ลู่เซิ่งแช่อยู่ในถังน้ำสักพัก จนกระทั่งน้ำโอสถกลายเป็นน้ำใสสีเทาจาง จึงค่อยๆ ลุกขึ้น
ครั้งนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเบาลงไม่น้อย
มองกรอบบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน มีผลพิเศษเขียนอยู่ในกรอบวิชาโซ่เก้าสินธุ
[วิชาโซ่เก้าสินธุ: ระดับหนึ่ง ผลพิเศษ: เพิ่มพละกำลัง]
ความรู้สึกของวิชาแข็งกร้าวนี้เหมือนกับการคลุมหนังหนาชั้นหนึ่งไว้บนผิว
ลู่เซิ่งไม่คาดหวังว่าวิชาแข็งกร้าวระดับนี้จะมีผลเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ เขาเก็บกวาด เช็ดเหงื่อ ออกไปอาบน้ำเย็น แล้วกลับห้องนอนหลับไป
วันที่สอง เขาไปเรือวาฬแดงแต่เช้าตรู่ หลังจากประชุม ก็รวบรวมข้อมูลสถานการณ์ทุกด้าน ขณะเดียวกันก็ทราบว่า ศึกด้านนอกเมืองถึงขั้นดุเดือดแล้ว
เจินสวินแห่งตระกูลเจินนำคนแยกกันเข่นฆ่าฐานที่มั่นยี่สิบแห่ง ขณะเดียวกันยังกำจัดคนหลายสิบคนจากขุมกำลังที่ผุดขึ้นใหม่
ความโหดเหี้ยมอำมหิต แม้แต่คนของพรรควาฬแดงที่มุ่งหน้าไปเก็บกวาด พอเห็นยังรู้สึกสะอิดสะเอียน
จัตุรัสแดงไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ สกัดคนของตระกูลเจินสองคนบนที่ราบน้ำแข็ง แล้วฆ่าสองคนนี้ก่อนที่เจินสวินจะให้การสนับสนุนสำเร็จ
ครั้งนี้ตระกูลเจินเดือดดาล ส่งคนไปสนับสนุนเจินสวิน จัตุรัสแดงใช้กองกำลังมากกว่าเดิม ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันดุเดือด
ขุมกำลังในสังกัดตระกูลเจินเช่นพรรควาฬแดงมีไม่น้อยที่โดนลูกหลง บางครั้งยังเก็บกวาดไม่ทันเสร็จ ก็ถูกขุมกำลังสังกัดจัตุรัสแดงเข่นฆ่ามา หลังการศึกมักมีแพ้มีชนะ
ขุมกำลังสังกัดจัตุรัสแดงเป็นขุมกำลังเร้นลับอีกกลุ่มแห่งแดนเหนือ มีชื่อว่าหอแดง เดิมเป็นองค์กรมือสังหารที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในแดนเหนือ ครั้งนี้เปิดเผยว่าเป็นขุมกำลังบริวารของจัตุรัสแดง ทำให้ทุกคนตกตะลึง
เครือข่ายข้อมูลที่หอแดงครอบครอง ต่อให้เป็นพรรควาฬแดงก็ไม่อาจดูแคลน
มือสังหารในหมู่พวกเขาหากลงมือ มักเหี้ยมหาญไม่กลัวตาย เหมือนกับคนคลุ้มคลั่ง สร้างปัญหาไม่น้อยให้แก่พรรควาฬแดง
หลายวันมานี้ ในพรรคมีผู้จัดการภารกิจภายในหลายคนได้รับบาดเจ็บติดต่อกัน ผู้อาวุโสสู้ตายไปสามคน
ลู่เซิ่งไม่ได้ออกปฏิบัติการณ์ชั่วคราวเพราะอ้างว่ารักษาอาการบาดเจ็บ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกถึงบรรยากาศตึงเครียดมากกว่าเดิมในพรรค ตอนประชุม คนไม่น้อยในระดับสูงต่างมีอาการบาดเจ็บ พันแผลไว้
