ลู่เซิ่งทราบคร่าวๆ ถึงฐานที่มั่น ลักษณะพิเศษ และโครงสร้างของสมาชิกพรรควาฬแดงแล้วก็ออกมาจากสุสาน
วันที่สอง เขาออกมาเดินเล่นแต่เช้าตรู่ คิดสืบหาที่อยู่ของพรรควาฬแดง
ตอนที่ผ่านถนนที่คึกคักสายหนึ่ง ร้านใหญ่ร้านหนึ่งในเมืองกำลังจัดกิจกรรมพิเศษ กิจกรรมพิเศษของที่นี่ไม่ใช่การลดราคา แต่เป็นการให้ของขวัญสมนาคุณ
พวกเด็กๆ กลุ่มใหญ่ออกันอยู่ที่ประตูร้าน ที่นั่นจัดสร้างเวทีไม้ไว้ ด้านบนมีคนกล่าวเสียงดัง ดึงดูดคนเดินถนนจำนวนไม่น้อยมาชมดู
ลู่เซิ่งเดิมเหลือบมองแวบหนึ่ง คิดรีบจากไป
แต่ตอนผ่านเวที สังเกตเห็นว่าในกลุ่มคนบนถนน ที่มามุงดูมีคนหน้าเหลืองผอมแห้งเสื้อผ้าซอมซ่อไม่น้อย
‘เมืองเลียบคีรีที่แล้วมา คนใช้ชีวิตไม่เลว ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นคนลี้ภัยมากขนาดนี้เดินบนถนน เหตุใดครู่เดียวก็โผล่มามากขนาดนี้’
ลู่เซิ่งไม่สนใจพ่อค้าวานิชที่กำลังพูดเสียงดังบนเวทีไม้ แต่พิจารณาคนที่เหมือนผู้ลี้ภัยเหล่านี้
พวกเขาใบหน้าอมทุกข์ ในดวงตาแต่ละดวงไม่มีความหวัง เพียงยืนอยู่ข้างเวทีไม้ หวังว่าร้านค้าสามารถให้ของที่พอประทังหิวได้
ลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าได้อีกระยะหนึ่ง ก็ได้ยินว่าฝั่งขวาทางด้านหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งชุมนุมอยู่ กระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ตลอดเวลา
เขาเดินเข้าไป เบียดกลุ่มคนมองดู
สามีภรรยาที่อดอยากจนหนังหุ้มกระดูกคู่หนึ่ง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง กำลังกอดเด็กสาวอายุสามสี่ขวบคนหนึ่งหมอบอยู่บนพื้น บนคอแขวนเปลือกไม้ใช้ถ่านขีดเขียนรูปภาพโย้เย้ เป็นรูปง่ายๆ คล้ายกับรูปเงินพวงหนึ่ง
“ทุกท่านได้โปรดเมตตา บุตรีข้าปีนี้เพิ่งสามขวบ ว่านอนสอนง่าย หน้าตาสมบูรณ์ ขอให้ท่านผู้ใจบุญได้โปรดสงสาร… ขออาหารกิน…” สตรีที่หมอบอยู่บนพื้นกล่าวเสียงเศร้า
เด็กหญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างของนางทำหน้างุนงง ท่าทางไม่ทราบอะไรเลย
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเบียดฝูงชนเดินไปด้านหน้าอีกระยะหนึ่ง ถึงกับเห็นมีคนขายบุตรขายธิดา ล้วนเป็นเด็กที่อายุน้อยยิ่ง
‘เมืองนี้มีผู้ลี้ภัยมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหน’ ลู่เซิ่งอดพึมพำไม่ได้
ระหว่างทางที่เดินเล่นเขาเห็นคนขายบุตรขายธิดาไม่ต่ำกว่าห้าแห่ง นี่ทำให้จิตใจของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย เกิดความสงสัยกว่าเดิม
