ตวนมู่หว่านยกมือม้วนผมงามหลายปอยที่ตกลงมา ขึ้นไปอย่างผิดหวัง มองทิวทัศน์ใต้หอนอกหน้าต่าง พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังเป็นพวกท่านที่ดี ไม่รู้อะไรสักอย่าง และไม่จำเป็นต้องรู้ ขอแค่รับผลลัพธ์ก็พอ”
“บางทีกระมัง” ลู่เซิ่งยิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆ
“บางครั้งการรู้มากเกินไปกลับเหนื่อยกว่าเดิม หวาดกลัวกว่าเดิม” ตวนมู่หว่านลดเสียง
“แม้เป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากรู้มากขึ้น อย่างน้อยให้เห็นความหวังในการควบคุมชะตาของตัวเอง” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
“บางทีกระมัง” ครั้งนี้ถึงตาตวนมู่หว่านถอนใจแล้ว
ความจริงการพบเจอของคนทั้งสองก็เป็นเพียงความบังเอิญครั้งหนึ่ง
แต่ตอนเห็นลู่เซิ่ง ตวนมู่หว่านนึกถึงคนผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว คนที่นางรัก หากไม่มีโอกาสชิดใกล้ได้อีก
ตั้งแต่เขาปรากฏตัว เบ่งบาน เดินถึงจุดสูงสุด จากนั้นก็ตกต่ำ ตั้งแต่เริ่มจนจบ นางได้แต่มองอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ แม้แต่ความกล้าในการแสดงความรักของตัวเองก็ไม่มี
ตอนเห็นลู่เซิ่ง นางเห็นเงาของคนผู้นั้นบนร่างของเขาโดยไม่ผู้ตัว ดังนั้นนางจึงยอมดื่มชาด้วยกันกับเขา
ขณะมองลู่เซิ่งที่อยู่อีกฝั่ง ตวนมู่หว่านก็ยิ้มเฝื่อนในใจ ถ้าให้คนเหล่านั้นรู้ว่านางถึงกับจิบชากับคนธรรมดาคนหนึ่งที่โรงน้ำชาในเวลาคับขันขนาดนี้ ไม่ทราบว่าจะเยาะเย้ยถากถางแบบไหน
แต่นั่นแล้วอย่างไร
นางคือองค์หญิงสารทกระจ่าง! เป็นสาวงามมีพิษร้ายที่คนธรรมดาเกรงกลัวราวงูและแมงป่อง! ต่อให้พวกเขาเยาะเย้ยถากถางแล้วอย่างไร นางไม่สนใจโดยสิ้นเชิง
นางอยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีคนชี้นิ้วสั่งนางได้
“เตือนท่านหนึ่งประโยค ถ้าเห็นคนของตระกูลขุนนาง พยายามหลบเลี่ยง โดยเฉพาะการติดต่อโดยตรง เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ดื่ม” ตวนมู่หว่านยกถ้วยชาขึ้น ดื่มหมดเกลี้ยงเหมือนดื่มสุรา จากนั้นก็ไม่สนใจภาพลักษณ์อีก ยื่นมือไปหยิบขนมและของว่างมากิน
ลู่เซิ่งก็ไม่พูดอะไรแล้ว เป็นเพื่อนนางอยู่เช่นนี้ มองออกว่าตวนมู่หว่านอารมณ์เสียมาก
เขาไม่เข้าใจโลกของอีกฝ่าย โลกนั้นอยู่ห่างจากตัวเขาในตอนนี้มากเกินไป แต่นี่ไม่ขัดขวางให้เขามองออกว่าสิ่งที่ตวนมู่หว่านต้องการในตอนนี้คืออะไร
สิ่งที่นางต้องการก็แค่มีคนพักผ่อนเป็นเพื่อนนางสักพัก
ดังนั้นแม้เขามีคำถามเต็มอก คิดจะถามอีกฝ่าย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ กลับไม่ได้พูดสักประโยค เพียงดื่มชาเป็นเพื่อนตวนมู่หว่าน
