บทที่ 210 ความลับ (4)
ผู้อาวุโสใหญ่หันไปถามคนที่เหลือ ตอนนี้เหอเซียงจื่อเริ่มสู้กับเฟยหวงจื่อแล้ว
ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด ผลแพ้ชนะเหมือนก้ำกึ่ง แต่ลู่เซิ่งกลับมองออกว่าเหอเซียงจื่อไม่ใช่คู่มือของเฟยหวงจื่อโดยสิ้นเชิง คนผู้นั้นกำลังออมพลัง จะได้แสดงส่วนที่น่าภาคภูมิของตัวเองในการต่อสู้
ทั้งสองคนบนลานวนเป็นวงด้วยความเร็วสูง ปะทะกันอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง จากนั้นก็แยกกันอย่างรวดเร็ว เหมือนกับนกยักษ์ที่ต่อสู้กันกลางอากาศ
ไม่นาน การสอบถามของผู้อาวุโสใหญ่ก็มาถึงลู่เซิ่ง เขาถูกเรียกเข้าไปใกล้ๆ
ขณะมองลู่เซิ่งที่ค่อยๆ เข้าใกล้ ผู้อาวุโสใหญ่เริ่มสังเกตผิวที่หว่างคิ้วของเขาอย่างละเอียด
วิชาไร้มูลเหตุอาศัยการกระตุ้นหว่างคิ้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูดซับปราณมารหมอกพิษไปเพิ่มความแข็งแกร่งและผสมเข้ากับพลังของเยื่อดำ ยกระดับตัวเอง นี่เป็นจุดเด่นของวิชาไร้มูลเหตุ
หลังจากฝึกฝนระดับที่หนึ่งสำเร็จ หว่างคิ้วจะมีร่องรอยกลายเป็นสีดำเล็กน้อย นี่เกิดขึ้นเพราะปนเปื้อนปราณมาร ศิษย์ทุกคนต่างผ่านขั้นตอนนี้
เพียงแต่ขณะมองลู่เซิ่งที่เข้ามาใกล้ ความคาดหวังส่วนหนึ่งของผู้อาวุโสใหญ่กลับจางลง
เขาเห็นหว่างคิ้วของลู่เซิ่งยังคงขาวผ่อง อย่าว่าแต่เป็นสีดำ แม้แต่รอยสีดำก็ไม่เห็น
เดิมทีนึกว่าคนที่ตระกูลซั่งหยางแนะนำเข้ามาอาจจะมีพื้นฐานส่วนหนึ่ง ตอนนี้ดูแล้วสาเหตุที่ลู่เซิ่งผู้นี้เลือกสำนักมารกำเนิด อาจเป็นเพราะสำนักอื่นๆ ไม่รับเขา สายเลือดที่มีความเข้มข้นต่ำสุดขีดแบบนี้อาจจะมีแต่ที่นี่ถึงยอมรับ
มิน่าแม้แต่พลังของเยื่อดำก็ยังสัมผัสไม่ได้ คิดไม่ถึงสายเลือดจะจางถึงขั้นนี้
ด้วยความจนปัญญา ผู้อาวุโสใหญ่ก็คร้านจะถามไถ่ความก้าวหน้าของพลังฝึกปรือของลู่เซิ่ง เพื่อหลีกเหลี่ยงไม่ทำลายศักดิ์ศรีของเขาหลังถูกเปิดโปง
“มีอะไรต้องการไขข้อสงสัย หลังจบการประลองวิชา มาให้ข้าตอบได้” เขากล่าวเสียงราบเรียบ
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้า
“ขอรับ”
เดิมเขาคิดจะถามว่าตนเลื่อนถึงระดับที่สองของวิชาไร้มูลเหตุเร็วเกินไปหรือไม่ ตอนนี้ดูเหมือนผู้อาวุโสใหญ่จะทราบแต่แรก
“เอาล่ะคนต่อไป” ไม่รอให้เขาพูด ผู้อาวุโสใหญ่ก็โบกมือให้คนต่อไปเข้ามา
ลู่เซิ่งถอยไปด้านข้าง มองเฟยหวงจื่อที่กระสับกระส่ายอยู่บ้างในลาน คนผู้นี้จิตใจคับแคบ ตอนกำลังพยายามแสดงผลงาน กลับพบว่าผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใดร ในใจเริ่มมีเพลิงโทสะ
ฉัวะ!