อย่างไรก่อนที่เขาจะมาโลกใบนี้ ก็ไม่เคยเห็นเรื่องเลวร้ายแบบนี้มาก่อน ให้ครอบครัวหนึ่งถึงขั้นขายบุตรขายธิดาได้ นี่จำเป็นต้องตกยากถึงขั้นไหนจึงไม่อาจไม่เลือกได้เช่นนี้
รอจนได้เวลา ลู่เซิ่งกลับมาถึงหน้าอาคารที่ตัวเองพักอยู่ หน้าประตูเหลาสุราถึงกับมีสตรีเยาว์วัยคนหนึ่งคุกเข่าขายตัวอยู่บนพื้น พูดติดสำเนียงต่างถิ่น ขณะคุยก็ได้ยินไม่ชัด
ลู่เซิ่งมองดู เห็นเสี่ยวเอ้อร์ในเหลาสุราชมดูเรื่องคึกครื้นอยู่ จึงเดินเข้าไปใกล้สองสามก้าวถามประโยคหนึ่ง
“เหตุใดช่วงนี้ เมืองนี้ถึงมีผู้ลี้ภัยเข้ามามากนัก ด้านนอกเกิดภัยอะไร”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นพอเห็นลู่เซิ่ง ก็ทราบว่าคนผู้นี้เป็นแขกผู้มีเกียรติบนเหลาสุราของตัวเอง รีบพยักหน้าค้อมเอวตอบว่า
“เรียนคุณชาย นี่ไม่ใช่เพราะว่าแคว้นเมฆา เกิดภัยแล้งหรอกหรือ ไม่ทราบคนจำนวนเท่าไหร่ไม่มีกิน ร่อนเร่ไปทั่ว จำนวนคนที่อดตายก็มีถึงหนึ่งในสิบส่วนของประชากรเมืองเลียบคีรี บนถนนหนทางต่างเลวร้ายนัก…” เสี่ยวเอ้อร์ส่ายหน้าถอนใจ “ตอนแรกฟังว่าเมืองพวกเรายังไม่ให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เข้ามา ภายหลังเห็นว่าเลวร้ายเกินไปจริงๆ นายผู้เฒ่าในที่ว่าการทนไม่ไหว สั่งเปิดทางให้ผู้ลี้ภัยจำนวนน้อยนิดเข้าเมืองมา ความจริงเมืองของพวกเรายังดี ระหว่างทางไปจงหยวน มีคูเมืองไม่น้อยคับคั่งไปด้วยผู้ลี้ภัย จนราคาข้าวของแพงขึ้นสูงลิ่ว”
“แคว้นเมฆาหรือ…” ลู่เซิ่งรู้จักที่แห่งนี้ อยู่ทางตะวันตกของจงหยวน เป็นคำเรียกรวมๆ ของอาณาเขตหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าภัยร้ายของสถานที่แห่งนั้นจะหนักหนาขนาดนี้ คนทั่วไปคิดจะมาถึงที่นี่จากที่ที่ไกลขนาดนั้น ระหว่างทางไม่ทราบบาดเจ็บล้มตายกี่คน
“ใช่แล้ว… ฟังว่า…” เสี่ยวเอ้อร์มองซ้ายมองขวา ลดเสียงลง “ฟังว่าทางแคว้นเมฆาประสบภัยมารปีศาจด้วย ท่านคิดดูอากาศแบบนี้ ลูกเห็บตกเป็นสิบวัน ยังมีภัยแล้งต่ออีกหลายเดือน มีที่ไหน”
“ลูกเห็บตกสิบวันหรือ ภัยแล้งหลายเดือนหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ว่ากันว่าลูกเห็บนั้นขนาดเท่าไข่ไก่ จากนั้นก็เป็นภัยแล้งแปดเก้าเดือน ฝนไม่ตกสักหยดเดียว… จุ๊ๆ เลวร้ายเหลือเกิน ได้ยินว่ามีเรื่องคนกินคนเกิดขึ้นแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์เป็นพวกชอบซุบซิบ พอเปิดปากก็อดพูดทุกสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาไม่ได้
