“นี่เป็นวิชาดาบตื้นเขินที่นักพรตพเนจรคนหนึ่งซึ่งข้าเคยเจอมานานแล้วถ่ายทอดให้ข้า ในยุทธภพตอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นอันดับสาม
“แต่ว่าอย่าได้ดูถูกว่าเป็นแค่อันดับสาม ในนี้มีเคล็ดที่ไม่ธรรมดาอยู่ คัมภีร์ลับอันดับสามก็เพียงพอให้เข้าไปอยู่ในหอเก็บหนังสือของพรรคใหญ่แล้ว ท่านนำไปอ่านให้ดีก่อน ด้านในยังมีรูปท่วงท่าอย่างละเอียด ลองฝึกฝนด้วยตัวเองดู หลังจากท่านอ่านแล้วยังแน่ใจว่าจะฝึกอยู่ ค่อยมาหาข้า
“แต่ไม่ว่าท่านจะฝึกหรือไม่ฝึก จำไว้ด้วยว่า ท่านต้องคืนคัมภีร์เล่มนี้ให้แก่ข้าด้วย”
จ้าวต้าหู่ส่งคัมภีร์ให้ลู่เซิ่งอย่างระมัดระวัง
“เยี่ยม!”
ลู่เซิ่งรู้ว่านี่คงเป็นวิชาที่จ้าวต้าหู่เก็บไว้ก้นหีบแล้ว
เขามอบให้ตนอย่างง่ายดายขนาดนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าลู่เซิ่งจะอาศัยมันเรียนวิชาดาบนี้ได้
การฝึกฝนวรยุทธ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จำเป็นต้องปรับแก้รายละเอียดมากมาย ไม่ใช่จะร่ำเรียนตามคัมภีร์ได้อย่างผ่อนคลาย
“ขอบคุณลุงจ้าวมาก!”
ลู่เซิ่งรับคัมภีร์มาอย่างระมัดระวัง
เขาพกคัมภีร์ดาบพยัคฆ์ดำกลับห้องของตัวเอง ปิดประตูห้อง แล้วจุดเทียนขึ้น พลิกอ่านเนื้อหาด้านในตามลำพัง
วิชาดาบพยัคฆ์ดำ อธิบายถึงวิชาดาบ ที่ความจริงมีแค่สามกระบวนท่า
ทั้งสามกระบวนท่าล้วนเป็นการโจมตี
ไม่มีตั้งรับ ไม่มีหลบหลีก มีแค่จู่โจม
กระบวนท่าแรก พยัคฆ์สังหาร
กระบวนท่าที่สอง บารมีพยัคฆ์
กระบวนท่าสาม พยัคฆ์คำราม
กระบวนท่าเรียบง่ายยิ่ง เป็นท่วงท่าการออกดาบที่แตกต่างกันสามแบบ แสดงอานุภาพ ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
ลู่เซิ่งลองอ่านดูก็พอทราบคร่าวๆ แต่ว่ากระบวนท่าเหล่านี้ บอกว่าง่ายดายก็ง่ายดายอยู่ ทว่าอานุภาพกลับอาศัยความคุ้นเคยชำนาญ ต้องอาศัยพละกำลังและความเร็ว
และสิ่งที่สำคัญของพละกำลังกับความเร็วก็คือการประสานสอดรับกันของร่างกาย
ดังนั้นในวิชาดาบสามกระบวนท่านี้ จึงยังมีวิชาฝึกจิตที่สอดคล้องกันชุดหนึ่งด้วย
สิ่งที่เรียกว่าวิชาฝึกจิตก็คือจะประสานความคิดสมาธิจิตใจในชีวิตประจำวันอย่างไร เพื่อแสดงวิชาดาบนี้ได้ถึงระดับที่ร้ายกาจที่สุด
วิชาฝึกจิต ความจริงเป็นวิธีการปรับแต่งจิตภายใน
กระบวนท่าดาบคือการปรับแต่งภายนอก วิชาฝึกจิตคือการปรับแต่งภายใน สองสิ่งสอดประสาน บรรลุถึงขั้นกาย ปราณ และจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว
