‘เรือสำราญหอแดง…’
ชื่อหนึ่งแวบขึ้นมาในใจลู่เซิ่งเหมือนสายฟ้า
เขาหยุดม้า หยุดนิ่งเล็กน้อย สีหน้าหน้าถมึงทึงอยู่บ้าง เห็นว่ามีคนในขบวนรถเห็นตัวเอง เขาจึงค่อยๆ ขี่ม้าขึ้นหน้าไป
เข้าใกล้แล้ว ลู่เฉวียนอันรีบพาคนเข้ามาต้อนรับ
“เซิ่งเอ๋อร์! เหตุใดเจ้ามาแล้ว เส้นผมเจ้าล่ะ” เขาเห็นรูปร่างของลู่เซิ่งในตอนนี้ก็งงงัน
ลู่เซิ่งพลิกตัวลงจากหลังม้า
“เรื่องมันยาว อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องเส้นผมเลย ท่านพ่อ มารดารอง ลุงจ้าว ข้ามาจากเมืองเลียบคีรี พวกท่านเหตุใดจึงหยุดอยู่ตรงนี้ ยังมี ผู้ใดแขวนโคมไฟแดงใบนั้น”
เขาชี้ไปที่โคมไฟแดงที่แขวนอยู่บนรถม้าคันนั้นเหมือนไม่นำพา
“ไม่ทราบ พวกเรากำลังตรวจสอบอยู่ ก่อนหน้านี้ยังเป็นโคมไฟกระดาษหนังสีเหลืองตามปกติ ไปๆ มาๆ อยู่ๆ มีคนพบว่า โคมไฟโดนเปลี่ยน” ลู่เฉวียนอันกล่าวอย่างจริงจัง ใบหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง “พอดีเซิ่งเอ๋อร์เจ้ามา เจ้าช่วยดูหน่อย”
ลู่เซิ่งมองคนรอบๆ คนในบ้านล้วนอยู่ที่นี่ มารดารอง มารดาสาม ลุงจ้าว ยังมีมารดาสี่ มารดาห้า ท่านน้าที่รีบลงรถไม่ไกล ล้วนอยู่ นอกจากคนในครอบครัว ยังมีญาติฝ่ายนอกไม่น้อย มีครอบครัวของมารดาเขา และมีครอบครัวอื่นๆ แค่คนของตระกูลลู่ก็ปาไปยี่สิบกว่าคนแล้ว
“คุณชายเซิ่ง เจ้ามาพอดี ก่อนหน้านี้เฉินซินหายไป เจ้าจะต้องช่วยข้า ช่วยข้าหาเขานะ!” มารดาสามคือหวังเหยียนอวี่มารดาของลู่เฉินซิน ตอนนี้หน้าซีด ตาบวมแดง แสดงว่าร้องไห้มา
“มารดาสามวางใจ ข้าจะทำเต็มที่” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ถึงแม้คนในครอบครัวจะเห็นว่าลักษณะของเขาในตอนนี้แปลกประหลาดยิ่ง กระนั้นตอนนี้ถึงจะหวาดผวา จุดสำคัญที่ทุกคนสนใจไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ว่าเมื่อลู่เซิ่งมา ขบวนรถก็ปลอดภัยขึ้นมาก
ก่อนหน้านี้ที่เมืองเก้าประสานก็มีความยากลำบากที่คุณชายเซิ่งแก้ไข ตอนนี้เขาต้องมีวิธีเช่นกัน ทุกคนต่างใช้สายตาคาดหวังและโล่งใจมองไปที่ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งเดินเข้าขบวนรถ ยืนอยู่ด้านหน้ารถม้าที่ถูกเก็บกวาดจนว่างเปล่าสองคันนั้น ด้านข้างมีทหารหลายคนยืนอยู่ ชายอ้วนผิวคล้ำ หน้าเหยเกคนหนึ่งกำลังกำดาบที่เอวจ้องรถม้าเขม็ง
“ที่แท้เป็นคุณชายเซิ่งมา ครั้งนี้เห็นดีแน่ ท่านมาดู ร่องรอยของโคมไฟก่อนหน้ายังอยู่ ตัวหนังสือด้านบนเหมือนกับก่อนหน้าไม่มีผิด” คนอ้วนคือพี่ซง พี่น้องหายไปสามคน เดิมทำให้เขาร้อนใจ ตอนนี้อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องแบบนี้อีก
ลู่เซิ่งพยักหน้า พิจารณาโคมไฟแดงที่แขวนบนรถม้า
“ก่อนหน้านี้ผู้ใดนั่งรถคันนี้” เขาถามเบาๆ
“นายน้อยสามลู่เฉินซินกับนายน้อยสี่ลู่เทียนหยาง ยังมีครอบครัวจางซิ่วซิ่ว” พี่ซงรีบตอบเสียงเบา
“เฉินซินหายไปตอนไหน” ลู่เซิ่งมองโคมไฟนี้ เหมือนกับลักษณะที่เคยเห็นบนเรือสำราญ
“หายไปในหมู่บ้านร้างเมื่อก่อนหน้า” พี่ซงรีบตอบ
“หมู่บ้านร้าง…” ลู่เซิ่งหมุนตัวมองรอบๆ สายตาค่อยๆ เย็นชา “มุ่งไปเมืองเลียบคีรีต่อ ไม่ต้องหยุด ข้ากลับอยากดูว่า เป็นผีตัวใดมาหาเรื่องตระกูลลู่ของข้า” เขากล่าวกับบิดาหลายคำ
ลู่เฉวียนอันพยักหน้าให้
“ไป! ขึ้นรถให้หมด ปลดโคมไฟแดงใบนั้นลงมา เดินทางต่อ!”