“ลูกเห็บเท่าไข่ไก่ ภัยแล้งแปดเก้าเดือน…” ลู่เซิ่งตกใจเช่นกัน พึงทราบว่าตามที่เขารู้ ฝนไม่ตกติดต่อกันสามเดือนก็นับเป็นภัยแล้งแล้ว ภัยแล้งแปดเก้าเดือน ไม่น่าแคว้นเมฆาถึงพินาศสิ้น ธัญพืชคงตายหมด แม้แต่น้ำก็ไม่แน่ว่าจะมีให้ดื่ม
“ได้ยินคนเล่าว่า ทุกๆ ครั้งที่ฝนจะตก แม้แต่เมฆดำก็ยังมี ทว่าก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นทันที เหมือนกับปรากฏปรากฏการณ์เช่นวังวนเมฆ เสียงสายฟ้า จากนั้นเมฆดำที่เพิ่งโผล่มาก็หายไป” เสี่ยวเอ้อร์กล่าวเบาๆ
หลังได้ยินข่าว ลู่เซิ่งก็เข้าบ้าน ตกใจอยู่บ้าง
ลูกเห็บตกก่อนสิบวัน จากนั้นก็เป็นภัยแล้ง อากาศที่ไม่สอดรับกับหลักเหตุผลเช่นนี้ ไม่สอดคล้องกับกฎธรรมชาติโดยสิ้นเชิง
เขามาถึงโลกนี้นานถึงเพียงนี้ เข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าที่นี่มีความแตกต่างจากจีนยุคโบราณไม่มากนัก นอกจากดินฟ้าอากาศกระแสนิยมมีความแตกต่างอยู่บ้าง กฎธรรมชาติเหมือนกันไม่มีผิด
ยกเว้นมีเพียงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเช่นภูตผีปีศาจนี้
‘อากาศที่ไม่สอดคล้องกับกฎธรรมชาติโดยสิ้นเชิงนี้จะต้องมีแรงภายนอกกระตุ้น’ ลู่เซิ่งคาดเดาในใจ ความรู้สึกบอกเขาว่าภัยแล้งนี้สิบส่วนมีแปดเก้าส่วนเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจ
พอกลับถึงบ้าน เสี่ยวเฉี่ยวที่กำลังเย็บอะไรบางอย่าง เห็นลู่เซิ่งเข้าประตูมาก็รีบลุกขึ้น
“คุณชายท่านกลับมาแล้วหรือ อยากอาบน้ำไหม เสี่ยวเฉี่ยวจะไปต้มให้”
“ไม่ต้อง ในบ้านมีเงินมากเท่าไหร่” ลู่เซิ่งถามประโยคหนึ่ง
“ประมาณยี่สิบเอ็ดตำลึง” เสี่ยวเฉี่ยวตอบจำนวนที่จนปัญญาอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งหมดคำพูดแล้ว เขาถึงขั้นอยากขอยืมเงินจากซ่งเจิ้นกั๋วกับเฉินเจียวหรง หรือไม่ก็ขายกิเลนหยกขาวที่เฉินเจียวหรงให้ทิ้งไป นั่นอาจเป็นของที่มีมูลค่าหมื่นตำลึงทอง ล้ำค่าถึงขีดสุด ยังมีปิ่นหยกม่วงอันนั้นอีก ปราณหยินแม้ถูกดูดจนหมดแล้ว แต่ว่าวัสดุของมันเป็นหยกม่วง ราคาแพงถึงขีดสุดเช่นกัน
‘เหล่านี้ล้วนเป็นเพียงแผนชั่วคราว ยังทำตามแผนการก่อนหน้าของเรา ไม่แน่ว่าจะสร้างรากฐานตระกูลลู่ในเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ได้’ ลู่เซิ่งคำนวณในใจ เริ่มกินทานอาหารที่เสี่ยวเฉี่ยวยกมา
อาหารล้วนซื้อมาจากเหลาสุราด้านข้าง รสชาติไม่เลว เสี่ยวเฉี่ยวยืนเติมสุราให้ลู่เซิ่งอยู่ด้านข้าง พูดคุยกับเขาสองสามประโยคตลอดเวลา
