ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เดินไปกลางฝุ่นขาวอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา หลังเข้าประตูไป เขาก็เห็นกระถางติ่ง[1]ใบใหญ่ที่วางอยู่ในห้องทันที
กระถางติ่งใบนี้เหลือแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเป็นโลหะสีดำถูกบางสิ่งหลอมละลายกลายของเหลวไหล ไปจับตัวแข็งบนพื้น
เขาเดินไปดูที่กระถางติ่ง ยื่นมือลูบผิวโลหะแผ่วเบา เนื้อผิวแข็ง เย็นเยียบ และหยาบ
“นี่เป็นเตาโอสถที่ตีขึ้นรูปด้วยอุณหภูมิที่สูงยิ่ง ไฟธรรมดาหลอมละลายจนเป็นแบบนี้ไม่ได้” สวีชุยเข้าใกล้ กล่าวเบาๆ
“ไม่ใช่ไฟ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
เขาเดินอ้อมเตาโอสถ เริ่มตรวจสอบสภาพของห้องทีละจุดๆ เสื้อผ้าหลายชิ้นบนพื้นเหมือนกับซากที่ภูตผีทิ้งไว้ สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยก็คือ ซากเหล่านี้ไม่มีปราณหยินเหลืออยู่แม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งตรวจสอบเสื้อผ้าเสร็จ สายตาก็อยู่ที่เตียงในห้อง ตรงนั้นมีศพที่ถูกเผาเกรียมดำสนิทศพหนึ่ง ขดอยู่บนเตียง แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือ เตียงที่มันนอนกลับไม่มีร่องรอยถูกเผาแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งยืนเพ่งสมาธิสำรวจด้านหน้าศพสักครู่ ก่อนจะยื่นมือไปอ้าปากที่ปิดสนิทของศพออก มันคล้ายอมสิ่งใดไว้ในปาก
“ถ้าข้าเป็นเจ้า จะไม่ขยับปากศพ” ทันใดนั้นเสียงสตรีเบาๆ ก็ดังขึ้นในห้อง
“ผู้ใด!” สวีชุยชักกระบี่ ระวังทิศทางที่เสียงดังมา
ลู่เซิ่งหมุนตัวมา หยีตามองสตรีวัยกลางคนสวมชุดรัดรูปสีน้ำเงินไพลิน ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามา จากนอกประตูห้อง
สตรีนางนี้ใบหน้าธรรมดา ไม่นับว่างาม แต่ก็ไม่ขี้เหร่ หางตามีตีนกาบางส่วน เหมือนกับสตรีทั่วไป
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งค่อนข้างสนใจคือ นางถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง
กระบี่สั้นที่คมกริบสุดเปรียบปาน คมกระบี่เมื่ออยู่ในมือ ทำให้คนรู้สึกเย็นเยียบ เหมือนด้ายเงินเส้นหนึ่ง ทำให้ผู้คนอดขนลุกไม่ได้
“เจ้าเป็นใคร” ลู่เซิ่งไม่ได้ถามคำถามโง่ๆ พวกพลพรรคด้านนอกเป็นเช่นไร ในเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาได้ เช่นนั้นหมายความว่าคนที่อยู่ด้านนอกตายหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่ความสามารถเร้นกายของพวกเขาแข็งแกร่งเกิน สองข้อนี้ไม่ว่าข้อไหนก็ไม่ใช่ข่าวดี
ซ้ำร้ายเขายังได้กลิ่นอายประหลาดลี้ลับเลือนรางบนตัวคนผู้นี้
สตรีวัยกลางคนพิจารณาลู่เซิ่งอย่างละเอียด
“ข้าคือจัวเหวินอวี่ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคือลู่เซิ่งหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ อันดับสามแห่งพรรควาฬแดงกระมัง”