กระทั่งถึงตอนเย็น บนถนนด้านนอกเริ่มวางแผงปิ้งย่างเคลื่อนที่ ตวนมู่หว่านค่อยลุกขึ้นจากไป
นางมาเร็วไปเร็ว เหมือนกับตอนที่นางเคยปรากฏตัว ลี้ลับยากหยั่งคาด
ลู่เซิ่งเดินออกจากโรงน้ำชา ทั่วถนนด้านนอกมีกลิ่นหอมของไม้เสียบเนื้อย่างลอยอยู่ บนท่อนไม้ที่ตั้งขึ้นมากมายแขวนตะเกียงน้ำมันกับธง ด้านบนเขียนชื่อแผงเล็กร้านน้อย กลุ่มคนจำนวนมากเคลื่อนตัวระหว่างแผงขายของ เดินๆ หยุดๆ ทั้งพูดทั้งหัวเราะ
ลู่เซิ่งไม่ทราบว่าโลกของตนกับตวนมู่หว่านห่างกันขนาดไหน และไม่สนใจว่าไกลแค่ไหน เขาเพียงอยากมีพลังในการควบคุมชะตาของตัวเองบนโลกอันสับสนเช่นนี้ แค่นี้เท่านั้น
วันที่สองหลังจากเจอตวนมู่หว่าน ลู่เซิ่งก็มาถึงหุบเขาเล็กๆ ที่ตนเองใช้ฝึกวิชาเป็นประจำ
เวลาเช้าตรู่ ป่าเพิ่งผ่านฝน เขียวชะอุ่ม ต้นไม้ใบหญ้ามีหยดน้ำจำนวนไม่น้อยเกาะอยู่
ลู่เซิ่งแขวนเสื้อนอก ยืนสงบบนที่ว่างปรับลมปราณโคจรวิชาทมิฬพิฆาตกับวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกพร้อมกัน
เป็นอย่างที่คาด พลังอันมหาศาลเหมือนคืนนั้นเริ่มพรั่งพรูสั่นไหวบนสองแขน
ลู่เซิ่งใช้เวลามากมาย จึงควบคุมการระเบิดของพลังสายนี้ได้อย่างลำบาก
เขาตรวจสอบผิวหนังบนสองแขนของตัวเองอย่างละเอียด กลับเห็นบนผิวกระจายด้วยลวดลายสีแดงดำหลายเส้น เหมือนรอยเลือดที่เกิดขึ้นเพราะรัดผ้าไว้ เป็นกลุ่มๆ ทั่วปลายแขน
ยืนควบคุมปราณภายในอยู่กับที่สักพัก สำเร็วราวสองส่วน ทำให้ขนาดร่างกายเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง นี่เป็นสภาพพิเศษที่ค่อยๆ เกิดขึ้นหลังวิชาทมิฬพิฆาตเลื่อนสู่ระดับสาม ใช้พลังทั้งหมด เส้นเลือดทั่วร่างโป่งพอง กลายเป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่กล้ามเนื้อชัดเจน
ปรับการควบคุมภายในจนมั่นคง ลู่เซิ่งสะบัดดาบไปด้านหน้า
ควับ!
อากาศตรงหน้าถึงกับโดนกระแทกเป็นไอขาวกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้จะเกิดขึ้นแวบเดียวก็หายไป แต่ก็บ่งบอกว่าความเร็วและพลังระเบิดในพริบตาบรรลุถึงขั้นที่เหี้ยมหาญสุดขีดแล้ว
‘กระบวนท่านี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ถึงขีดสุด แต่ว่าร่างกายของเราใช้ได้ไม่กี่ครั้ง’ ลู่เซิ่งรู้สึกสองแขนชาและหมดแรง คำนวณคร่าวๆ ในใจ
‘อย่างมากสุดในเวลาสั้นๆ ใช้ติดกันได้เพียงสามครั้ง ภายหลังต้องพัก ไม่อย่างนั้นจะบาดเจ็บถึงกระดูกเส้นเอ็น’
ครั้งที่สองลู่เซิ่งเปลี่ยนมือไปถือดาบ โคจรวิชาทมิฬพิฆาตกับวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกพร้อมกันอีกครั้ง
เปรี้ยง!