“อีกนานเท่าไหร่ถึงจะประกาศผลสอบ” ลู่เซิ่งถาม
“ประมาณอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ถึงตอนนั้นสถานศึกษาจะมีการแจ้งมา เสี่ยวเฉี่ยวจะไปดูให้เอง” เสี่ยวเฉี่ยวรีบตอบ
“เจ้าอย่าลืมก็พอ ช่วงนี้ข้าต้องไปจัดการธุระ เจ้าอยู่บ้านคนเดียวจงระวังตัว ผู้ลี้ภัยเข้าเมืองมา ยากจะหลีกเลี่ยงคนประสงค์ร้าย”
“เฉี่ยวเอ๋อร์ทราบแล้ว” เสี่ยวเฉี่ยวตอบอย่างเชื่อฟัง
ลู่เซิ่งกินอาหารเสร็จแล้วก็ออกไปด้านนอก สถานที่ของพรรควาฬแดงหลายแห่งเขาต่างสืบจนกระจ่างแล้ว
ยามเที่ยงแล้ว ต้องหาวิธีเข้าร่วมพรรควาฬแดง
ลู่เซิ่งนั่งบนรถม้าเอ้อระเหยไปตลอดทาง จนไปถึงหน้าประตูบ่อนพนันแห่งหนึ่งอย่างเชื่องช้า
บ่อนพนันตราทองคำ
ชื่อของบ่อนแห่งนี้หยาบทื่อยิ่ง แต่ก็เหมาะมากเช่นกัน ประตูใหญ่ของบ่อนเหมือนตราประทับสีทอง เป็นสี่เหลี่ยมสะดุดตายิ่ง
ลู่เซิ่งลงจากรถหยิบพัดพับไหมสีทองที่ดูเข้าทีคันหนึ่ง กางพัดดังพรึ่บ ค่อยๆ เบียดฝูงชนที่เดินเข้าออก เข้าไปบ่อนพนัน
พอเข้าไปในบ่อน เสียงโหวกเหวก เสียงพนันเงินพลันพุ่งปะทะหน้า โต๊ะพนันน้อยใหญ่ตั้งอยู่ในโถงใหญ่ นักพนันหลายกลุ่มล้อมรอบโต๊ะทุกโต๊ะ นัยน์ตาแดงก่ำ ต่างคนต่างตะโกนเสียงดัง คล้ายกับว่าหากเสียงดังพอก็จะชนะพนันได้
ลู่เซิ่งไม่สนใจพนัน กวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นบุรุษวัยกลางคนหน้าแดงที่ยืนอยู่ด้านในสุดของบ่อนตราทองคำทันที
บุรุษผู้นี้ยืนมองฉากที่คึกครื้นไม่ธรรมดาอยู่ข้างโต๊ะพนันตัวหนึ่งด้านในสุด ใบหน้าไร้อารมณ์ แต่งตัวเหมือนกับผู้คุมบ่อนที่อยู่รอบๆ
แต่ลู่เซิ่งรู้ว่าคนผู้นี้ความจริงคือจ้าวเซินหน้าแดงรองหัวหน้าบ่อนพนันตราทองคำ และเป็นผู้ดูแลของบ่อนนี้ในยามปกติ ถ้าคิดเข้าร่วมพรรควาฬแดง มาหาเขาง่ายที่สุด
เขาค่อยๆ ตรงดิ่งไปที่จ้าวเซินหน้าแดง
อีกฝ่ายสังเกตเห็นการเข้ามาใกล้ของเขาอย่างรวดเร็ว มองมาอย่างประหลาดใจ
“พี่ชายท่านนี้ไม่ไปหาความสุข มาทำอะไรที่มุมนี้” จ้าวเซินถาม เขาแม้ว่าจะอยู่ใกล้โต๊ะพนัน แต่ว่าที่นี่ไม่เปิดพนัน เพียงใช้เป็นโต๊ะธรรมดา
“ข้าเป็นนักศึกษาของสถานศึกษาเขาบูรพา คิดเข้าร่วมพรรควาฬแดง ไม่ทราบท่านจะแนะนำได้หรือไม่” ลู่เซิ่งประกาศจุดประสงค์ด้วยรอยยิ้ม
“นักศึกษาสถานศึกษาเขาบูรพาหรือ” จ้าวเซินงุนงง
เขาอยู่ในพรรคมาหลายปี เพิ่งเห็นว่ามีนักศึกษาจากสถานศึกษาขอเข้าร่วมพรรควาฬแดงเป็นครั้งแรก