การประชุมจบลง ลู่เซิ่งถามถึงตำแหน่งแผนกอาวุธจากประมุขพรรคเฒ่า แล้วเดินทางไปทันที
แผนกอาวุธของพรรควาฬแดงไม่ได้อยู่บนเรือ หากอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งบนฝั่งข้างเรือวาฬแดง
เขาต้องการอาวุธชั้นดีสักชิ้นมานานแล้ว น่าเสียดายไม่เคยมีโอกาส อาวุธระดับนี้มักหายากถึงขีดสุด
ในหุบเขาร้อยศัสตรา
“อาวุธชั้นดีต้องใช้วัสดุชั้นดี ถ้าหาไม่เจอ หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกไม่สู้ลองใช้อาวุธหนักดู” ผู้รับผิดชอบแผนกอาวุธผู้อาวุโสต้วนลูบเคราพลางแนะนำ
“อาวุธหนักหรือ” ลู่เซิ่งมองโครงกระบี่สีแดงที่ชายฉกรรจ์อยู่ข้างตัวกำลังคีบอยู่ ใช้น้ำแร่ในหุบเขาที่เย็นจัดทำให้แข็งตัว ไอจากน้ำสีขาวหลายสายระเหยออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ไม่ผิด” ผู้อาวุโสต้วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่เรี่ยวแรงเยอะ สร้างอาวุธหนักหลายสิบชั่ง ทำให้แข็งแกร่งสักหน่อย สู้กับอาวุธคมศัสตราเทพก็ไม่เสียเปรียบชั่วขณะ ถึงแม้จะสู้ความแหลมคมของพวกมันไม่ได้ แต่เมื่อหนักมากพอก็เป็นพลังข่มขวัญชนิดหนึ่ง”
ลู่เซิ่งรู้สึกมีเหตุผล พยักหน้าน้อยๆ
“อย่างนั้นผู้อาวุโสต้วนเห็นว่าข้าเหมาะกับอาวุธหนักชนิดใด วิชากำลังภายในของข้าเป็นวิชาลมปราณแดงฉานที่ประมุขพรรคถ่ายทอดให้ ไม่ทราบจะใช้ค้อนจะเสริมความแข็งแกร่งแก่อานุภาพและประสิทธิผลของวิชากำลังภายในได้หรือไม่”
“ขอถามท่านใช้วิชาค้อนเป็นหรือไม่” ผู้อาวุโสต้วนถามกลับ
“เอ่อ…ไม่เป็น…” ลู่เซิ่งส่ายหน้า แต่เขาหาคนไปเรียนในระยะเวลาอันสั้นได้ ขอแค่ถึงระดับเบื้องต้น ก็จะเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว อย่างไรเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็พิสดารมากพอ
“สำนึกที่ท่านบรรลุเป็นอาวุธอันใด” ผู้อาวุโสต้วนถามอีก ‘ที่รวมตัวกันตอนเป็นระดับผนึกจิตคือสำนึกอันใด’
“…เป็นดาบ” ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง “ดูเหมือนข้าได้แต่ใช้ดาบแล้ว” สำนึกนี้ไม่อาจศึกษาถึงแก่นแท้ได้เร็ว
“ไม่ใช่ท่านได้แต่ใช้ หากแต่ท่านเหมาะกับดาบ” ผู้อาวุโสต้วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีดาบใหญ่คู่หนึ่ง ถ้าท่านไม่ถือสาก็ลองดูได้ ดาบคู่นี้เป็นผู้จัดการภารกิจภายนอกพลังช้างสารคนหนึ่งสั่งให้ทำ น่าเสียดายเขาไม่ทันได้ไป ก็…” เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง
“ดาบคู่หรือ ลองเอามาดู” ลู่เซิ่งสนใจ ดาบที่เหมาะกับเขาทั้งยังเป็นดาบคู่สะกิดความสนใจแล้ว
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกตามข้ามา” ผู้อาวุโสต้วนพยักหน้า หมุนตัวนำทางลู่เซิ่งเดินทะลุระหว่างเตาหลอมหลายเตาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็มาถึงคลังเก็บอาวุธสีดำทะมึนด้านในสุด
ในคลังเก็บอาวุธที่ใช้หินสร้างจนเหมือนกับตำหนักใหญ่ มีชั้นจัดเรียงอาวุธแต่ละชนิดเป็นแถวๆ
ดาบ หอก กระบอง กระบี่ มีดสั้น ง้าว อาวุธแต่ละแถวละลานตา ลู่เซิ่งมองจนตาลาย
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกโปรดตามข้ามา” ผู้อาวุโสต้วนนำทางลู่เซิ่งผ่านชั้นอาวุธแต่ละแถว เดินถึงพื้นที่อาวุธหนักซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ในมุมหนึ่งของพื้นที่บริเวณนี้ ผู้อาวุโสต้วนชี้ไปที่ดาบขนาดใหญ่สองเล่มที่มีคนทาน้ำมันไว้ กล่าวกับลู่เซิ่งว่า “หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก นี่เป็นดาบที่ข้าบอกว่าเหมาะกับท่าน ดาบคู่จันทร์เดียวดาย”
ลู่เซิ่งเข้าไปดู
ดาบขนาดใหญ่สันหนายาวราวหนึ่งหมี่กว่าๆ สองเล่มวางอย่างมั่นคงบนชั้นอาวุธ ตัวดาบสีเงินเหมือนกับบานประตูสองบาน บนสันดาบยังร้อยห่วงโลหะสามห่วง
หนานั้นหนาอยู่ สันดาบหนาเท่าฝ่ามือ ตัวดาบกว้างเท่าเอวคน แต่ไฉนลู่เซิ่งจึงรู้สึกทะแม่งๆ
“เป็นอย่างไร” ผู้อาวุโสต้วนกล่าวอย่างภาคภูมิใจอยู่บ้าง “ดาบคู่จันทร์เดียวดายนี้ ข้าหลอมสร้างด้วยมือตัวเอง ผ่านการหลอมตีอย่างตั้งใจสามสิบหกวัน ใช้วิธีสิบสี่แบบหลอมสร้างลับคม วัสดุก็เป็นของดี คมและแข็งแกร่งกว่าดาบใหญ่ทั่วไปมาก
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว มองดาบคู่จันทร์เดียวดาย หมดคำพูดอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโสต้วน…นี่มันดาบเชือดสุกรสองเล่มชัดๆ…จันทร์เดียวดายตั้งชื่อได้ดี แต่ก็ปกปิดไม่ได้ว่ามันคือดาบเชือดสุกรดีๆ นี่เอง”
ผู้อาวุโสต้วนหัวเราะพร้อมส่ายหน้า
“ดาบเชือดสุกรหรือ ไม่ ไม่ใช่แน่นอน อย่าเห็นว่าดาบคู่นี้หนักถึงเจ็ดสิบหกชั่ง แต่เมื่อใช้จริงๆ ท่านถึงจะทราบข้อดี
ส่วนรูปร่างภายนอก ขอแค่ใช้ได้จริง ดาบเชือดสุกรมีความเกี่ยวข้องอันใด”
เขาพูดมีเหตุผลมาก แม้ประโยคสุดท้ายจะเผยความจริง แต่ลู่เซิ่งนับเป็นคนมีแนวคิดปฏิบัตินิยม กลับไม่ได้สนใจรูปลักษณ์มากนัก