ทันใดนั้นเกิดเสียงดังกึกก้อง
เหอเซียงจื่อข้อมือขาด เลือดกระจายเต็มพื้น นางแค่นเสียงถอยไปหลายก้าว มองเฟยหวงจื่อที่อยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าซีดขาว
เฟยหวงจื่อทรวงอกสะท้อนขึ้นลง สีหน้าแดงเรื่อ มองข้อมือบนพื้นที่ถูกตัวเองตัดไป
“ขออภัย ศิษย์น้อง…ข้า…”
เขาไม่ได้พูดต่อ การทดสอบแสดงวิชานี้อย่างมากสุดก็เป็นระดับประมือกัน ปกติแค่สะกิดก็หยุด การฟันข้อมือของศิษย์น้องขาดอย่างเขา แม้จะต่อได้ในภายหลัง ก็เกินเลยไปมาก
เฟยหวงจื่อมองเหอเซียงจื่อเข้าไปเก็บมือของตัวเองขึ้นมาประกบกับปากแผล เขาไร้วาจา หันไปมองด้านอาจารย์
ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าไร้อารมณ์ มองยังไม่มองเขา แต่มองเหอเซียงจื่อแทน
“การแสดงวิชาวันนี้จบลงเท่านี้ ทั้งหมดแยกย้าย” พูดจบ เขาก็หมุนตัวผละไปอย่างเชื่องช้า
เหลือแต่ศิษย์สำนักทั้งเก้าคนรวมทั้งลู่เซิ่งสบตากันเอง ในพื้นที่สำนักขนาดใหญ่เหลือคนแค่นี้ ให้ความรู้สึกเย็นเยือกกว่าเดิม
เหอเซียงจื่อกดข้อมือจากไปอย่างเงียบงัน ลู่เซิ่งมองเฟยหวงจื่อ คนผู้นี้สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย ถือดาบยืนนิ่งอยู่กับที่
ผ่านการทำความรู้จักในช่วงนี้ เขามองออกว่า คนอย่างเฟยหวงจื่อมีจิตใจคับแคบ โหดเหี้ยมอำมหิต เห็นแก่ตัว แค่ล่วงเกินเล็กน้อยก็จดจำฝังใจ หาวิธีเอาคืน แค่ในยามปกติเสแสร้งต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่ได้เก่งเท่านั้น
ตอนนี้เขาพลั้งมือไปชั่วขณะ ลงมือหนักกับศิษย์น้องของตนเอง แม้ผู้อาวุโสใหญ่จะไม่แสดงท่าที แต่การไม่แสดงออกเป็นการแสดงออกที่เห็นชัดที่สุด
เขามองเฟยหวงจื่อที่ดวงตาเปลี่ยนแปลง หมุนตัวเดินไปหาเหอเซียงจื่อ
…
ผู้อาวุโสใหญ่ยืนอยู่ในโถงบรรพบุรุษ
ป้ายวิญญาณอันแน่นขนัดจัดเรียงได้ห้าชั้น
รูปสลักชายชราที่สมจริงราวมีชีวิตสองคนวางอยู่ด้านหน้าสุด แบ่งเป็นปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักมารกำเนิด
ขณะยืนมองป้ายของบรรพบุรุษ ผู้อาวุโสใหญ่เงียบงันเนิ่นนาน
ยืนอยู่ในโถงบรรพบุรุษ เขาค่อยๆ หยิบคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ คัมภีร์สีเหลืองเข้มเก่าคร่ำคร่า แต่คำว่ามารกำเนิดบนปกยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นวิชาลับมารกำเนิดที่เดิมคิดส่งให้เฟยหวงจื่อ แต่ตอนที่ผู้อาวุโสใหญ่เห็นความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ อัดอั้นมานานนม ในที่สุดก็เปิดเผยออกมาจากสายตาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมในวันนี้ของเฟยหวงจื่อ เขาก็เปลี่ยนความคิดที่จะมอบวิชาลับมารกำเนิดให้ศิษย์ผู้นี้
“สังเกตต่อไปก่อน…” เขาถอนใจ เงยหน้ามองป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษ
เหอเซียงจื่อมีคุณสมบัติทางสายเลือดต่ำเกินไป ไม่อาจฝึกฝนวิชาลับมารกำเนิดได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ถ่ายทอดต่อไป นอกจากเฟยหวงจื่อแล้ว ศิษย์ที่เหลือมีพลังฝึกปรือด้านคุณสมบัติต่ำเกินไปและไม่เพียงพอ
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่รู้ว่าตนจะยังทนได้อีกนานแค่ไหน ความคิดหนึ่งเดียวของเขาคือการส่งต่อสำนัก สำนักมารกำเนิดไม่อาจล่มสลายในมือตน ไม่อย่างนั้นภายภาคหน้าลงไปในปรภพ เขาจะเอาหน้าที่ไหนไปพบบูรพาจารย์
เหง่ง…เหง่ง…
เสียงระฆังทุ้มหนักดังขึ้นอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งลากเก้าอี้มานั่งลง พิจารณาถ้ำของศิษย์พี่เหอเซียงจื่อโดยไม่สนใจใคร
โต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้ หน้าต่างไม้ แม้แต่สิ่งที่แขวนบนผนังก็เป็นเครื่องประดับทำจากไม้สีแดงอ่อนๆ เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่เหอเซียงจื่อชอบของที่ทำจากไม้มาก
เหอเซียงจื่อนั่งอยู่บนโต๊ะด้านข้าง มือกุมข้อมือกดบนปากแผล รอความสามารถด้านการฟื้นตัวเชื่อมต่อ
นางเป็นยอดฝีมือระดับพันธนาการ มีความสามารถด้านการฟื้นตัวแข็งแกร่งยิ่ง นอกจากข้อมือขาดให้ความเจ็บปวดมาก ก็ไม่มีผลพวงอย่างอื่นอีก เพียงแต่จะให้คล่องแคล่วเหมือนก่อนหน้า คงไม่เร็วขนาดนั้น เป็นเพราะความเข้มข้นในสายเลือดของนางต่ำยิ่ง
“ไม่เป็นไรกระมังศิษย์พี่” ลู่เซิ่งถามอย่างแผ่วเบา
“ยังไหว เจ้าตามมาปลอบข้าหรือ” เหอเซียงจื่อยิ้ม
“นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นศิษย์น้องควรกระทำ” ลู่เซิ่งตอบคำถาม
“ศิษย์พี่เฟยหวงจื่อเพียงแค่ร้อนรนไปบ้าง…ข้าไม่โทษเขา” เหอเซียงจื่อส่ายหน้า มองไม่เห็นความแค้นฝั่งหุ่นใดๆ ในดวงตานางจริงๆ เป็นสีหน้าที่จริงใจมาก
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ดูแลสักครึ่งเดือนก็หายดีเอง จะว่าไป ครั้งก่อนเห็นเจ้าสนใจอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอเตือนเจ้าสักประโยค อย่าได้ฝากความหวังไว้กับของอย่างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นอาวุธชนิดสิ้นเปลือง ปกติใช้สะกดหน่วยหลักของสำนัก มีแค่เจ้าสำนักจึงมีสิทธิ์เรียกใช้ สั่งสมเป็นเวลานานใช้แค่ครั้งเดียว”
“ชนิดสิ้นเปลืองหรือ ไม่ใช่ใช้ได้ตามใจหรอกหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ข้าเคยถามอาจารย์มาก่อน เขาบอกว่าความจริงแล้วอาวุธศักดิ์สิทธิ์คืออาวุธที่ใช้เศษอาวุธเทพศัสตรามารมากมายประกอบขึ้นมาตามขั้นตอนที่แน่นอน รวบรวมชิ้นส่วนเหล่านี้ รวมพลังของมันเป็นก้อนเดียว จำเป็นต้องใช้เวลาและความพยายามที่ยาวนานมาก ดังนั้นแม้อาวุธเทพจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่หลังใช้ไปครั้งหนึ่ง จำเป็นต้องใช้เวลาที่นานยิ่งถึงจะรวบรวมแล้วใช้เป็นครั้งที่สองได้ ไม่อย่างนั้นจะระเบิด ย้อนมาทำร้ายตัวเอง” เหอเซียงจื่ออธิบาย