ถึงพรรควาฬแดงที่เขาอยู่จะเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่ง แต่ว่านักศึกษาในสถานศึกษาที่แล้วมาหลงตัวเองว่าสูงส่ง นอกจากจะเข้าร่วมพรรคเพราะมีความเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในระดับสูงส่วนหนึ่ง หรือใช้ประโยชน์จากเรื่องราวความสัมพันธ์พิเศษส่วนหนึ่งกดดันต้องให้เข้าร่วมพรรค ปกติไม่เห็นนักศึกษาที่คิดเข้าพรรคด้วยตัวเองจริงๆ
ถึงอย่างไรค่ายพรรคค่ายหนึ่งก็มิอาจผูกมัดปณิธานของนักศึกษาเหล่านี้ได้ พวกเขาอยากเป็นขุนนาง
หลังจากงุนงง จ้าวเซินก็พินิจมองลู่เซิ่งขึ้นๆ ลงๆ
“เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นนักศึกษาจากสถานศึกษา มีหลักฐานหรือไม่”
ลู่เซิ่งยิ้มพลางหยิบป้ายชื่อของสถานศึกษาออกมา ด้านบนมีแซ่ของตัวเองกับชื่อสัญลักษณ์ของสถานศึกษา
มีอักษรคำว่าบูรพาตัวใหญ่ ด้านล่างเป็นอักษรคำว่าลู่ที่ตัวเล็กยิ่ง ป้ายชื่อสร้างจากทองเหลือง มีน้ำหนักอยู่บ้าง ทั้งมีลวดลายวิจิตรปกคลุม ยากปลอมแปลง
พอเห็นป้ายชื่อจ้าวเซินก็เชื่อ ป้ายชื่อนี้คนธรรมดาไม่อาจทำขึ้น ต่อให้คิดปลอมแปลงก็ยากยิ่ง ช่างฝีมือทั้งหมดในเมืองต่างไม่รับงานลับ ช่างฝีมือในตระกูลอื่นๆ ถ้าสร้างสิ่งนี้เป็นการส่วนตัวถือเป็นโทษหนัก ตัดสินบั่นศีรษะก็มีความเป็นไปได้
“เหตุใดเหตุใดเจ้าจึงคิดเข้าร่วมกับพวกเรา” จ้าวเซินถามอีก ปกติแล้วคนที่คิดเข้าร่วมพรรคส่วนใหญ่เป็นคนทุกข์ยากในระดับชั้นต่ำของสังคม บ้างเป็นพ่อค้า บ้างเป็นช่างฝีมือมีทักษะ อย่างคุณชายนักศึกษาจากสถานศึกษาที่พอมองก็รู้ว่ามีพื้นฐานครอบครัวตรงหน้าผู้นี้ ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมค่ายพรรคจริงๆ
“ได้ยินว่าพรรควาฬแดงเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ มียอดฝีมือในพรรคคับคั่ง วิชาเหี้ยมหาญ ข้าคิดจะฝึกฝนวิชาที่ดีที่สุด ดังนั้นจึงหวังเข้าร่วม” ลู่เซิ่งบอกเป้าหมายของตัวเองตรงๆ คร้านจะทำลับล่อ จริงจังเล็กน้อย
“วิทยายุทธนี่เอง…” ครั้งนี้จ้าวเซินกระจ่างแล้ว วิทยายุทธของพรรควาฬแดงแข็งแกร่งที่สุดในแดนเหนือจริงๆ ชุมนุมใดพรรคใดต่างไม่อาจเปรียบเทียบได้
“เอาล่ะ เชิญไปลงทะเบียนชื่อ อายุ ความถนัด” เขาชี้ไปที่ประตูเล็กบานหนึ่งทางด้านขวาให้ลู่เซิ่ง
“ขอเตือนก่อนสักประโยค ศิษย์ในพรรคเราคิดฝึกวรยุทธ์ ต่างฝึกได้จากศาลาประกาศยุทธ จะเข้าศาลาประกาศยุทธได้จำเป็นต้องประเมินระดับความสามารถของเจ้ากับระดับความร่วมมือที่ทำในพรรค”
………………………………………….