บทที่ 207 ความลับ (1)
กลับมาถึงถ้ำของตนเอง
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ เพ่งจิตกลั้นลมหายใจในทันที สัมผัสรอบๆ ว่ามีสายตาของคนอื่นหรือไม่ก่อน หลังจากยืนยันแล้ว เขาค่อยคิดในใจ
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่แวบออกมา ลอยอยู่ด้านหน้าเขา
‘ว่าแล้ว…’ ลู่เซิ่งคาดไว้แต่แรก เห็นตัวหนังสือแถวหนึ่งที่โผล่มาในกรอบสุดท้ายของเครื่องมือปรับเปลี่ยน
[วิชาสามหยิน: ยังไม่เริ่มต้น ผลพิเศษ: ไม่มี]
‘เครื่องมือปรับเปลี่ยนจดจำวิธีฝึกฝนของสำนักที่เป็นขอบเขตวรยุทธ์อย่างที่คิดไว้ ก่อนหน้านี้เราลองฝึกวิชาลับบนคัมภีร์เล่มเล็กที่ได้มาจากสตรีกางร่ม แต่ต่อให้อิงอิงอธิบายจนเข้าใจ เครื่องมือปรับเปลี่ยนก็ยังบันทึกไม่ได้ ตอนนี้วิชาสามหยินถูกคิดว่าอยู่ในขอบเขตวรยุทธ์…ดูเหมือนเราจะคิดถูกแล้วที่มาสำนักมารกำเนิด ปราณหยินไม่พอใช้ แต่เรายังมีปราณหยินหยางขวดสมบัติอยู่ ใช้แทนปราณหยินได้ในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่มาก แต่วิชาพื้นฐานแบบนี้น่าจะไม่มีปัญหา ลองดูได้’
ลู่เซิ่งจัดระเบียบความคิด แล้วตัดสินใจทดลองดูว่าจะเพิ่มระดับวิชาสามหยินได้หรือไม่ ถ้าเชื่อมกับเส้นทางการฝึกฝนที่ตระกูลขุนนางศึกษาได้ เขาคาดหวังว่าอนาคตของตนจะไปถึงระดับใด
กดปุ่มปรับเปลี่ยนบนอินเตอร์เฟซของเครื่องปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย วรยุทธ์ส่วนใหญ่ปรากฏปุ่มยกระดับได้ แต่ว่าวิชาสามหยินซึ่งอยู่แถวสุดท้ายไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ลู่เซิ่งรวบรวมสมาธิเขม้นมองกรอบนี้
แต่ไม่เกิดผลใดๆ
‘ในเมื่อโผล่มาในกรอบ ก็หมายความว่าเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรับเปลี่ยนได้ ตอนที่เราเขียนมันขึ้นมาก็ออกแบบไว้แบบนี้ ถ้าไม่ผิดจากที่คิดไว้ น่าจะเป็นเพราะยังไม่เริ่มต้น เลยยกระดับไม่ได้ วิชาสามหยินน่าจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตวิชากำลังภายนอก จึงยกระดับโดยตรงไม่ได้”
จัดระเบียบความคิดเสร็จ ลู่เซิ่งก็ไม่รีบแล้ว กลับกันของแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพลังของเยื่อดำ ด้วยขอบเขตมรรคายุทธ์กับความสามารถในการควบคุมตัวเองของเขาในปัจจุบัน การเรียนรู้เบื้องต้นหรือถึงขั้นยกระดับเพียงใช้เวลาไม่กี่วัน
‘ไม่ต้องรีบ…ไปถามคนอื่นๆ ดูก่อนว่าสำนักมีข้อห้ามอะไรบ้าง’ คิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งนั่งไม่ติดแล้ว สถานที่ที่เขาอยากไปมากที่สุดก็คือหอเก็บหนังสือ แต่ที่นั่นดูเหมือนมีความประหลาดอยู่บ้าง ถ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ก็รู้สึกใจคอไม่ดี
ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกจากถ้ำ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับเห็นเหอเซียงจื่อเดินมาหา เหมือนกับเพิ่งลงมาจากบันไดหิน
“ศิษย์น้องลู่ พอดีเลย อาจารย์ให้ข้าอธิบายข้อห้ามและข้อควรระวังในสำนักแก่เจ้า”
“อ้อ ศิษย์พี่เหอเซียงจื่อนี่เอง ได้ เช่นนั้นรบกวนศิษย์พี่แล้ว โปรดมานั่งคุยกันในถ้ำของข้า” ลู่เซิ่งกำลังจะไปหาซ่งจื่ออัน นึกไม่ถึงเหอเซียงจื่อจะถูกผู้อาวุโสใหญ่ส่งมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี
ทั้งสองคนกลับมาถึงถ้ำ เหอเซียงจื่อกวาดตามองถ้ำของลู่เซิ่ง เห็นอีกฝ่ายไม่มีเครื่องเรือนเลิศหรู ของที่ใช้ธรรมดาทั่วไป ไม่มีความพิเศษตรงไหน
“ศิษย์น้องลู่เรียกข้าว่าศิษย์พี่เซียงเหอก็พอ ข้อห้ามของสำนักง่ายดายยิ่ง ข้อแรก ก่อนที่จะค่ำ พยายามกลับมาในถ้ำตนเอง ไม่ว่าด้านนอกเกิดอะไรก็ไม่ต้องสงสัย เพียงพักผ่อนก็พอ ข้อสอง มีสถานที่หลายแห่งห้ามบุ่มบ่ามเข้าไป หลักๆ มีสามแห่งคือ บึงมาร ตำหนักวิชาลับ กับถ้ำที่ไม่มีสัญลักษณ์”
“ศิษย์พี่โปรดเล่าอย่างละเอียด” ลู่เซิ่งล้างหูรอฟัง
เหอเซียงจื่อนั่งลง กล่าวอย่างตั้งใจ “บึงมาร เป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนพลังภายนอก ที่พวกเราต้องไปถึงระดับในภายหลังถึงจะใช้ได้ มันเป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนในระดับชั้นที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ด้านในมีหมอกกัดกร่อนที่มีพิษร้ายตลบอบอวล ยังมีพลังพิเศษที่มีชีวิตอีกมากมาย ตอนนี้ยังเร็วไป เจ้าสัมผัสไม่ได้ ภายหลังจะทราบเอง ด้านนอกบึงมารมีสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ เป็นกระถางทองแดงใบใหญ่สีทองเข้ม ด้านในจุดธูป ขอแค่ธูปยังไหม้อยู่ ก็หมายความว่าด้านในบึงมารยังมีพลัง ไม่ได้เตรียมตัวอย่าได้เข้าไปตามใจ ป้องกันการได้รับบาดเจ็บ”
เหอเซียงจื่อมองลู่เซิ่ง แล้วกล่าวเสริมอีกประโยค
“ก่อนหน้านี้เคยมีคนตายในนั้น เพราะพัฒนาสายเลือดของตัวเองไม่พอ รวมถึงความอ่อนแอของพลังในสายเลือด เข้าไปก็รังแต่จะหาที่ตาย”
“อืม เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“จริงด้วย บึงมารไม่ได้มีแค่ที่เดียว ให้สังเกตสัญลักษณ์ด้านนอก ถึงไม่มีธูปถูกจุดก็เข้าไปได้ แต่ไม่มีความหมายอะไร ด้านในกำลังรวบรวมพลัง ไม่มีสิ่งใด” เหอเซียงจื่อเล่าต่อ