“มีแบบนี้ด้วยหรือ นี่แตกต่างกับอาวุธเทพศัตรามารของจริงเกินไปแล้วกระมัง” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“เป็นมาแต่แรกแล้ว” เหอเซียงจื่อยิ้ม “อาวุธศักดิ์สิทธิ์หลักๆ แล้วใช้เพื่อป้องกัน เป็นเพราะมีอานุภาพมาก ดังนั้นจึงเกิดสำนักมากมายอย่างร้อยเส้นสาย ไม่อย่างนั้นคงจะรวมตัวกลายเป็นสำนักใหญ่ๆ ไม่กี่สำนักมานานแล้ว ศิษย์ของสำนักพวกเราออกไปต่อสู้ ยังต้องอาศัยพลังของตัวเอง”
“ถูกต้องแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า นับว่าเข้าใจวิธีการดำรงอยู่ของสำนักแล้ว
“หนำซ้ำ แม้สำนักจะรุ่งเรือง แต่สุดท้ายก็อ่อนแอไร้กำลังเมื่อเทียบกับตระกูลขุนนาง” เหอเซียงจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พูดมากมายขนาดนี้ เจ้าเข้าใจความหมายของศิษย์พี่กระมัง”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“แน่นอน ศิษย์พี่ต้องการเตือนข้าว่าอย่าฝากความหวังไว้ที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองเป็นเส้นทางหลัก”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” เหอเซียงจื่อพยักหน้าอย่างชื่นชม คบหาแลกเปลี่ยนกับลู่เซิ่งมานาน นางย่อมเป็นกันเองมากขึ้น
“จริงด้วย” ทันใดนั้นนางนึกเรื่องหนึ่งได้ “วิชาไร้มูลเหตุของเจ้าฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างราบรื่นกระมัง”
“ใช้ได้ ทุกอย่างราบรื่น”
“หึๆ เช่นนั้นก็ดี ข้ากลัวว่าวิธีที่เจ้าใช้ดูดปราณมารจะผิด ภายหลังรีบกลับไป คิดจะเตือนเจ้าว่าการดูดปราณมารครั้งหนึ่งได้แต่ทำทีละนิดๆ แค่ใช้หว่างคิ้วสัมผัส ตอนนี้ดูเหมือนเจ้ายังสบายดี ข้าวางใจแล้ว” เหอเซียงจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องระวังตัวไว้ ก่อนหน้านี้มีศิษย์พี่คนหนึ่งไม่ฟังคำเตือน แช่ศีรษะอยู่ในปราณมาร แค่พริบตาเดียวก็ถูกหลอมละลาย ตอนนี้ศพยังอยู่ในสุสานโน่น…”
“…”
ลู่เซิ่งสีหน้าแข็งทื่อ
“เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ” เหอเซียงจื่อมองลู่เซิ่งอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่…เพียงแต่แปลกใจที่ปราณมารร้ายกาจแบบนี้ ถึงกับ…ละลายศีรษะของศิษย์พี่ได้เลยหรือ” ลู่เซิ่งฝืนเค้นยิ้ม
“ร้ายกาจมาก ถ้าเจ้าไม่โคจรวิชาไร้มูลเหตุ ใช้พลังในสายเลือดห่อหุ้มตัวเอง บุ่มบ่ามให้กายเนื้อสัมผัสกับมันเข้า ปราณหยินเหล่านี้จะเหมือนสัตว์ป่าได้ลิ้มลองเนื้อ พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ปราณมารพอสัมผัสกายเนื้อ จะเหมือนน้ำมันเดือดเผาน้ำ ปฏิกิริยารุนแรงยิ่ง เจ้าต้องระวังให้ดี นอกจากนี้ส่วนที่สัมผัสกับหว่างคิ้วอย่างมากให้แค่ขนาดเท่าเล็บมือ มากไปจะส่งผลร้ายต่อร่างกายเจ้า” เหอเซียงจื่อเสริมอย่างละเอียด