“เจ้ารู้จักข้าหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“พรรควาฬแดงสังหารคนเบื้องล่างของพวกเราไปมากมายขนาดนี้ ยังไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด ไหนเลยไม่ใช่พวกเราหอแดงโง่งมเกินไป” สตรีนางนั้นยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาอยู่บ้าง
“เป็นคนของหอแดงจริงๆ” ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง “เราเมื่อเจอกัน ไม่สมควรลงมือตัดสินผลแพ้ชนะทันทีหรือ ยังมีเวลาว่างคุยเอ้อระเหยกับข้าอีก”
“ข้าไม่เหมือนกับพวกเขา” จัวเหวินอวี่ตอบอย่างไม่นำพา “พอได้ยินว่าทางนี้เกิดเรื่อง ข้าก็รุดมาโดยทันที น่าเสียดายมาสายไปก้าวหนึ่ง แต่คล้ายกับยังไม่สายเกินไป ถ้าช้ากว่านี้เกรงว่าแม้แต่ใบหน้าของพี่ลู่ก็คงไม่เห็น”
“เจ้าคิดทำอะไร” ลู่เซิ่งพิจารณาคนผู้นี้อย่างละเอียด เขาเพิ่งเจอคนของหอแดงเป็นครั้งแรก คล้ายไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่ได้คุ้มคลั่งไร้สติปัญญาอย่างที่คนอื่นๆ ว่ากัน
“ระหว่างพวกเราไม่มีความจำเป็นต้องตัดสินแพ้ชนะเป็นตาย ที่ข้ามาก็เพื่อศพ ศพนี้ ข้าต้องการของที่มันอมไว้ในปาก” จัวเหวินอวี่กล่าวเสียงทุ้ม “ส่วนพี่ลู่ท่านก็สมควรไม่คิดสู้กับข้าจนบริวารพลพรรคบาดเจ็บล้มตายไม่น้อยเช่นกันกระมัง ไม่ใช่ข้ากลัว หากแต่ไม่จำเป็น”
ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของนางในทันที
พรรควาฬแดงกับหอแดงต่างเป็นแค่ขุมกำลังในสังกัดของผู้สนับสนุนเบื้องหลัง พวกเขาไม่ได้สู้กันเป็นตายเพราะผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ปะทะกันเพราะขุมกำลังเบื้องหลัง
สถานการณ์เช่นนี้หากจะทุ่มเทชีวิตจริงๆ ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย ความหมายของจัวเหวินอวี่แสดงออกอย่างชัดเจน นั่นคือประนีประนอม ไม่ต้องต่อสู้นองเลือดจริงๆ อย่างไรไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะหรือแพ้ก็ไร้ความหมาย ขอแค่ผู้สนับสนุนเบื้องหลังชนะ จึงเป็นชัยชนะที่แท้จริง
ลู่เซิ่งหลังเข้าใจความหมาย ก็ไม่คิดเริ่มศึกอย่างไม่มีความหมายเช่นกัน เป้าหมายก็แค่ทำภารกิจให้สำเร็จ กับรวบรวมของที่มีปราณหยินเท่านั้น ขอแค่อีกฝ่ายไม่ลงมือ เขาก็คร้านจะเคลื่อนไหว
“ข้าก็ต้องการดูว่าสิ่งที่เจ้าต้องการเป็นอะไร มีประโยชน์กับข้าหรือไม่” เขาครุ่นคิดก่อนกล่าวเสริม
“ได้” จัวเหวินอวี่พยักหน้า ยื่นมือเป็นความหมายว่าแล้วแต่
ลู่เซิ่งพยักหน้า ชักดาบออกมา ใช้ปลายดาบเขี่ยปากศพเบาๆ
แคว่ก…
เสียงเบาๆ เหมือนผ้าฉีกดังขึ้นเมื่อปากศพถูกตัดเป็นช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง น้ำสีดำไหลออกมาจากด้านใน จากนั้นเป็นกลิ่นเหม็นรุนแรง