“รอเดี๋ยว! ไม่เอารถคันนี้แล้ว ทิ้งไว้ที่นี่” ลู่เซิ่งขวางครอบครัวจางซิ่วซิ่วกับลู่เทียนหยางที่กำลังจะขึ้นรถ
ทุกคนสีหน้าซีดอยู่บ้าง ล้วนทราบว่าโคมไฟแดงนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความยากลำบากบางอย่าง
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่เป็นอะไรกระมัง…” ลู่เทียนหยางเขยิบเข้าใกล้ลู่เซิ่ง เอ่ยถาม
“เชื่อฟังก็จะไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งถลึงตาใส่เขา
ที่แล้วมาเขาไม่เคยประทับใจในตัวคนสำมะเลเทเมาสามคนในบ้าน แค่ตอบก็ถือว่าไว้หน้ามากแล้ว
ลู่เทียนหยางขึ้นรถอย่างคับข้องใจ
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัว แต่ทุกคนเพ่งสมาธิในระดับสูง สังเกตผิวถนนรอบๆ อย่างละเอียด
ล้อรถหมุนอย่างช้าๆ ส่งเสียงเดี๋ยวทุ้มเดี๋ยวทึบบนพื้นที่ขรุขระ
ลู่เซิ่งพินิจรอบๆ ให้ความสนใจการเคลื่อนไหว
เดินทางเรื่อยๆ เขาพลันรู้สึกไม่ถูกต้อง
“หยุด!” เขายกมือ
ลู่เฉวียนอันรีบบอกให้ทุกคนหยุด
เขาค่อยๆ หันกลับ รถม้าโคมไฟแดงที่ถูกทิ้งคันนั้นถึงกับยังตามติดด้านหลังขบวนรถ โคมไฟสีแดงโดดเด่นสะดุดตา ม้าไม่ส่งเสียงร้อง เหมือนกับตำแหน่งสารถีมีคนกำลังนั่งอยู่
ไม่ทันไรคนที่เหลือก็พบปรากฏการณ์ลี้ลับนี้แล้ว พลันมีคนกรีดร้อง แต่ก็อุดปากอย่างรวดเร็ว ถูกตำหนิไปหลายคำ
บรรยายกาศอันน่าสะพรึงค่อยๆ ครอบคลุมขบวน
“กลัวอันใด!” ลู่เซิ่งแค่นเสียง “มัดรถคันนี้กับต้นไม้ พวกเราไปต่อ ม้าตัวนี้คงคุ้นเคย เลยติดตามเราไม่ไปไหน”
“ใช่ มีเรื่องนี้จริงๆ เมื่อก่อนตอนข้าท่องยุทธภพก็เคยเจอเรื่องแบบนี้” ลุงจ้าวรีบอธิบาย
ทหารหลายคนหวาดผวาอยู่บ้าง แต่เมื่อพี่ซงต่อว่า ยังคงไปมัดรถม้าโคมไฟแดงติดกับต้นไม้แห้งต้นหนึ่งข้างทาง
ขบวนรถมุ่งหน้าต่อ
ผ่านไปราวชั่วเวลาถ้วยน้ำชา ครั้งนี้ทุกคนหันหลังเรื่อยๆ กลัวว่ารถม้าคันนั้นจะติดตามอยู่ด้านหลัง
เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้ทุกคนตกใจกลัว
เดินทางอีกสักพัก ประมาณครึ่งชั่วยาม ทุกคนค่อยๆ ผ่อนความระวัง
“รีบดูด้านหน้า!” พลันมีเสียงทหารตะโกน
ทุกคนต่างมองไปด้านหน้า
รถม้าคันที่พวกเขามัดไว้จอดอยู่ฝั่งซ้ายของทางหลวงด้านหน้า
โคมไฟแดงบนรถม้ายังคงส่องสว่างอย่างสงบ
ขบวนรถหยุดลงโดยไม่รู้ตัว เสียงหายใจของทุกคนพลันชะงัก เพียงมองรถม้าโคมไฟแดงตรงหน้าอย่างตกตะลึง
ลู่เฉวียนอันหยิบผ้าขนหนูขึ้นเช็ดเหงื่ออย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ตนจะกลัวมากเช่นกัน แต่ยังคงพยายามสงบนิ่ง ปลอบคนรอบๆ ที่หวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งจ้องรถม้าคันนั้นอย่างเย็นชา
เช้ง เขาชักดาบออกมา ค่อยๆ เดินไปหารถม้าโคมไฟแดง
“พวกท่านไปก่อน เดี๋ยวข้าตามไป!”
