลี่จะไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแนะนำเขาเข้ามาตามลำดับขั้นตอนปกติ
นึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งสงบสติอารมณ์ เริ่มศึกษาวิชาสามหยินที่เหอเซียงจื่อถ่ายทอดให้อย่างตั้งใจ
เมื่อทำความเข้าใจวิชาสามหยินนี้อย่างละเอียด จะค้นพบจุดน่าอัศจรรย์ส่วนหนึ่ง นอกจากตรึกตรองถึงสิ่งที่วิชาพูดถึง จินตนาการไฟหยินสามกลุ่มลุกไหม้ในใจแล้ว ก็เป็นการออกกำลังที่ขัดกับกายเนื้อของตนเหมือนกับฝึกโยคะ
ศิษย์เหล่านี้ดูเหมือนนั่งอยู่นิ่งๆ ความจริงร่างกำลังสั่นน้อยๆ กล้ามเนื้อส่วนมากในร่างกายต่อต้านและส่งผลต่อกันเอง
ลู่เซิ่งเปรียบเทียบอย่างละเอียด จึงพบว่าสาเหตุที่วิชาสามหยินใช้ง่ายขนาดนี้ เป็นเพราะมันไม่ได้พูดถึงสิ่งของที่เลื่อนลอย แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนากายเนื้ออย่างแท้จริง
เป็นเพราะผู้ครองสายเลือดในตระกูลขุนนางมีพลังของอาวุธเทพศัสตรามาร แข็งแกร่งเหนือคนธรรมดา ดังนั้นวัตถุภายนอกทั่วไปจึงไม่มีผลชุบหลอมแก่พวกเขา
มีแต่ตนเองที่ต้องฝึกฝนด้วยตนเอง เป็นแค่วิธีเดียว
วิชาสามหยินเป็นเช่นนี้ ใช้กล้ามเนื้อของตนเองฝึกฝนตนเอง การตรึกตรองก็เพียงแค่รวบรวมสมาธิ ปรับแต่งร่างกาย ขยายผลของการเสริมความแข็งแกร่ง
ลู่เซิ่งศึกษาอย่างละเอียด จึงพบว่าวิชานี้ขอแค่กายเนื้อแข็งแกร่งพอ ไม่ว่าใครก็ใช้ได้!
การค้นพบนี้พลันทำให้เขายินดี เดิมทีเขาไม่คิดว่าจะได้อะไรจากในสำนัก ครั้งนี้ที่เข้ามาฝึกก็เพื่อจะทำความเข้าใจจงหยวนและตระกูลขุนนาง และติดต่อกับตัวตนในระดับที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิชาลับสำหรับพัฒนาสายเลือดตระกูลขุนนางของสำนักได้เหมือนกัน
คาบเช้าใช้เวลาแค่สองชั่วยาม หรือก็คือเวลาช่วงเช้า
ไม่นานเหอเซียงจื่อก็สอนจบ ให้ลู่เซิ่งทดลองฝึกฝนเอง ทั้งยังบอกเคล็ดลับการฝึกฝน และสัญลักษณ์ของแต่ละขั้นที่พัฒนาไปถึงให้ฟัง
ครั้นคาบเรียนเช้าจบลง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ลุกขึ้นจากไป ศิษย์สิบกว่าคนที่เหลือพากันลุกตาม คนที่รู้จักกันสองสามคนคุยกันเบาๆ แล้วถอยใจเฮ้อ
“วันนี้ก็ออกไปอีกหลายคน พี่หวังเจิ้นก็ไปแล้วเหมือนกัน… เสี่ยวเหมย น้องซั่งก่วน พี่เซว.. ไปหมดแล้ว…”
“เป็นแบบนี้ต่อไป สำนักจะทนได้อีกนานเท่าไหร่”
“ผู้ใดจะทราบเล่า สองเดือนแล้วที่ไม่ให้ทรัพยากรสำหรับฝึกฝน…ไม่กี่วันก่อนมีคนบอกว่าหวังเจิ้นพบกับคนของสำนักเก้ากระดิ่งด้านนอก…มีเรื่องนี้หรือไม่”
“ข้าเองก็เห็น มีเรื่องนี้จริงๆ มาถึงวันนี้ เมื่อไม่มีเหมืองแร่ ก็โทษที่ทุกคนหาทางถอยเองไม่ได้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสใหญ่เองก็…”