ลู่เซิ่งกับสวีชุยรีบกลั้นลมหายใจ เหม็นจนอดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้
น้ำดำนั้นไหลจบลงอย่างรวดเร็ว โลหะทรงกลมสีดำสนิทชิ้นหนึ่งโผล่ขึ้นในปาก
ลู่เซิ่งหันไปมองจัวเหวินอวี่
“ที่เจ้าต้องการคือสิ่งนี้หรือ” เขาถามเบาๆ
จัวเหวินอวี่มองลู่เซิ่งแวบหนึ่ง “เป็นสิ่งนี้ มอบมันให้ข้า พวกเราจะถอยไปทันที”
“ไม่ต้องแล้ว เจ้ามาเอาเองเถอะ พวกเราไป” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว กลิ่นเหม็นในห้องยากจะทนทานเกินไป หนำซ้ำยังสัมผัสไม่ได้ว่ามีปราณหยินอยู่ จึงขยิบตาให้สวีชุย เดินไปยังประตูอย่างรวดเร็ว
สองคนรีบเดินผ่านด้านข้างจัวเหวินอวี่ ทว่าสองฝ่ายไม่มีความคิดจะลงมือ นางยืนนิ่งอยู่กับที่ หมุนตัวมองตามพวกลู่เซิ่งที่ออกไป
นางยืนในห้อง คล้ายไม่สนใจกลิ่นเหม็นจากน้ำดำที่โชยมานั้นโดยสิ้นเชิง กลับแสดงสีหน้าเบิกบานส่วนหนึ่ง
ไม่ทันไรด้านนอกก็มีเสียงตวาดบอกคนให้ถอยของลู่เซิ่งดังมา
จัวเหวินอวี่ไม่กระดิกตัว เพียงแต่สายตายังจ้องไปที่ลานนอกประตู
“ก็แค่บุรุษใจร้อนเพียงคนเดียว เหตุใดไม่ฆ่าเขา” ทันใดนั้นเสียงสตรีแหลมสูงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาข้างๆ นาง
ทั้งๆ ที่ในห้องมีนางเพียงคนเดียว ริมฝีปากของจัวเหวินอวี่ก็ไม่ได้ขยับ แต่เสียงดังมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมความรู้สึกยั่วยวนเต็มเปี่ยม
“สะดุดตาเกินไป เกิดดึงดูดความสนใจของตระกูลเจินก็ลำบากแล้ว”
“ตอนนี้ตระกูลเจินไม่มีเวลาสนใจพวกเรา การต่อสู้ของจัตุรัสแดงกับพวกเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับหยิบเกาลัดในกองเพลิง หาผลประโยชน์ในความวุ่นวาย” เสียงนั้นทุ้มต่ำ
“ฆ่าหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกคนหนึ่งนั้นง่าย แต่ซ่อนศพนั้นยาก ข้าต้องการให้เขาส่งสัญญาณให้ข้า”
“สัญญาณอันใด”
“นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกเรา” จัวเหวินอวี่หัวเราะเย็นชา “ข้า…”
ตุบ…
ทันใดนั้นประตูห้องไม่ทราบมีคนคนหนึ่งโผล่มาตอนไหน
เสียงของจัวเหวินอวี่ชะงัก แหงนมองดู พลันงงงัน
“ท่านไฉนกลับมา… แล้ว” นางมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ตรงประตูอย่างสับสน
“อยู่ๆ ข้าก็เสียดาย” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม พลิกมือค่อยๆ ชักดาบเชือดสุกรใหญ่สองเล่มออกมา “ข้าต้องการของสิ่งนั้น ยังมี เอาของดีๆ บนตัวเจ้ามาให้หมด หาไม่แล้วอย่าโทษข้าไม่ให้โอกาสเจ้ามีชีวิต”
ร่างสูงใหญ่ของเขาบังปากประตู บวกกับดาบใหญ่อีกสองเล่ม ปิดประตูไว้อย่างแน่นหนา รังสีสังหารเข้มข้นกระจายไปทั่วห้อง
จัวเหวินอวี่หยีตาจ้องมองลู่เซิ่งเขม็ง ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มประหลาด
“คาดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนจงใจมาหาที่ตายถึงที่จริงๆ…” ตูม!