วิชาฝึกจิตพยัคฆ์ดำมีสามระดับ ทุกระดับไม่มีชื่อเรียกพิเศษอันใด เป็นระดับหนึ่ง ระดับสอง และระดับสาม
วิชาฝึกจิตหากฝึกสำเร็จ จะบรรลุระดับความชำนาญของกระบวนท่าภายนอกตามที่คัมภีร์บอก จึงจะนับว่าฝึกวิชาดาบนี้สำเร็จ
ลู่เซิ่งปิดคัมภีร์เล่มเล็กเบาๆ
นั่งเงียบๆ ข้างโต๊ะอยู่นาน จดจำจุดยากของกระบวนท่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำทั้งหมด ทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าในห้วงสมอง
จากนั้นเขาก็คิดขึ้นมาในใจ
‘ดีปบลู’
ทันใดนั้นอินเตอร์เฟซของเครื่องมือปรับเปลี่ยนความสามารถดีปบลูก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขาในตอนนี้
ในกรอบสีน้ำเงิน เป็นตารางเล็กๆ จำนวนมากหลายตาราง
ในตารางแรก แถวแรกเวลานี้แสดงสถานะในตอนนี้ของเขา
‘ลู่เซิ่ง
วรยุทธ์ :
วิชาดาบพยัคฆ์ดำ : ยังไม่เริ่มฝึก’
การแสดงผลเรียบง่ายยิ่ง มีแค่วิชาดาบพยัคฆ์ดำที่เคยเพิ่งอ่านไปรอบเดียว
‘ไม่ใช่…ไม่ใช่ภาพหลอนจริงๆ ด้วย!’
ลู่เซิ่งร่างแข็งทื่อในทันใด
ไม่ใช่หวาดกลัว หากแต่เป็นความตื่นเต้น!
โลกใบนี้อันตรายเกินไปแล้ว
เดิมเขาคิดว่าตนเองเป็นตัวมอด เกิดอย่างมีความสุขตายอย่างมีความสุข แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนตกเข้ามาในรูงู รอบๆ ตัว คล้ายกับว่าอาจมีงูพิษจำนวนมากมุดออกมาได้ตลอดเวลา หากไม่ระวังโดนลูกหลงไป อาจกลายเป็นตัวประกอบในเรื่องภูตเล่าผีสักเรื่อง ตายจนไม่อาจตายได้อีก
‘แต่ตอนนี้ยังดี ยังไงก็มีความหวังเล็กน้อยแล้ว…ถ้าเครื่องมือปรับเปลี่ยนนี้ใช้ได้จริงๆ…’
ลู่เซิ่งสะกดความตื่นเต้นและความพลุ่งพล่านในใจ เริ่มหวนนึกถึงความสามารถของเครื่องมือโกงที่ตัวเองเขียนขึ้นในตอนนั้น
ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวของเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูก็คือ ปรับเปลี่ยนความสามารถของวรยุทธ์ทั้งหมดที่ตัวละครหลักในเกมครอบครองไว้
มันปรับเปลี่ยนระดับวรยุทธ์ได้ สามารถเปลี่ยนกลายเป็นบรรลุระดับหรือสำเร็จขอบเขตระดับสุดยอดได้โดยตรง แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างคือมันไม่อาจปรับเปลี่ยนระดับความชำนาญ ไม่อาจปรับปริมาณเลือดลม ไม่อาจปรับพละกำลัง ความเร็ว กำลังภายใน และสิ่งยิบย่อยมากมาย
สิ่งที่มันเปลี่ยนได้อย่างเดียวก็คือขอบเขตวรยุทธ์ที่ครอบครองอยู่!
