สิ่งที่วิชากำลังภายในใหม่มอบให้แก่ลู่เซิ่งไม่ใช่แค่การเลื่อนระดับกำลังภายในเท่านั้น วิชากระเรียนหยกกับวิชาทมิฬพิฆาตเดิมไม่ขัดแย้งกัน ตอนนี้ทวีความแข็งแกร่งขึ้น ลู่เซิ่งรู้สึกว่าพลังสมาธิในร่างพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พลังกาย ปราณ จิตแข็งกล้ากว่าตอนแรกไม่น้อย
เขาลุกขึ้น อาศัยฝ่ามือต่างดาบฟันท่าพยัคฆ์สังหารออกไปด้านหน้า!
ควับ!
โฮก!
เสียงพยัคฆ์คำรามเสียงหนึ่งดังเลือนราง อากาศพลันเปลี่ยนเป็นร้อนขึ้นมา
นี่ยังเป็นผลที่ลู่เซิ่งใช้พลังไม่ถึงหนึ่งในสี่ส่วน ถ้าหากว่าพลังวิชาก่อนหน้าคิดจะบรรลุผลนี้ จำเป็นต้องใช้ปราณภายในอย่างน้อยครึ่งหนึ่งระเบิดพลัง
‘ประสิทธิผลปราณภายในอย่างน้อยก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า!’ ลู่เซิ่งฮึกเหิม นึกย้อนถึงยอดฝีมือขอบเขตยุทธภพที่ลุงจ้าวเคยเล่าให้เขาฟัง
‘บนยุทธภพว่ากันว่าขอบเขตพลังปลอดโปร่งในจงหยวนเป็นเพียงยอดฝีมือทั่วไป แต่ภายหลังยังมีสำนึกปลอดโปร่ง และผนึกจิตสองขอบเขตใหญ่ คนมีชื่อคนโด่งดังเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นระดับผนึกจิต ฝึกกำลังภายนอกและกำลังภายในพร้อมกัน จิตผนึกตัว การเคลื่อนไหวสามารถแสดงวิถีหลัก แก่นแท้ของวรยุทธ์ที่ร่ำเรียน ด้วยเหตุนี้ปราณภายในเป็นอนันต์ พลังรบทวี ไม่ทราบว่าตอนนี้เราถึงระดับอะไร’
ลู่เซิ่งคาดคะเนตัวเอง
‘สำนึกปลอดโปร่งบรรลุอย่างไม่ได้ตั้งใจตอนอยู่เมืองเก้าประสานแล้ว ดาบพยัคฆ์ดำเป็นวรยุทธ์สำนึกปลอดโปร่งเพียงวิชาเดียวของเรา ระดับความหนาแน่นของปราณภายในของเราเหนือกว่ายอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งทั่วไปเช่นกัน
พอเจอผนึกจิต ถ้าสู้กันจริงๆ แพ้ชนะยังไม่แน่ ดังนั้นเราตอนนี้นับว่าเป็นยอดฝีมือผนึกจิตแล้ว ระดับเดียวกันกับคนมีชื่อเสียงแห่งจงหยวนเหล่านั้น’
เขาเชื่อมั่นว่าวิชากำลังภายในสองวิชาเช่นวิชาทมิฬพิฆาตกับวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยก ต่างถึงจุดยอดสุดของระดับที่สามแล้ว นี่ถ้าเป็นคนทั่วไปฝึกฝน ใช้เวลาไม่ถึงสี่ห้าสิบปี คิดก็อย่าได้คิด นี่ยังต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีคุณสมบัติร่างกายดีที่สุด และต้องกินยาบำรุงพร้อมการการแช่น้ำยาตลอดเวลาไม่ขาดตอน
‘ปีนี้เราเพิ่งอายุสิบเก้าก็มีรากฐานพลังฝึกปรือที่แน่นหนาเช่นนี้แล้ว ถ้าหากไม่มีภูตผี ใต้หล้านี้ไปที่ไหนก็ได้ น่าเสียดาย’ ลู่เซิ่งพอนึกถึงผีล่อลวงที่ได้เจอก่อนหน้านี้ก็สะท้อนใจ
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ทันใดนั้นนอกหน้าต่างพลันแว่วเสียงไก่ขันดังมา
ลู่เซิ่งมองไปนอกหน้าต่าง ฟ้าเริ่มสางขมุกขมัว หนึ่งคืนผ่านไปเช่นนี้
เขาลงจากเตียง ออกประตูไปเติมน้ำมาอาบเสร็จแล้ว ก็สวมเสื้อคลุม สาวเท้าออกจากบ้าน
ไปยังเหลาสุราด้านข้างกินมื้อเช้าก่อน เป็นซาลาเปาเนื้อกับโจ๊กข้าวฟ่าง บวกกับผัดผักกวางตุ้งอีกจานหนึ่งเหมือนอย่างเคย รูปแบบแม้เรียบง่าย แต่ปริมาณกลับทำให้ลูกค้าที่มากินอาหารเหมือนกันรอบๆ จุ๊ปากชมเชย
ซาลาเปาเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือผิวบางไส้มาก ลู่เซิ่งทานคำละชิ้น ไม่ลวกลิ้น หลังจากฝึกวิชาทมิฬพิฆาต พลังป้องกันต่อไฟก็ยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง วางมือบนเทียนในเวลาอันสั้นต้องผ่านไปห้าหกลมหายใจจึงค่อยรู้สึกร้อน
ซาลาเปาเข่งหนึ่งมีหกชิ้น ลู่เซิ่งกินรวดเดียวห้าเข่ง ซาลาเปาเนื้อสามสิบลูก ผัดผักกวางตุ้งจานหนึ่งเป็นของแก้เลี่ยนตบท้าย ถูกเขาใช้มือยกขึ้นเทใส่ปาก เคี้ยวสองคำแล้วกลืนลงไปอย่างขอไปที
เหมือนกับคนทั่วไป พอกินมื้อใหญ่เสร็จแล้วก็ดื่มน้ำ
โจ๊กข้าวฟ่างตักใส่กะละมังขนาดเท่าอ่างล้างหน้า ปริมาณมากพอสำหรับห้าหกคน ถูกลู่เซิ่งยกขึ้นมากินเพียงสามคำ
วางกะละมังลง โจ๊กหมดแล้ว
โอ้!
ลูกค้าที่อยู่รอบๆ พลันอุทานออกมา สำหรับพวกเขาชีวิตไร้ความตื่นเต้น พบเห็นเรื่องหายากเช่นนี้ครั้งเดียวก็มากพอจะพูดคุยกันไปสามวันแล้ว
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน หลังกินเสร็จ ก็ใช้ผ้าเช็ดมุมปากอย่างสุภาพ ลุกขึ้นจากไป ความแตกต่างก่อนและหลังกิน ทำให้ลูกค้ากับเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่รอบๆ อ้าปากตาค้าง
ปราณภายในหลอมสารอาหารแปลงเป็นปราณ สารอาหารมาจากที่ใด มาจากอาหารที่กินเข้าไป
ร่างของเขารองรับวิชากำลังภายในสองวิชา วิชาทมิฬพิฆาตกับวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยก วิชาทมิฬพิฆาตความเป็นมาไม่ธรรมดา ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ประสิทธิผลไม่รวบรัด ถึงกับทำร้ายภูตผีได้ ส่วนวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิต วิชาใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้ได้ถึงระดับสูงสุด เดิมเอาไว้ใช้ดูแลการทำงานและการพักฟื้นของร่างกายเป็นหลัก
สองวิชาประสานรวม ทำให้ลู่เซิ่งกินได้มากกว่าเดิม
กินมื้อเช้าเสร็จ ลู่เซิ่งก็เรียกรถม้ามุ่งหน้าไปยังสถานศึกษาเขาบูรพา ตลอดทางม้าไม่หยุดฝีเท้า ไปถึงสถานศึกษาก็ทันเสียงเคาะระฆังเช้าพอดี
ลู่เซิ่งลงจากรถ พุ่งเข้าสถานศึกษาอย่างรวดเร็ว วิ่งไปทางห้องเรียนที่ตัวเองอยู่
สถานศึกษาเขาบูรพากินพื้นที่กว้างขวางมาก ตั้งอยู่ที่ตีนเขาด้านตะวันออกนอกเมือง ถึงแม้อยู่ใกล้เขตเมือง แต่ความจริงมิได้อยู่ในการดูแลของเมือง มีกองทหารส่วนตัวและระบการดูแลของตัวเอง หัวหน้าสถานศึกษาถูกเรียกว่าประมุขถ้ำ เป็นขุนนางระดับผิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก เป็นสองโครงสร้างกับเมืองเลียบคีรี
ว่ากันว่าที่นี่เป็นสถานศึกษาที่ขุนนางผู้มีปัญญาคนหนึ่งกลับบ้านเกิดมาแล้วสร้างขึ้นสมัยเป็นบัณฑิต ภายหลังค่อยๆ พัฒนาแข็งแกร่งมากขึ้น หลายปีให้หลังจึงกลายเป็นสถานศึกษาเขาบูรพาในปัจจุบัน
ลู่เซิ่งเข้าไปในห้องเรียนที่ตัวเองอยู่อย่างคุ้นทาง ผู้ที่สอนหนังสือให้พวกเขาคือผู้เฒ่าหลู หลูเหราเป็นบัณฑิตผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งระดับเมือง
ผู้เฒ่าหลูตอนนี้ยืนอยู่บนแท่นบรรยายก่อนเวลา กำลังพลิกเปิดสมุดเรียกชื่อ