“ข้าขอลองใช้ ได้หรือไม่”
“แน่นอน” ผู้อาวุโสต้วนผายมือเป็นความหมายว่าแล้วแต่เขา
ลู่เซิ่งพยักหน้า ขยับแขนกับบ่า สาวเท้าเข้าไปคว้าด้ามดาบจันทร์เดียวดายเล่มหนึ่ง
“ขึ้น!” เขาออกแรง ดาบเชือดสุกรถูกยกขึ้น
วิชากำลังภายในถนัดด้านพละกำลังที่สุด ลู่เซิ่งเริ่มแรกฝึกฝนดาบพยัคฆ์ดำ ภายหลังฝึกฝนดาบถลาลม ดาบปลายคู่ เหล่านี้ต่างเป็นกระบวนดาบวิชากำลังภายนอก
ตอนนี้ฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวที่โดดเด่นด้านพละกำลังถึงขีดสุดในหมู่วิชากำลังภายนอก หัตถ์หมีขยุ้มมีแค่ระดับเดียว ทั้งฝึกสำเร็จแล้ว ยังมีวิชาโซ่เก้าสินธุระดับหนึ่งด้วย
วิชากำลังภายนอกที่กระจัดกระจายนี้ได้เปลี่ยนนักศึกษาผอมแห้งที่สุภาพเรียบร้อย เป็นชายฉกรรจ์พลังช้างสารที่ร่างกายเหี้ยมหาญ เรี่ยวแรงมหาศาลอย่างทุกวันนี้
ลู่เซิ่งกระตุ้นพลัง เส้นเลือดพอง ขนาดร่างใหญ่ขึ้น
เขาเดิมทีตัวใหญ่เท่าผู้อาวุโสต้วนสองคน สูงกว่าบุรุษทั่วไปหนึ่งช่วง ตอนนี้เลือดลมขยายตัว กล้ามเนื้อทั้งร่างบรรจุพลังขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อสีขาวบิดเกร็ง
“ขึ้น!” ลู่เซิ่งคว้าดาบจันทร์เดียวดายเล่มที่สองขึ้นมา ถือดาบทั้งสองด้ามไว้ในมือ
เคร้ง!
เขาไขว้ดาบคู่ไว้ด้านหน้า เห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนอยู่ในใบดาบที่ใสเหมือนคันฉ่อง
“เหมาะมือยิ่ง! คาดไม่ถึงเลย” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างค่อนข้างประหลาดใจ
“ดูเหมือนหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่มีวาสนากับดาบจันทร์เดียวดายจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะลดให้ท่านห้าส่วน หนึ่งร้อยตำลึงก็พอแล้ว!”
“หนึ่งร้อยตำลึง…” ลู่เซิ่งระอา ตาเฒ่าผู้นี้กล้าพูดมาได้ ดาบสองเล่มนี้นอกจากการออกแบบ วัสดุเป็นแค่เหล็กธรรมดา ทั้งหมดอาศัยความหนักเปล่งอานุภาพ ยังกล้าเสนอราคาหนึ่งร้อยตำลึง
“ยี่สิบตำลึง”
“ยี่สิบตำลึงหรือ?! ท่านไม่แย่งข้าไปเลยเล่า! ข้าใช้ความพยายามหลายปีจึงหลอมสร้างดาบนี้ได้…” “ดาบเชือดสุกร” ลู่เซิ่งพูดต่อจากเขา ผู้อาวุโสต้วนไม่ทันพูดจบเกือบสำลัก
ถึงแม้ดาบสองเล่มนี้จะดัดแปลงมาจากดาบเชือดสุกรจริงๆ ทั้งเป็นดาบหนักที่ใช้เศษเหล็กซึ่งไม่เป็นที่ต้องการจำนวนมากผสมกันสร้างขึ้น แต่อย่างน้อยเปลือกนอกทุกคนต้องเอาใจใส่เล็กน้อย ไม่ต้องพูดตรงขนาดนี้