‘ดูจากในตารางนี้ สิ่งที่สามารถเปลี่ยนได้มีแค่วิชาดาบพยัคฆ์ดำนี้ เช่นนั้นเราสมควรทำอย่างไรจึงจะเริ่มปรับเปลี่ยนได้’
ลู่เซิ่งเริ่มศึกษาคลำทาง
ตามลำพังคนเดียวอยู่ในห้อง มือพลิกคัมภีร์เล่มเล็กโดยไม่รู้ตัว ความสนใจล้วนรวมอยู่บนเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูในหัว
เขาศึกษาเครื่องมือปรับเปลี่ยนทั้งหมดอย่างละเอียดหลายครั้ง ไม่นานเขาก็พบปุ่มกดที่เล็กมากๆ ปุ่มหนึ่งที่ส่วนล่างสุดของเครื่องมือปรับเปลี่ยน
ข้างบนปุ่มกดเขียนว่า : เริ่มปรับเปลี่ยน
‘มันนี่แหละ’
ความคิดของลู่เซิ่งขยับไหว จินตนาการว่ากดนิ้วบนลงบนปุ่มกดนี้โดยแรง
ฉับพลันนั้นเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูก็กะพริบครั้งหนึ่ง
เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองควบคุมทุกสิ่งบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนได้ตามใจ
ความรู้สึกนี้พิเศษยิ่ง แต่ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจมากเกินไป หากเพ่งความสนใจ ไปที่วิชาดาบพยัคฆ์ดำอย่างรวดเร็ว
สถานะด้านหลังของวิชาดาบพยัคฆ์ดำคือยังไม่เริ่มฝึก พริบตาที่เขาเพ่งสมาธิไปในนั้น สถานะก็พลันเด้งเปลี่ยน
กลายเป็นเริ่มฝึกฝน
ลู่เซิ่งยินดี รู้สึกสนุก เพ่งสมาธิจับจ้องวิชาดาบพยัคฆ์ดำต่อ
อย่างรวดเร็ว วิชาดาบพยัคฆ์ดำเด้งขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นระดับหนึ่ง
จากนั้นเปลี่ยนเป็นระดับสอง ระดับสาม…
‘สำเร็จแล้ว!’ ลู่เซิ่งลิงโลด ดูเหมือนเครื่องมือปรับเปลี่ยนจะได้ผลจริงๆ
เขาเตรียมจะผ่อนคลายจิตใจ
ทันใดนั้นวิชาดาบพยัคฆ์ดำก็เด้งขึ้นมาอีก
‘ระดับสี่!’
วิชาดาบพยัคฆ์ดำกลายเป็นระดับสี่แล้ว!
ตูม!”
พริบตาที่วิชาดาบพยัคฆ์ดำเด้งถึงระดับสี่ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าห้วงสมองระเบิดตูม
เขาปวดหัวแทบแตก ร่างเหมือนถูกฟ้าผ่า สั่นเทาอย่างรุนแรง
ลู่เซิ่งหมอบลงกับโต๊ะ ผ่อนลมหายใจนานยิ่งกว่าจะประคองศีรษะยกขึ้นมาได้อย่างลำบาก
ใต้จมูกเปียกชื้น เจือด้วยกลิ่นคาว
ลู่เซิ่งยื่นมือออกมาลูบเบาๆ พอมองเห็นก็เป็นเลือดสีแดงเข้ม
เขารู้สึกว่าสองตาของตนพร่ามัว ทั่วร่างไม่มีส่วนใดที่ไม่ปวด ร่างกายอ่อนระโหย ถึงขั้นแม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังกินแรง
เขายกมือขึ้นมาดู ผิวบนหลังมือซีดขาว ถ่างตาไว้แทบไม่ไหว อยากนอนหลับยิ่ง
‘นี่เป็นร่องรอยที่เลือดลมเสียหายครั้งใหญ่!’ ลู่เซิ่งแม้ไม่เป็นวิชาแพทย์ แต่ว่าความรู้พื้นฐานก็ยังพอทราบอยู่บ้าง
ทราบแล้วว่าตนเองอาจจะเลือดลมเสียหายมากเกินไป
เขานั่งลงตรงขอบโต๊ะ ฝืนยันตัวขึ้น เก็บคัมภีร์เล่มเล็กไว้ นอนคว่ำพักผ่อนบนเตียง
“เฉี่ยวเอ๋อร์!”