ในเสียงสนทนาแผ่วต่ำ ลู่เซิ่งเข้าใจสภาพของสำนักมารกำเนิดในปัจจุบันคร่าวๆ แล้ว
เป็นเพราะเหมืองแร่ถูกช่วงชิง สำนักเก้ากระดิ่งพยายามโค่นล้มเราอย่างต่อเนื่อง สภาพของสำนักมารกำเนิดในตอนนี้คับขันถึงขีดสุดแล้ว
ทุกๆ สองสามวันจะมีศิษย์แอบหนีไป ตอนแรกผู้อาวุโสใหญ่ไปไล่จับคนกลับมาทำโทษ ต่อมาเขาก็หมดอาลัยตายอยาก
สำนักมารกำเนิดที่มีขนาดเกือบๆ เจ็ดแปดสิบคน ปัจจุบันในสองเดือนมานี้หนีไปจนเหลือสิบกว่าคน
บางครั้งมีศิษย์เข้ามาใหม่ ไม่ทันไรก็จะจากไปเงียบๆ เพราะไม่มีทรัพยากรสำหรับฝึกฝนให้
เดิมทีวิชาของสำนักมารกำเนิดก็ไม่ได้มีผลเฉพาะเจาะจงดีเท่าสำนักอื่นๆ อยู่แล้ว ระดับพัฒนาสายเลือดเองก็ไม่สูง ด้านนี้ถือว่าอ่อนแอ ตอนนี้ไม่มีทรัพยากรให้ ความเร็วในการฝึกฝนช้าลงกว่าเดิม ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่าๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงหมดกำลังใจ คร้านจะดูแลแล้ว ยังดีที่วิชาลับซึ่งเขาถ่ายทอดเป็นส่วนหนึ่งในเก้าสิบเก้าวิชาพื้นฐาน นอกจากวิชาสามหยินและวิชาพื้นฐานอีกสองวิชา ผู้อาวุโสใหญ่ที่เหลือตั้งใจรักษาความลับ ไม่ถ่ายทอดให้คนอื่น
ถึงแม้สำนักอื่นๆ ไม่แน่จะสนใจ แต่นี่ก็เป็นรากฐานของสำนักมารกำเนิด ไม่อาจถ่ายทอดจนแพร่หลายเพราะสาเหตุนี้
แม้แต่วิชาพื้นฐานก็ถ่ายทอดแค่สองสามวิชา อย่าว่าแต่วิชาลับเลื่อนระดับต่อจากนั้น กับวิชาลับมารกำเนิดที่สูงส่งที่สุด ความหวังหนึ่งเดียวในปัจจุบันของผู้อาวุโสใหญ่คือ หาคนที่มีนิสัยซื่อสัตย์จำนวนมากพอจากในหมู่ลูกศิษย์ที่เหลือ แล้วถ่ายทอดวิชาลับมารกำเนิดที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของสำนักมารกำเนิดให้
“เฮ้อ…”
ยืนอยู่หน้าเสาหิน ผู้อาวุโสใหญ่เงยหน้ามองสัญลักษณ์สีแดงเลือดนั้น
นึกถึงสำนักมารกำเนิดเมื่อพันปีก่อน มีวิชามารกำเนิดโผล่ขึ้นมาไม่ขาดสาย ต่างยอดเยี่ยมน่าตกตะลึง วิชาลับมารกำเนิดทุกวิชาจะมีลูกศิษย์ที่เข้ากับวิชาได้อย่างน้อยมากกว่าร้อยคน
ตอนนั้นไม่ได้มีวิชาลับสำหรับฝึกฝนมากขนาดนี้ เป็นเพราะคนมากขุมกำลังยิ่งใหญ่ สำนักมารกำเนิดจึงถูกจัดอยู่ในสามขั้นบนท่ามกลางร้อยเส้นสาย ทว่าวันนี้…
หลังจากประสบภัยพิบัติใหญ่ครั้งนั้น วิชาลับมารกำเนิดมากกว่าเก้าส่วนก็หายสาบสูญไปตามการตายของผู้อาวุโสเหล่านั้น เหลือแค่วิชานี้ที่บูรพาจารย์ของเขาถ่ายทอดให้ ที่ยังส่งต่อมาได้อย่างสมบูรณ์
ลูกศิษย์หัวกะทิ ผู้ดูแล และผู้อาวุโสที่คอยสนับสนุนสำนัก หากไม่ใช่ตายในการรบ ก็ค่อยๆ ร่วงโรยไปตามกาลเวลา
สุดท้ายตอนนี้กลับเป็นเขาที่ครั้งกระโน้นคุณสมบัติธรรมดา กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักมารกำเนิดในปัจจุบัน
……………………………………….