ลู่เซิ่งกับนักเรียนอีกสองสามคนเข้ามา โค้งตัวให้เขาเล็กน้อย แล้วหาที่นั่งตัวเองนั่งลงอย่างรวดเร็ว
ห้องเรียนเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านในมีนักเรียนสิบกว่าคนนั่งกระจายกัน นี่เป็นนักเรียนทั้งหมดที่ผู้เฒ่าหลูต้องรับผิดชอบ
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ด้านข้างซ่งเจิ้นกั๋ว หลังจากเขานั่งลงก็จัดแจงเสื้อผ้าปรับท่านั่ง เริ่มหยิบหนังสือวรรณกรรมประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนในคาบนี้ออกมาจากตู้หนังสือ
ในห้องเรียนก่อนที่นักเรียนทุกคนจะมา ต่างมีคนทำหน้าที่เฉพาะวางหนังสือที่จะเรียนในวันนี้ไว้ในตู้หนังสือของพวกเขา ตู้หนังสือก็คือโต๊ะหนังสือ เพียงแต่เป็นเพราะทุกคนต่างนั่งขัดสมาธิ ดังนั้นนับว่าเป็นฉบับย่อส่วนของโต๊ะหนังสือ
“ตู้เจินซวี” “นักเรียนอยู่”
“หวังเต้า” “นักเรียนอยู่”
“จ้าวป้านเยว่” “นักเรียนอยู่”
“เหยียนซง” “นักเรียนอยู่”
ผู้เฒ่าหลูสีหน้าไร้อารมณ์ เรียกชื่อแต่ละชื่อ ไม่ทันไรก็ถึงทางด้านลู่เซิ่ง
“ลู่เซิ่ง” “นักเรียนอยู่”
“ซ่งเจิ้นกั๋ว” “นักเรียนอยู่”
“หวังจื่อเฉวียน
“หวังจื่อเฉวียน?”
ผู้เฒ่าหลูเงยหน้าขึ้น กวาดมองนักเรียนทุกคนบนที่นั่งอย่างดุดัน ด้วยความจำของเขานักเรียนสิบกว่าคนย่อมจดจำใบหน้าลักษณะพิเศษกับชื่อของทุกคนได้แต่แรกแล้ว ที่กวาดมองเช่นนี้ ก็เพื่อยืนยันว่าหวังจื่อเฉวียนไม่ได้มาเข้าเรียนจริงๆ
“หวังจื่อเฉวียนไม่มาหรือ” เขาถามอีกรอบ
ซ่งเจิ้นกั๋วมองที่นั่งหวังจื่อเฉวียนอย่างประหลาดใจ ไม่มีคนจริงๆ
“ที่บ้านอาจมีเรื่องด่วนอันใด หรือว่ากลับบ้านเก่าแล้ว” เขากระซิบเบาๆ
ลู่เซิ่งมองไปเช่นกัน หวังจื่อเฉวียนไม่มาจริงๆ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เขาพลันนึกถึงเรือสำราญอันประหลาดที่พบเจอเมื่อคืนลำนั้น
“อาจเป็นเพราะตื่นสายหรือไม่”
เขาพอพูดแบบนี้ ซ่งเจิ้นกั๋วพลันประหลาดใจ คิดอันใดได้ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มพิกล
สองคนไม่พูดกันอีก ผู้เฒ่าหลูเห็นคนไม่อยู่จริงๆ แค่นเสียงหึคำหนึ่ง หยิบดินสอถ่านขีดบนชื่อหวังจื่อเฉวียน
“ตอนนี้เริ่มเนื้อหาของวันนี้ ครั้งก่อนสอนถึง ‘ชาวประชารักษาธรรมจึงถูกต้อง พ่อค้ารักษาสัตย์จึงรุ่งเรือง…’ ” ผู้เฒ่าหลูไม่สนใจอย่างอื่นอีก เริ่มตั้งใจสอนความนัยเนื้อหาวรรณกรรมประวัติศาสตร์
ลู่เซิ่งฟังได้สองสามประโยคก็มองไปยังที่นั่งของหวังจื่อเฉวียนอีก มีความรู้สึกว่าที่หวังจื่อเฉวียนไม่มาอาจเกี่ยวข้องกับเรือสำราญลำนั้น
ราวๆ หนึ่งชั่วยามให้หลัง เลิกเรียนแล้ว ผู้เฒ่าหลูกอดหนังสือเร่งรีบจากไป
ลู่เซิ่งกับซ่งเจิ้นกั๋วลุกจากที่นั่ง
“ดูเหมือนคุณชายเซิ่งจะมีไผ่สำเร็จในใจสำหรับการทดสอบประจำปีแล้ว” ซ่งเจิ้นกั๋วหัวเราะเหอะๆ เอ่ยกับลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยเห็นคุณชายเรียนได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัดแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าเข้าใจความลับของหลักการแต่แรก อันดับแรกของการทดสอบประจำปีนับวันรอคอยได้ทีเดียว!”