“ยี่สิบตำลึงน้อยไปแล้ว ไม่เท่าทุนด้วยซ้ำ!” ผู้อาวุโสต้วนโบกมือกล่าว
“เช่นนั้นก็สิบตำลึง” ลู่เซิ่งโบกดาบ รู้สึกว่าแม้วัสดุจะแย่ แต่หลอมสร้างได้แข็งแรงจริงๆ น้ำหนักกับรูปร่างไม่เลวยิ่ง เผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีความเร็ว เพียงเอียงตัวเล็กน้อยก็ป้องกันจุดตายส่วนใหญ่บนร่างได้แล้ว
“สิบตำลึงหรือ!?” ผู้อาวุโสต้วนโมโหจนหน้าเหย “ก็ได้ๆๆ ยี่สิบตำลึง กลัวใจท่านจริงๆ! ข้าขอบอกท่าน ถ้าไปวางดาบคู่จันทร์เดียวดายนี้ไว้ที่อื่น ไม่มีสองร้อยตำลึงก็อย่าหวัง”
“นั่นต้องมีคนซื้อก่อน น้ำหนักแบบนี้ท่านยังหวังว่าจะมีคนหลายคนแย่งซื้ออีกหรือ” ลู่เซิ่งโบกดาบอย่างไม่สนใจ เหมือนกับพัดพายุขึ้นมาระลอกหนึ่ง พัดผู้อาวุโสต้วนจนเคราปลิว
“เจตนาดีไม่ได้รับการตอบแทนแท้ๆ หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ท่านนี่ช่าง…” ผู้อาวุโสต้วนหาคำมาบรรยายลู่เซิ่งไม่ได้แล้ว
“มีที่ลองอานุภาพหรือไม่” ลู่เซิ่งโบกดาบคู่ รู้สึกคล่องมือขึ้นเรื่อยๆ พออกพอใจยิ่ง
“ตามข้ามา” ผู้อาวุโสต้วนแค่นเสียง ยังคงไม่พอใจ
“นอกจากนั้น ดาบคู่เล่มนี้ชื่อจันทร์เดียวดายไม่เพราะ” ลู่เซิ่งนำฝักดาบสองอันมาด้วย มันฟอกจากหนังหมู ด้านนอกมัดเชือกป่านหลายเส้น มีลักษณะหยาบและถูก ยังคิดขายสองร้อยตำลึง ฝันไปเถอะตาเฒ่า
“ผายลม นี่เป็นชื่อที่ข้าตั้งเอง รูปร่างเหมือนจันทร์เสี้ยว คล้ายเคียว เดิมจะเรียกว่าเคียวเดี่ยว แต่ชื่อไม่เพราะ เลยเปลี่ยนเป็นจันทร์ เป็นไร ท่านมีความเห็นอันใด” ผู้อาวุโสต้วนเมื่อเอาเปรียบไม่ได้ น้ำเสียงจึงไม่เกรงใจแล้ว ทางหนึ่งเดิน ทางหนึ่งตอบกลับ
“ในเมื่อข้าเป็นคนใช้ ภายหลังข้าคิดเรียกแบบไหนก็เรียกแบบนั้น” ลู่เซิ่งไม่สนใจสิทธิ์ตั้งชื่ออันใด กล่าวตรงๆ
“เรียกดาบจ้าวปีศาจก็แล้วกัน”
“นี่มันชื่ออันใด” ผู้อาวุโสต้วนหมดคำพูด
ลู่เซิ่งยิ้มไม่ตอบกลับ ทั้งสองคนเดินไปด้านหน้า ไม่ทันไรก็ออกจากคลังอาวุธ เข้าสู่ตึกใหญ่หลังหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
ทั้งสี่ด้านของตึกเป็นกำแพงหิน ตรงกลางจัดวางหุ่นคนทำจากไม้ที่แข็งแรง ด้านบนมัดต้นหญ้ารวงข้าวไว้
“นี่เป็นไม้เคิง แข็งและทนทานมาก ท่านลองดู” ผู้อาวุโสต้วนชี้ไปที่หุ่นไม้พลางกล่าวว่า “ถ้าท่านฟันขาดได้ ข้าจะให้ท่านยี่สิบตำลึง!”
ลู่เซิ่งกำดาบเชือดสุกรทั้งสองเล่ม เดินไปถึงหน้าหุ่นคน แสยะยิ้มดุดัน
“จริงหรือ”
……………………………………….