พยัคฆ์คำรามกระเรียนร้อง ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ถูกใช้ทดสอบโดนฟันลำต้นขาดไปมากกว่าครึ่ง
‘พลังหนึ่งส่วน จุ๊ๆ เทียบกับวิชาทมิฬพิฆาตอย่างเดียว พลังระเบิด แรง และความเร็วต่างมีการยกระดับไม่น้อย’ เขาลังเลเล็กน้อย ตัดสินใจตั้งชื่อดีๆ ให้แก่กระบวนท่านี้
‘เรียกดาบพยัคฆ์คำรามกระเรียนร้องก็แล้วกัน ถือเป็นไม้ตายก้นหีบ ยกระดับอานุภาพขึ้นเท่าหนึ่งในชั่วพริบตา ต้องทำให้ศัตรูรับมือไม่ทัน กำหนดชัยชนะได้แน่ แต่ว่าวิชานี้ใช้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ หลังใช้ดาบ ร่างกายจะรับไม่ไหว สิ้นเปลืองปราณภายในมากกว่าครึ่ง” ลู่เซิ่งรับรู้ได้ว่าปราณภายในถึงกับถูกใช้ไปแล้วประมาณหกส่วน เห็นได้ว่ากระบวนท่านี้ท่าเดียวก็ร้ายกาจยิ่ง
ทดสอบอานุภาพกับความสิ้นเปลืองพลังของดาบพยัคฆ์คำรามกระเรียนร้องเสร็จ ลู่เซิ่งก็ศึกษาปิ่นหยกที่ได้มาจากเรือสำราญหอแดงเมื่อก่อนหน้า
หยิบปิ่นหยกออกมาจากในถุงข้างเอว ลู่เซิ่งรู้สึกว่ามีปราณหยินที่ซ่อนเร้นหลายสายไหลออกมาจากมัน
ปิ่นหยกเป็นม่วงอมสีดำ อยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง สลักเป็นดอกบ๊วยอันประณีต ตรงปลายด้านหนึ่งมีจุดที่โปร่งแสงโดยสมบูรณ์
‘ปิ่นหยกนี้… งานฝีมือไม่เลวยิ่ง น่าเสียดายปราณหยินเข้มข้นเกินไป ไม่อย่างนั้นนำไปให้คนกลับไม่เลว ปิ่นหยกม่วงปกติมีมูลค่าสูงยิ่ง’ ลู่เซิ่งกำปิ่นหยกไว้ กัดนิ้วชี้อีกข้างหนึ่ง บีบเลือดหยดหนึ่งใส่ผิวปิ่น
ซี่…
พริบตาที่เลือดสัมผัสปิ่น พลันเกิดควันขาวขมุกขมัวชั้นหนึ่งลอยขึ้น
ลู่เซิ่งถือมันอยู่ห่างๆ เป่าควันขาวกระจาย รู้สึกได้ว่ามีไอเย็นที่เข้มข้นขนาดใหญ่สายหนึ่งไหลจากปิ่นเข้าสู่ฝ่ามือ จากนั้นไหลตามแขนเข้าไปในร่าง พริบตาก็เข้าสู่ลำตัว แวบเดียวก็หายสาบสูญไป
‘ดีปบลู!’ ลู่เซิ่งรีบเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน
กรอบสีน้ำเงินเข้มโผล่ขึ้นตรงหน้าเขาทันที
มีกรอบข้อความเด้งขึ้นมาบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน [ดำเนินการเรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่]
‘ใช่’ ลู่เซิ่งเลือก
จากนั้นทั้งกรอบพลันกะพริบ ครั้งนี้ด้านหลังวรยุทธ์ทั้งหมดถึงกับมีปุ่มกดที่เลือกปรับเปลี่ยนได้ขึ้นมา
‘ใช่จริงๆ! จำนวนปราณหยินครั้งนี้มีมากพอ ใช้เรียนรู้วรยุทธ์ทั้งหมดได้!’ ลู่เซิ่งลิงโลด รีบมองไปที่วิชาทมิฬพิฆาต