“พี่เจิ้นกั๋วน้อยๆ หน่อยเถอะ” ลู่เซิงหัวเราะ เขาชอบซ่งเจิ้นกั๋วคนผู้นี้ โอ่อ่าผ่าเผย แม้บ้านรวยก็ไม่ดูถูกนักเรียนที่เทียบตัวเองไม่ได้ สิ่งที่สำคัญก็คือมีน้ำใจ สหายมีเรื่องอันใดขอให้เขาช่วยเหลือ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอแค่ตัวเองทำได้จะ รับปากทันที
“เฉินอวิ๋นซีมาแล้ว เมื่อวานท่านออกหน้าให้สาวงาม ดูเหมือนนางตอนนี้ยึดมั่นในตัวท่านแล้ว ไปเถอะๆ” ซ่งเจิ้นกั๋วมองประตูห้องเรียน ยักคิ้วหลิ่วตาแก่ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งหันไปเห็นเฉินอวิ๋นซียืนอย่างมีเสน่ห์อยู่ที่ประตู นางเปลี่ยนไปสวมเสื้อโปร่งกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ แขนเสื้อพลิ้วโปร่งขาวคลุมลง ปิดบางอย่างที่ถืออยู่ในมือ
นางมัดผมยาวเป็นมวย ใช้ปิ่นหยกขาวปักไว้ ผมดำปอยหนึ่งตกมาที่เนินขายาวเอวคอด ผิวพรรณดั่งหยก รูปร่างสูงชะลูด หน้าอกอวบอิ่ม
มองไปบริสุทธิ์ดุจเซียน ทำให้ลู่เซิ่งหวั่นไหวชั่วขณะ
“สตรีนางนี้เป็นใคร ขายาวถึงเพียงนี้ น่าเกลียดจริงๆ!” เสียงซุบซิบของนักศึกษาคนหนึ่งด้านข้างทำลายบรรยากาศในพริบตา
“มิผิดๆ ขายาวเกินไปไม่อาจทนมองได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ข้าคงคิดจีบสตรีนางนี้มานานแล้ว”
“เฉินอวิ๋นซีเอ๋ย ถ้าไม่ใช่นางขายาว ตระกูลร่ำรวยโด่งดังทั่วเมืองเลียบคีรีคงมีคนตามจีบนับไม่ถ้วนแต่แรก เสียดายๆ…”
“ขายาวหน้าเกลียด!”
“ถูกต้องๆ!”