“ต่อมาคือตำหนักวิชาลับ อยู่ด้านขวาของผนังฝั่งขวาที่พวกเราอยู่ ทะลุสุสานมารไปก็จะเจอเอง ตำหนักวิชาลับไม่มีคนเฝ้าประตู วิชาลับหายไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ถูกอาจารย์เก็บไว้ ด้านในว่างเปล่า นอกจากกลไกอันตรายเมื่อก่อนหน้าส่วนหนึ่ง ก็มีหุ่นเชิดคุมกฎล่องลอย ถ้าไม่มีเรื่องอะไรให้ดีที่สุดอย่าเข้าไป แม้แต่อาจารย์ก็ยังไม่อยากเข้า”
“หุ่นเชิดคุมกฎหรือ” ลู่เซิ่งหรี่ตา
“เป็นสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ถ้าเจ้ามีโอกาสมองไกลๆ ก็จะรู้เอง” เหอเซียงจื่อไม่แสดงอารมณ์ “สุดท้ายเป็นถ้ำที่ไม่มีสัญลักษณ์”
“ถ้ำที่ไม่มีสัญลักษณ์หรือ” ลู่เซิ่งทวนรอบหนึ่ง
“ใช่ เป็นเพราะว่าบูรพาจารย์ก่อนหน้าพวกเราศึกษาเรื่องมารเป็นจำนวนมาก ดังนั้นแก่นมารที่เหลืออยู่จึงสร้างปัญหาไม่น้อย ถ้ำที่ไม่มีสัญลักษณ์มีความเป็นมาแบบนี้ ถ้ำพวกนั้นจะพ่นแก่นมารออกมาตลอด ด้านในอาจเกิดเรื่องอันตราย อย่าได้เข้าไปเด็ดขาด” เหอเซียงจื่อกำชับอย่างจริงจัง
“ศิษย์พี่ ในเมื่ออันตรายขนาดนี้ ทำไมพวกเราจึงไม่เปลี่ยนสถานที่สร้างสำนัก” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“เป็นเพราะยิ่งแก่นมารเข้มเท่าใด ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเราก็เร็วเท่านั้น ยิ่งเป็นสถานที่อันตราย ยิ่งมีประโยชน์เหลือคณนา” เหอเซียงจื่อตั้งใจอธิบาย “เหมือนกับตระกูลขุนนางที่อยู่ในธาตุไฟสร้างตระกูลบนปากปล่องภูเขาไฟ มีเหตุผลเดียวกัน”
“เข้าใจแล้ว…บึงมาร ตำหนักวิชาลับ รวมถึงถ้ำที่ไม่มีสัญลักษณ์”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว รอเจ้าเลื่อนระดับวิชาสามหยิน ก็จะฝึกฝนวิชาไร้ผล ใช้บึงมารชุบหลอมตัวเองได้ ถึงตอนนั้นเจ้าสามารถเลือกเข้าบึงมาร ไม่มีอันตรายอีกต่อไป”
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” ลู่เซิ่งกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท
“ไม่ต้องเกรงใจ พวกเรา…สำนักมารกำเนิดของพวกเรา แม้ว่าในเวลาสั้นๆ จะมีทรัพยากรไม่พอ แต่ก็มีสมบัติมากมาย…ศิษย์น้องเจ้า… อยู่ไปนานๆ ก็จะรู้เอง… อย่าได้ทำการตัดสินใจที่จะสำนึกเสียใจในภายหลังเพราะผลกระทบเพียงชั่วครู่ยาม” เหอเซียงจื่อสุดท้ายก็เตือนอย่างขึงขัง
นางกำลังคิดเกลี้ยกล่อมลู่เซิ่งว่าอย่าได้รีบวางแผนหนี แต่วาจาที่พูดออกมาไม่สร้างความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งอนาถใจ แต่เปลือกนอกพยักหน้า
“ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง”