‘พลังของเราส่วนใหญ่พึ่งพาวิชาทมิฬพิฆาต จำเป็นต้องยกระดับวิชาทมิฬพิฆาตจนสมบูรณ์ก่อน ยังมีผลข้างเคียงที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจนั้นต้องกำจัดทิ้ง’
สายตาของเขาอยู่บนกรอบวิชาทมิฬพิฆาต
‘ไม่ทราบว่าด้วยการสั่งสมความรู้ของเราในตอนนี้ จะเรียนรู้วิทยายุทธต่อจากวิชาทมิฬพิฆาตได้ไหม’
เขาควบคุมความคิด ขณะกำลังจะกดปุ่มเรียนรู้เบื้องหลังวิชาทมิฬพิฆาต กลับพลันนึกอะไรได้ หยุดมองสภาพด้านบนอย่างละเอียดใหม่
‘วิชาทมิฬพิฆาต: ระดับสาม ผลพิเศษ : พิษอัคคี’
‘มีข้อความผลพิเศษเพิ่ม… ยังรีบไม่ได้ ตอนนี้เรายังไม่อาจเร่งยกระดับวิชาทมิฬพิฆาต ครั้งก่อนเพิ่มถึงระดับสาม จ่ายด้วยการรักษาครึ่งปี นี่หมายความว่าร่างกายของเราในตอนนี้ไม่อาจเสียการสั่งสมพลังที่วิชาทมิฬพิฆาตจำเป็นต้องใช้ตอนยกระดับได้แล้ว
‘ต้องการเพิ่มขอบเขตที่คนอื่นจำเป็นต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะไปถึงโดยตรงในพริบตาเดียว การสั่งสมพลังจำนวนมากที่ต้องใช้ระหว่างนี้จึงจะทำให้เงื่อนไขต่ำสุดสำเร็จได้ ตอนนี้เรารีบแบบนี้ไม่ได้…
ลู่เซิ่งคำนวณในใจ ฉุกใจขึ้น ปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลู
ยืนบนที่ว่าง เขานึกย้อนถึงวิชากำลังภายในสองวิชาได้แก่โน้มนำหยินหยางและเคล็ดสนหนึ่งสำนึกที่จดจำไว้ก่อนหน้านี้
‘เคล็ดสนหนึ่งสำนึกคล้ายมีความขัดแย้งกับปราณภายใน ในตัวเรา ไม่อาจฝึกจนเกิดความรู้สึกถึงปราณ แม้แต่ระดับเบื้องต้นก็ไปไม่ถึง กลับทดลองโน้มนำหยินหยางได้’
เขาคึกคักขึ้น นั่งขัดสมาธิเริ่มตั้งจิตสงบปราณตามเคล็ดวิชาโน้มนำหยินหยาง ใช้ความคิดรวมลมปราณในร่าง
โน้มนำหยินหยาง หมายถึงการนำปราณหยินหยางที่มีอยู่แต่เดิมในตัว มาปรับแต่ง สร้างสมดุลในร่าง ถึงขั้นร้อยโรคไม่บังเกิด ยืดอายุขัย จากคำกล่าวที่บันทึกในคัมภีร์ ผู้บัญญัติสมควรเป็นหมอท่านหนึ่ง
แทนที่จะบอกว่าวิชากำลังภายในชนิดนี้เป็นวิชาปราณภายใน ไม่สู้บอกว่าเป็นความสามารถโน้มนำปราณมาหล่อเลี้ยงชีวิตวิชาหนึ่ง เป็นเพราะปราณภายในที่มันให้กำเนิดไม่ใช่รากฐานของปราณภายใน เป็นเพียงพลังชีวิตที่สั่งสมมา แล้วทำการเสริมความแข็งแกร่งด้วยตัวเองหลังจากปรับหยินหยางแล้ว จึงไม่ใช่เป้าหมายหลักของวิชากำลังภายในชนิดนี้