“พวกท่านล้วนกล่าวน้อยให้ลงสักหลายประโยค รูปร่างเช่นนี้ไม่ใช่นางอยากได้ ร่างกายผมผิวเป็นสวรรค์ประทานบิดามารดามอบให้ ผู้ใดยินยอมเกิดมาก็มีร่างกายแบบนี้ พวกเราต่างเป็นสหายร่วมสถานศึกษา วิพากษ์วิจารณ์เพื่อนร่วมชั้นเรียนแบบนี้ ใช่ไร้มารยาทหรือไม่” นักเรียนหญิงนางหนึ่งทนไม่ได้ ส่งเสียงตักเตือน
เฮ้อ…
นักเรียนทุกคนโวยวายเสร็จก็แยกย้ายกันไป
ลู่เซิ่งมองขางามของเฉินอวิ๋นซีที่บำรุงสายตาที่สุด แล้วมองนักเรียนในห้องที่แสดงสีหน้าไม่อาจมองตรงๆ หลายคน ในใจหมดคำพูด
“รีบไปเถอะ เฉินอวิ๋นซีตั้งใจแต่งตัวแบบนี้เพื่อท่าน” ซ่งเจิ้นกั๋วทราบเรื่องราวส่วนหนึ่งระหว่างลู่เซิ่งกับเฉินอวิ๋นซี จึงผลักดันลู่เซิ่งติดต่อกัน
ลู่เซิ่งสาวเท้าเดินเข้าไป มือหนึ่งดึงมือเฉินอวิ๋นซีออกจากห้องเรียน เดินไปยังทางแท่นบูชาของสถานศึกษา
แท่นบูชาเป็นสถานที่ที่เชิญคนมีชื่อเสียงมาสอนในทุกๆ ช่วงเวลาของโรงเรียน ปกติคนบางตา กลายเป็นสถานที่ที่นักเรียนในสถานศึกษาไปพลอดรักกัน
ในโลกใบนี้ไม่ว่าชายหญิงต่างมีคุณสมบัติรับการศึกษา และต่างมีคุณสมบัติเป็นขุนนาง ตำแหน่งชายหญิงถึงแม้ไม่เท่าเทียมกันโดยสิ้นเชิง แต่เทียบกับประเทศจีนยุคโบราณ คล้ายราชวงศ์ถังในสายตาลู่เซิ่งอยู่บ้าง
ทั้งสองคนวิ่งเหยาะๆ ไปถึงกลางป่าแห่งหนึ่งข้างแท่นบูชา ป่าอยู่ใกล้ภูเขา เส้นแสงอึมครึม เย็นยะเยือกเล็กน้อย
ลู่เซิ่งค่อยหยุดฝีเท้า หมุนตัวไปมองเฉินอวิ๋นซี
“ท่านไฉนมาแล้ว เรื่องเมื่อวานนั้นไม่เป็นไรกระมัง”
เฉินอวิ๋นซียิ้มๆ ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ในมือถึงกับถือดอกโบตั๋นแดงที่งดงามหยดย้อยออกมาดอกหนึ่ง
“มอบให้ท่าน”
ลู่เซิ่งงงงัน รับดอกไม้มา ถึงแม้สังคมในโลกนี้สตรีจะเปิดเผยมาก แต่ว่าสตรีที่เป็นฝ่ายรุกด้วยตัวเองเหมือนเฉินอวิ๋นซียังมีน้อยยิ่ง
เฉินอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก่อนหน้านี้ที่บ้านต้องการจัดการหมั้นหมายกับคนเมื่อวาน จึงให้พี่ใหญ่ไปขอร้องประจบประแจง ผลลัพธ์สุดท้ายยังคงไม่สำเร็จ เขาแม้แต่ให้ข้าเป็นอนุยังไม่ต้องการ”
ในรอยยิ้มนางมีความโศกเศร้ารางๆ
“ข้ารู้ว่าตัวเองรูปร่างไม่ดี ขายาวเกินไป… เขาไม่ชอบข้าก็ปกติยิ่ง ทุกครั้งได้ยินคนอื่นว่าข้าขายาว ข้าล้วนเสียใจ อดกลั้นไม่ไหวก็ก้มหน้าไม่อาจทนฟังอีก”
ลู่เซิ่งมุมปากกระตุก รู้สึกว่าคำพูดนี้มีตรงไหนสักแห่งไม่ถูกต้อง ความรู้สึกตะหงิดๆ เข้มข้นเกิดขึ้นในใจ ไม่ยอมสลายหายไป
“แต่ข้าทำอะไรไม่ได้ ใครให้ข้าขายาวมาแต่เกิดเล่า” เฉินอวิ๋นซีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความเวทนา “ข้ารู้ว่าท่านอาจไม่ชมชอบข้า แต่ข้าชอบท่านมากจริงๆ…”
นางกัดฟันหยิบกระดาษที่มีตราสำริดม้วนหนึ่งออกมากางเบาๆ
“บิดาข้าบอกว่า ฟังว่าที่บ้านของพี่ใหญ่ลู่ท่านต้องการย้ายไปเมืองใหญ่ มิสู้ย้ายมาที่นี่ ขอแค่ท่านต้องการ นี่เป็นสัญญาการค้าของเหลาสุราสิบห้าแห่งในเมืองเลียบคีรี ล้วนเป็นของท่านทั้งหมด มากพอให้ตระกูลลู่ลงหลักปักฐาน”
………………………………………….