“เซิ่งเอ๋อร์!” ลู่เฉวียนอันร้อง “ระวังด้วย!”
“อือ” ลู่เซิ่งไม่หันกลับ โบกมือบอกให้พวกเขารีบไป เขารั้งอยู่คนเดียว จ้องมองรถม้าคันนั้น
รถม้าส่งเสียงดังครึ่กๆ ขบวนรถค่อยๆ ออกห่างไป เหลือเพียงลู่เซิ่งที่ไม่ขยับเขยื้อนบนทางหลวง
เขาเลียรีมฝีปาก ยกดาบเดินเข้าหาตัวรถอย่างเชื่องช้า
“พวกเจ้าไม่ใช่กำลังหาข้าหรือ ข้ามาแล้ว อยู่นี่ไง” เขาหัวเราะเหอะๆ “อยากแก้แค้นให้ผีหญิงบนเรือสำราญในตอนนั้นหรือ
“จุ๊ๆๆ น่าเสียดาย… พวกเจ้าไม่เห็นตอนข้าถลกหนังนางทั้งเป็นทีละดาบๆ จากนั้นก็ควักลูกตานาง ตัดจมูกกับหูนางทิ้ง”
ลู่เซิ่งหัวเราะ
“นังนั้นถึงกับด่าข้าว่ากล้าทำแบบนั้นกับนาง ข้าจึงใช้ดาบแยกตั้งแต่หัวถึงเท้านางเป็นสองส่วน นางนึกว่าตนเองไม่ตาย ถูกข้าใช้ปราณภายในเผา ครู่เดียวก็ไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะยังไม่ขาด
รถเปิดออกดังโครม เหมือนมีคนเปิดประตูรถอย่างแรงจากด้านใน
“เป็นไร โกรธแล้วหรือ ภายหลัง ข้ายังตัดศีรษะนางมา เดิมเตรียมนำกลับไปทำชาตอนกลางคืน คิดไม่ถึงนางทนดาบสุดท้ายของข้าไม่ได้ ระเบิดเละไปเลย” ลู่เซ่งเอ่ยอย่างชั่วร้าย
ในตัวรถที่เปิดออก สตรีอายุน้อยสวมอาภรณ์แดงนางหนึ่งนั่งนิ่ง ใบหน้านางขาวราวกระดาษ ถือโคมไฟแดงขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
แกร่ก… แกร่ก…
คอของสตรีนางนั้นค่อยๆ หมุน สงเสียงเสียดสีน่าประหลาด
นางบิดคอ ดวงตาอันน่าสะพรึงจ้องมองลู่เซิ่งที่กำลังหัวเราะ
“เจ้ารู้จักสตรีนางนั้นกระมัง” ลู่เซิ่งกำด้ามดาบด้วยสองมือ งอตัว ดวงตาเย็นชา “ดังนั้นเจ้าจะมาแก้แค้นให้นางหรือ”
ฟึ่บ!
สตรีอาภรณ์แดงพริบตาเดียวก็หายไปจากในตัวรถ โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ด้านหลังลู่เซิ่งแล้ว
โคมไฟในมือนางโยกเยก ฟาดใส่ต้นคอลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งพลิกมือฟันใส่
ฟุ่บ!