“คุณชายหรือ มีคำสั่งอันใด”
เสี่ยวเฉี่ยวถามเบาๆ อยู่ด้านนอกประตู
“เจ้าไป…ทำโจ๊กพุทราแดงให้ข้าหน่อย ใส่โสมคนเล็กน้อย เอาที่แก่แล้ว”
ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างลำบาก
เป็นนายน้อยของบ้านรวยมีข้อดีตรงนี้เอง
คนทั่วไปอย่าว่าแต่มีโสมแก่ ต่อให้เป็นโสมธรรมดาก็ได้แต่ยึดถือเป็นยาช่วยชีวิต ไหนเลยนำมาทานบำรุงได้เหมือนลู่เซิ่ง
เสี่ยวเฉี่ยวขานรับ วิ่งไปที่ห้องครัวสั่งให้คนต้มโจ๊กอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งนอนหงายบนเตียง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ ยังรู้สึกหน้ามืดอยู่ แขนขาก็ไร้เรี่ยวแรง
นอกจากความรู้สึกเหล่านี้ เขายื่นมือออกมาอย่างประหลาดใจ ความรู้สึกที่ชำนาญและช่ำชองเหมือนฝึกฝนวิชาดาบมาหลายปีชนิดหนึ่งไหลจากมือเข้าไปในห้วงสมอง
สามกระบวนท่าดาบกับวิชาฝึกจิตสามระดับของวิชาดาบพยัคฆ์ดำ ในใจเขาไม่ทราบว่าเปลี่ยนเป็นเหมือนแตงหล่นเพราะสุกงอมตอนไหน
กระบวนท่าสามท่านี้ เขาไม่เพียงเข้าใจเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่ ในกระบวนท่าเหล่านี้ เขาล้วนทำความเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว ถึงขั้นที่วิชาฝึกจิตจะประสานกระบวนท่าอย่างไร เข้าใจถึงวิชาหัตถ์ ขอบเขต วิธีใช้หลายชนิดที่สอดคล้องกัน
‘สำเร็จแล้วจริงๆ หรือ!?’ ลู่เซิ่งปิดตา ในใจเต็มไปด้วยความลิงโลด
การทดลองนี้สำเร็จแล้ว
ถึงแม้สิ่งที่สูญเสียไป คล้ายจะเป็นเลือดลม พลังกาย และจิตในร่างของเขา แต่แลกกับการสำเร็จวิชาดาบพยัคฆ์ดำก็คุ้มมากแล้ว
‘เพียงแต่ดาบพยัคฆ์ดำมีแค่สามระดับ ระดับสี่นี้มาจากไหน’
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ลู่เซิ่งไม่เข้าใจ
หนำซ้ำระดับที่สี่ของดาบพยัคฆ์ดำ ในความทรงจำของเขาในตอนนี้มอบความรู้สึกที่คุ้นเคยชนิดหนึ่งให้เขา
เหมือนกับ…เหมือนกับเป็นเขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง
หลักการและแนวคิดที่แฝงอยู่ด้านในไม่ใช่สิ่งที่คนที่อยู่บนโลกนี้จะคิดออกได้ แต่เหมือนเป็นการรวมแนวคิดพื้นฐานส่วนหนึ่งของของวิทยาศาสตร์และกลศาสตร์ในยุคปัจจุบัน
ตัวเขาถึงแม้จะเป็นแค่ข้าราชการคนหนึ่ง แต่อย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยเข้าชั้นเรียนในมหาวิทยาลัยประเภทกลศาสตร์วิศวกรรมกับชีวกลศาสตร์
ไม่รอให้เขาคิดมาก เสี่ยวเฉี่ยวก็ประคองชามโจ๊กเข้ามาแล้ว
“บัญเอิญต้มโจ๊กบำรุงเลือดให้คุณหนูสามพอดี ใช้พุทราแดงเป็นหลัก คุณหนูสามไม่อยากรับประทาน ข้าจึงเอามาให้คุณชายก่อน นี่เป็นน้ำแกงพุทราแดงใส่ดอกไป๋เหอ ช่วยสงบจิตใจบำรุงเลือด ข้าเติมโสมคนไว้ในนี้แล้ว คุณชายท่านต้องการหรือไม่”
เสี่ยวเฉี่ยวถามเบาๆ อยู่ด้านนอกประตู
“เจ้าเอาเข้ามา”
ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ
เสี่ยวเฉี่ยวค่อยๆ ผลักประตูห้องเบาๆ เดินเข้าไปด้านใน แต่เพิ่งเข้ามา นางก็เห็นรอยเลือดจุดหนึ่งที่เปื้อนติดคอเสื้อของลู่เซิ่ง
“คุณ…คุณ…คุณ…คุณชายท่านเป็นอะไรไป!?” เสี่ยวเฉี่ยวตื่นตระหนก ชามโจ๊กบนมือเกือบตกลงพื้น
ลู่เซิ่งยิ้มขื่น
“ข้าไม่เป็นไร”
“ท่านยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก! ถึงขั้นกระอักเลือดแล้ว!”