“ขนาดเท่าเล็บมือ…” ลู่เซิ่งยิ้มแหย นึกถึงการเข้าไปในบึงมารก่อนหน้านี้ แช่ตัวในปราณมาร ในใจรู้สึกโชคดีสุดแสน ที่ตนเองไม่ถูกปราณมารฆ่าตาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาศัยร่างเนื้อของสภาพหยินโชติช่วงที่แข็งกล้าเหลือประมาณ รวมถึงการฟื้นฟูของปราณหยินหยางขวดสมบัติ
“เจ้ามีความเข้มข้นของสายเลือดระดับไหน” เหอเซียงจื่อถามต่อ
ลู่เซิ่งรู้ว่าระดับที่นางพูดถึงก็คือเป็นรุ่นใด สายเลือดมาจากผู้ถืออาวุธ ทายาทของผู้ถืออาวุธยิ่งอยู่ห่าง รุ่นยิ่งไกล ความเข้มข้นของสายเลือดยิ่งต่ำ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้มีอาวุธเทพศัสตรามารเสริมความเข้มข้นของสายเลือดตลอดเวลาเหมือนตระกูลขุนนาง
กระนั้นไม่รอลู่เซิ่งตอบกลับ เหอเซียงจื่อก็พูดเอง
“คงจะไม่สูงกระมัง แต่ต่ำอย่างไรก็ไม่มีทางต่ำเท่าข้า” นางยิ้มขื่นขม “ข้าเป็นขั้นห้า หรือก็คือสายเลือดรุ่นที่ห้า รุ่นที่หกเป็นคนธรรมดาโดยสิ้นเชิงแล้ว ดังนั้นข้าจึงนับว่าอยู่ต่ำสุด แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ ข้าก็พยายามมาโดยตลอด หวังว่าจะมีสักวันที่สำเร็จเป็นผู้นำได้” เหอเซียงจื่อฟุบกับโต๊ะ คลายมือออก ส่วนข้อมือที่โดนตัดเห็นเส้นสีแดง แต่เชื่อมเข้าด้วยกันแล้ว เพียงแต่จะฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ต้องใช้เวลานานมาก
“จริงด้วย ลืมบอกเจ้าไป แต่ละสำนักมีผู้นำศิษย์ ปกติผู้นำเหล่านี้เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ลูกศิษย์ เป็นบุคคลสำคัญที่ควบคุมเรื่องใหญ่ในสำนักได้ในตอนที่เจ้าสำนักไม่อยู่ ”
“คือรองเจ้าสำนักหรือ” ลู่เซิ่งถาม
“ไม่ ไม่ใช่…” เหอเซียงจื่อส่ายหน้า “นอกจากเจ้าสำนักแล้ว รองเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสที่เหลือเพียงกล่าวไปเช่นนั้น ทั้งหมดเป็นศิษย์ที่ไม่อาจบรรลุจุดสูงสุดเลือกอย่างจนใจเป็นครั้งสุดท้าย แต่ผู้นำไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นผู้รับตำแหน่งเจ้าสำนักในอนาคต ความจริงเป็นเจ้าสำนักสำรอง นี่จำเป็นต้องมีบารมีสูงสุดในหมู่ลูกศิษย์ หรือไม่ก็พลังแข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนสะกดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตนเองในสำนักได้ทั้งหมด ผู้นำ ถูกเรียกว่าผู้นำนักเรียนเฉพาะกาล สำนักใหญ่ๆ บางแห่งโดยเฉพาะระดับสามขั้นบนมีอยู่สองสามคน จะตั้งฉายาเฉพาะให้กับผู้นำนักเรียนเฉพาะกาล แต่ส่วนใหญ่จะเรียกรวมๆ ว่าผู้นำ”
……………………………………….