“จำไว้ด้วยว่าเวลาฝึกวิชาสามหยินอย่าได้รีบร้อนเกินไป เช้ากลางวันเย็นห้ามฝึกนาน และไม่อาจฝึกเร็ว ยิ่งห้ามหยุดกลางคัน ถ้าพลังในสายเลือดของเจ้าแข็งแกร่งมากพอ ไม่นานก็จะจุดไฟสามหยินได้เอง พวกเราส่วนใหญ่ใช้เวลาแค่สิบวันก็จุดไฟสามหยินได้แล้ว แต่นี่ยังนับว่านาน ต่อให้ช้ากว่านี้ก็ไม่ได้เสียเวลาเท่าใด อย่ารีบร้อนเด็ดขาด” เหอเซียงจื่อย้ำอย่างจริงจังต่อ
“ขอรับ ศิษย์พี่วางใจ”
จากนั้นลู่เซิ่งก็ถามความรู้ทั่วไปด้านรายละเอียดส่วนหนึ่ง เหอเซียงจื่อชี้แนะเคล็ดสำคัญในวิชาสามหยินอีกครั้ง ค่อยลุกขึ้นแล้วบอกลา
ลู่เซิ่งรอจนเหอเซียงจื่อเดินจากไป ก็นั่งในถ้ำสักพัก ฝึกฝนพื้นฐานของวิชาสามหยินจนเสร็จ จึงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินไปยังหอเก็บหนังสือ
ฟุ่บ
ใต้ตะเกียงน้ำมัน ลู่เซิ่งค่อยๆ พลิกหนังสือเล่มหนึ่ง อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด
หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มที่เขาเอามาจากชั้นหนังสือ ตัวอักษรบนปกดึงดูดใจยิ่ง
‘ต้นกำเนิดอาวุธเทพ’
เนื้อหาด้านในไม่ทำให้ลู่เซิ่งผิดหวัง บอกเล่าอย่างชัดเจนว่าอาวุธเทพศัสตรามารเป็นอะไรสำหรับตระกูลขุนนาง
‘รัชสมัยต้าซ่ง-ปีที่สี่ สงครามถังซง สงครามตัดสินชะตาประเทศครั้งแรกหลังก่อตั้งประเทศ ราชวงศ์ตระกูลขุนนางบาดเจ็บล้มตายมากมาย ต่อสู้กับรัฐมหาเกียรติ และราชวงศ์ต้าอวิ๋น เสียทรัพยากรในคลังหลวง เป็นเช่นนี้กลับไปกลับมา ต้าซ่งกำลังล่มสลาย’
‘รัชสมัยต้าซ่ง-ปีที่ห้า ราชวงศ์ตัดสินใจทุ่มหมดหน้าตัก พนันโชคชะตาของประเทศ ใช้ผู้ถืออาวุธ! ผู้ถืออาวุธสิบกว่าคนลอบโจมตีราชวงศ์ต้าอวิ๋นสุดกำลัง ขณะเดียวกันก็สร้างภาพลวงตา รวมกองกำลังพลที่ชายแดนรัฐมหาเกียรติ ล่อลวงศัตรู เดือนสิบของปีนั้น ต้าอวิ๋นขอสงบศึก รัฐมหาเกียรติถอยทัพ ผู้ถืออาวุธแปดคนที่หลงเหลือกลับมา ประเทศได้รับความสงบสุข’
ถือหนังสือที่ขึ้นรา ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘ผู้ถืออาวุธหรือ’ นี่เป็นบันทึกเกี่ยวกับขุมกำลังระดับสูงสุดของต้าซ่งตามความหมายที่แท้จริง บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ในสำนัก หรือเพราะว่าปัจจุบันสำนักมารกำเนิดทรุดโทรม จึงไม่มีคนดูแลหอเก็บหนังสืออย่างกวดขัน ดังนั้นเขาจึงเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายๆ
แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร เขาก็รู้อยู่แล้วว่าที่พึ่งอันแข็งแกร่งที่สุดที่แท้จริงของต้าซ่งก็คือผู้ถืออาวุธ ไม่ใช่ประมุขจวนประมุขตระกูล