เสี่ยวเฉี่ยวตกใจหน้าซีดแล้ว
“ไม่เป็นไรจริงๆ…” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจนปัญญา
เสี่ยวเฉี่ยวรีบประคองชามโจ๊กในมือให้ลู่เซิ่ง
“มาเถอะคุณชาย กินโจ๊กร้อนๆ ก่อน”
ภายใต้การปรนนิบัติของนาง ลู่เซิ่งรับประทานโจ๊กชามนั้นทีละคำจนหมด
จิตใจจึงผ่อนคลายไปส่วนหนึ่ง
เขาเริ่มหวนนึกถึงข่าวสารกับประสบการณ์หลายอย่างเกี่ยวกับวิชาดาบพยัคฆ์ดำที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมาในห้วงสมอง
ประหลาดยิ่ง ของเหล่านี้เหมือนกับอยู่ในสมองของเขาตั้งแต่แรก ไม่ว่าจุดยากใดๆ เขาสามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังรู้สึกว่าร่างกายทำได้ง่ายยิ่ง
ถ้าไม่ใช่ร่างกายตอนนี้ไม่อนุญาต เขายังคิดจะไปหาดาบที่ลานฝึกเพื่อลองฝึกฝนดูแล้ว
เสี่ยวเฉี่ยวเร่งฝีเท้าจากไป หลังจากเขารับประทานโจ๊กเสร็จแล้ว ไปตามหาหมอประจำของตระกูลลู่ที่ห้องยา เพราะนางยังเป็นห่วงร่างกายของลู่เซิ่งอยู่
คฤหาสน์ตระกูลลู่ มีหมอเฉพาะของตัวเอง เป็นชายชราร่างผอมไว้เคราแพะคนหนึ่ง
เขาแบกหีบยาขนาดใหญ่รีบรุดมาถึง
ท่านหมอนั่งคลำชีพจรอยู่ข้างเตียงลู่เซิ่ง จากนั้นหัวคิ้วของเขาก็คลายออก
“ไมมีปัญหาใหญ่อันใด เพียงแต่เลือดลมเสียหาย ใช้จิตใจมากเกินไป พักผ่อนบำรุงหลายวันก็พอแล้ว”
เขาดึงกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง เขียนเทียบยาบำรุงใบหนึ่ง
“นำไปห้องยา ให้คุณชายใหญ่กินสิบวัน วันละสองครั้ง จะหายดีเอง”
“ขอบคุณท่านหมอ”
ลู่เซิ่งโล่งใจ นี่ตรงกับสถานการณ์ที่ตัวเขาเองวินิจฉัยไว้
ไม่ทันไรลู่ฟ่าง ลู่เฉวียนอันก็มาแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาพามารดารองและมารดาสามของลู่เซิ่งมาด้วย
มารดาแท้ๆ ของลู่เซิ่งป่วยจากไปนานแล้ว
ตั้งแต่เล็กเป็นมารดารองดูแลเขามา
มารดารองหลิวชุ่ยอวี้มีนิสัยอ่อนโยน ดีกับคนอื่นถึงขีดสุด ปฏิบัติกับเขาไม่ต่างกับบุตรของตัวเอง
“ฝึกวรยุทธ์เลือดลมเสียหายเล็กน้อย ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งอธิบายคนในครอบครัว
เขาเป็นบุตรคนโตในตระกูล เป็นเสาค้ำยันที่จะรับสืบทอดสมบัติของตระกูลในอนาคต เกิดเรื่องอะไรขึ้นย่อมดึงดูดความสนใจทันที
……………………………………….