ประกายดาบเย็นเยียบถึงกับเกิดกระแสอากาศร้อนลวก วิชาลมปราณแดงฉานโคจรสุดกำลัง ไหลสู่คมดาบด้วยความเร็วสูง ฟันใส่ร่างสตรีอาภรณ์แดง
แต่ว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ดาบของเขาพลาดเป้า
คมดาบทะลุผ่านร่างนางไปอย่างไร้อุปสรรคแม้แต่น้อย เหมือนกับอีกฝ่ายเป็นเงามายา
‘เกิดอะไรขึ้น!?’ ลู่เซิ่งไม่ทันคิด เห็นโคมไฟแดงกระแทกใส่ทรวงอกตนอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
เขาราวกับถูกฟ้าผ่าใส่ คล้ายถูกวัตถุหนักหลายร้อยชั่ง ชนด้วยความเร็วสูง คนกระเด็นออกไปด้านหลัง
สองขาไถลกับพื้นดังครืดเป็นระยะสิบกว่าก้าว เกือบชนใส่รถม้า
ลู่เซิ่งหน้าแดง มืดหนึ่งคว้าขอบรถ ปราณภายในทะลักสู่คมดาบ ฟันไปด้านหน้าอย่างดุดันอีกรอบ
ฟุ่บ!
คมดาบวาดผ่านสตรีที่ถือโคมไฟแดงที่เพิ่งโผล่มาอีกรอบ โคมไฟแดงกระแทกใส่ไหล่ซ้ายลู่เซิ่งอย่างแรง
เขาทุลักทุเล เดินเซสองสามก้าว ยังไม่ทันตั้งหลัก เห็นสตรีนางนั้นโผล่ขึ้นมาข้างหน้าตนอย่างฉับพลัน
เคร้ง!
โคมไฟแดงกระแทกใส่ดาบเขา เขาฝืนต้านไว้ได้ แต่แรงมหาศาลส่งเขาเซล้มไปกับพื้น
‘เคลื่อนย้ายในพริบตาหรือ ไม่! ไม่ใช่ นางเร็วเกินไปต่างหาก ทำให้เรารู้สึกเหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา!’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าที่ที่ถูกกระแทกโดนสองครั้งปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา ขณะเดียวกันก็คัน แสดงว่าต้องพิษแล้ว
วิชาหยินหยางกระเรียนหยกทะลักไปยังจุดที่บาดเจ็บด้วยความเร็วสูง ต้านทานการติดเชื้อและพิษที่อาจปรากฏ
เขารีบพลิกตัวขึ้นกวาดตามอง กลับไม่เห็นเงาร่างสตรีนางนั้น ด้านหลังก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายแม้แต่น้อย
‘นางเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง แต่ยังมีเสียงลมเล็กน้อย’ ลู่เซิ่งตั้งใจฟัง ถึงจะถูกกระแทกโดนสองครั้ง แต่เป็นเพราะมีวิชาแข็งกร้าว ปราณภายในเมื่อโคจร ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เขาพิจารณารอบๆ รถม้าที่อยู่ข้างเขา ด้านในว่างเปล่า มีแค่โคมไฟแดงสองใบสั่นไหวอยู่
‘นางเล่า’
ลู่เซิ่งหยีตา
ฟึ่บ!
ทันใดนั้นแถบผ้าสีแดงสองผืนลอยออกมาจากในตัวรถ รัดคอเขาไว้แน่น แรงอันมหาศาลคิดรัดคอเขาให้หัก
ลู่เซิ่งหน้าแดง มือคว้าแถบผ้า ปราณภายในพรั่งพรู ความร้อนที่วิชาลมปราณแดงฉานให้กำเนิดลวกแถบผ้าให้หดตัวแล้วขาดไป
แคว่ก เขาฉีกแถบผ้า ตีลังกาไปด้านหน้าออกห่างจากตัวรถ
เพิ่งลุกขึ้น โคมไฟแดงใบหนึ่งก็พุ่งมาอีก
เปรี้ยง!
เลือดทะลักขึ้นลำคอลู่เซิ่ง ไหลซึมออกมาจากมุมปาก เขาถอยหลังไปหลายก้าว ไอร้อนแผ่รอบตัว คมดาบกับสองมือต่างเป็นปราณภายในที่ร้อนลวก
กวาดตามองดู ยังไม่เจอคน
“เป็นอะไร ไม่มีกระบวนท่าแล้วหรือ” เขาหัวเราะ ชี้ที่ศีรษะตัวเอง “ฟาดตรงนี้สิ”
……………………………………….