ความยากของความสามารถนี้อยู่ที่จำเป็นต้องใช้ความคิดโน้มนำสองวัฏจักรพร้อมกัน เพื่อแบ่งกันควบคุมหยินหยางสองปราณ
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งไม่ได้ฝึก ตอนนี้มีประสบการณ์ตอนที่วิชาทมิฬพิฆาตกับวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกระเบิดพร้อมกัน เขานั่งนิ่งจมดิ่งสู่สมาธิระดับตื้นอย่างรวดเร็ว
หยินหยางสองปราณในร่าง ความจริงอาศัยความคิดรับรู้ไม่ได้ นี่เป็นเพียงการบรรยายอย่างหนึ่ง วิธีพูดอย่างหนึ่ง สิ่งที่หยินหยางสองปราณเป็นตัวแทนคือ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของขั้วตรงข้ามกันสองชนิดและการดำรงอยู่ร่วมกัน
ร่างกายมนุษย์ด้านหนึ่งให้กำเนิดปราณหยินอย่างต่อเนื่อง ด้านหนึ่งก็ให้กำเนิดปราณหยางอย่างต่อเนื่อง สองสิ่งหักล้างทำลายกันและกัน รักษาสมดุลชนิดหนึ่ง
ลู่เซิ่งทบทวนหลักทฤษฎีบนคัมภีร์อย่างละเอียด ค่อยๆ จมดิ่งจากสมาธิระดับตื้นสู่สมาธิระดับลึก
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น รอบๆ บางครั้งมีกระต่ายและกระรอกผ่านมามา แต่ไม่กล้าเข้าใกล้เขาในรัศมีสิบหมี่ เหมือนกับที่นี่มีงูพิษสัตว์ร้ายขดตัวอยู่
นับตั้งแต่วิชาทมิฬพิฆาตเลื่อนสู่ระดับสาม ปรากฏการณ์นี้ก็ปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง เขาค้นพบความพิเศษของวิชาทมิฬพิฆาตมากกว่าเดิม
ไม่ทราบว่านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้านานขนาดไหน อย่างค่อยเป็นค่อยไป ลมปราณจางๆ สายหนึ่งกำเนิดขึ้นมาจากท้องน้อยของลู่เซิ่ง ก่อนค่อยๆ ไหลตามเส้นลมปราณหัวใจและเส้นลมปราณไตในตัวเขาขึ้นด้านบนอย่างช้าๆ
‘มาแล้ว!’ ลู่เซิ่งตื่นเต้น ทราบว่าอาจเป็นปราณภายในที่โผล่ขึ้นชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ ภายหลังจะหายไป รีบใช้ความคิด
‘ดีปบลู!’
อินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่มา ยังหยุดอยู่ในสถานะหลังจากดูดซับปราณหยินเมื่อครู่ ด้านหลังทุกความสามารถมีปุ่มกดที่เรียนรู้ได้ปุ่มหนึ่ง
ลู่เซิ่งข้ามวรยุทธ์อื่นๆ สายตาอยู่ที่วิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยก
‘วิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยก: ระดับสามสูงสุด ผลพิเศษ: หยุดเลือดอย่างรวดเร็ว’
ด้านล่างเป็นโน้มนำหยินหยางที่โผล่มาใหม่
‘โน้มนำหยินหยาง: ยังไม่เริ่มต้น’
………………………………………….