สงบจิตใจ ลู่เซิ่งอ่านต่อไป
‘พลังของอาวุธเทพศัสตรามารเปลี่ยนฟ้าแปลงดิน สะกดชะตาประเทศได้ อย่างนั้นพลังที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มาจากที่ใด อาวุธเทพศัสตรามารเกิดขึ้นได้อย่างไร’
ผู้เขียนคัมภีร์ถามคำถาม
‘พวกเราอยู่ใต้การส่องประกายของอาวุธเทพ สายเลือดเปลี่ยนแปลง พลังของอาวุธเทพซึมเข้ามา จากนั้นตรากตรำฝึกฝนชุบหลอมเล็กน้อย ทำพิธีกฎเกณฑ์ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้ระบบที่สมบูรณ์แบบ ระบบอันสมบูรณ์ที่บ่มเพาะผู้ถืออาวุธ เพิ่มลักษณ์ขึ้นทีละขั้นๆ จากระดับพันธนาการถึงระดับอสรพิษ จากสามขั้นล่าง ถึงสามขั้นกลาง แล้วถึงสามขั้นบน ก่อนไปสูงกว่าเดิม นี่เป็นการเลือกของพวกเรา เป็นเพราะไม่มีคนยอมลดฐานะเป็นทาสของอาวุธเทพศัสตรามารทั้งใจ ดังนั้นพวกเราจึงพยายามยกระดับตนเอง เลือกใช้เส้นทางความเข้ากันได้มาทดลองถือครองอาวุธ เพื่อให้บรรลุความต้องการต่ำที่สุดของการควบคุมอาวุธเทพศัสตรามาร’
อ่านถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งพลันรู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง
เขาเห็นระบบอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดของตระกูลขุนนางรางๆ แล้ว
ใช้อาวุธเทพศัสตรามารเป็นจุดสูงสุด ทุกสิ่งวนรอบขุมกำลังที่ก่อตั้งด้วยพลังของอาวุธเทพ
พั่บ
เขาพลิกหน้าต่อไป
‘พลังของอาวุธเทพแข็งแกร่งเกินไป เมื่อไปถึงสามขั้นบนของระดับอสรพิษ จะมีความสามารถครองสติระหว่างที่มันปล่อยพลัง จากนั้นก็ทดลองสัมผัสควบคุมได้ แต่ว่านี่เหมือนแรงของมนุษย์คนหนึ่งงัดหินหนักหมื่นชั่ง หากไม่ระวังมีอันตรายจะถูกล้มล้าง ดังนั้นสายเลือดยิ่งเข้มข้น และมีความเข้ากันได้ยิ่งมาก อันตรายก็จะยิ่งลดลง บ่อกำเนิดของอาวุธเทพ พวกเราพบได้ง่าย พวกมันคล้ายมาจาก…’ ตัวหนังสือด้านหลังเหมือนถูกจงใจลบ แม้แต่หน้าที่อยู่ด้านหลังก็พร่ามัว คล้ายมีใครตั้งใจลบทิ้ง
ลู่เซิ่งอ่านถึงตอนสำคัญ เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
เหง่ง… หง่าง…
ตอนที่เขากำลังเตรียมตรวจสอบวิเคราะห์เนื้อหาบนหน้าคัมภีร์อย่างละเอียด เพื่อดูว่าจะคืนสภาพเดิมได้หรือไม่ เสียงระฆังก็ดังขึ้น
ฟู่ว…
ด้วยความจนปัญญา ลู่เซิ่งปิดหนังสือ เก็บมันไว้ที่ชั้นเดิม แล้วหมุนตัวเดินไปนอกประตูโดยไม่ลังเล
เขาถามเหอเซียงจื่อมาแล้วว่า ที่นี่มีปัญหาอะไร แต่นางไม่รู้ เพียงบอกว่าตอนกลางคืนห้ามอยู่ด้านนอกก็พอ
……………………………………….