เสียงไม่ทันขาด จัวเหวินอวี่ม่านตาหดตัว ยังไม่ทันตอบสนอง ก็เห็นดาบที่ใหญ่ราวบานประตูเล่มหนึ่งตบใส่ข้างตัวนางอย่างรุนแรง
เกิดเสียงดังสนั่น ตัวนางกระเด็นออกไปเหมือนลูกปืนใหญ่ กระแทกใส่กำแพงหินด้านข้างอย่างแรง
เปรี้ยง!
เลือดกระจายบนกำแพงราวดอกไม้เบ่งบาน
ยามนี้เงาร่างลู่เซิ่งโผล่ขึ้นด้านหน้าจัวเหวินอวี่ เขาเร็วเกินไป หรือควรบอกว่าการระเบิดพลังในระยะเวลาสั้นๆ รุนแรงเกินไป
เป็นแค่การกระตุ้นวิชาลมปราณแดงฉานระดับห้า ประสานกับวิชาหยินหยางกระเรียนหยก พลังระเบิดในพริบตา บวกกับกายเนื้ออันแข็งแกร่งที่มีวิชาแข็งกร้าวในปัจจุบัน การรวมตัวของหลายสิ่งนี้ทำให้การลงมือของเขาในรัศมีหลายหมี่ไม่ต้องกลัวว่าร่างกายจะได้รับปัญหา การระเบิดสุดกำลังน่าสะพรึงกลัวสุดขีด
“เจ็บ…!” จัวเหวินอวี่คลานขึ้นจากใต้กำแพงอย่างลำบาก ร่างกายที่แหลกลาญเต็มไปด้วยรูเลือด แขนหักไปท่อน ขาก็บิดอย่างผิดปกติ ทั้งเสียเลือดปริมาณมาก แต่ไม่ทำให้นางสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว
ดวงตานางเขียวเล็กน้อย ยืนขึ้นอย่างสั่นระริก มองลู่เซิ่งในห้องเขม็ง
“เป็นไปได้อย่างไร…”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งมองนางอย่างสนอกสนใจ “ขนาดนี้ยังไม่ตายอีกหรือ”
“พลังของท่าน… ถึงกับ…” จัวเหวินอวี่ยังกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง นางประมาทเกินไป ทำให้ถูกเล่นงานในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที
ลู่เซิ่งค่อยๆ เดินเข้าไป ยื่นมือไปคว้านาง
ฟุ่บ!
จัวเหวินอวี่กลับไถลร่างจากร่องแยกใต้มือของเขาออกไปอย่างลื่นไหลราวกับงู
เงาร่างนางโผล่ขึ้นอีกด้านของห้อง สีเขียวอ่อนกระจายเต็มผิวอย่างรวดเร็ว เล็บเริ่มค่อยๆ งอกยาวและแหลมคม สองแขนห้อยต่ำ บนหลังมือปรากฏเกล็ดอันแข็งแกร่ง แน่นหนาจำนวนมากอย่างช้าๆ รูม่านตาค่อยๆ กลายเป็นแนวตั้งอันดำสนิท
“เมื่อครู่ข้าประมาทเกินไป ตอนนี้จะให้ท่านได้เห็นว่าอะไรคือร่างสิงปีศาจวิญญาณของจริง” ตูม!
ยังไม่ทันพูดจบ นางถูกกระแทกอีกครั้ง เหมือนถูกช้างตกมันชนใส่ กระเด็นออกไปอีกรอบโดยไร้พลังต้านทานแม้แต่น้อย
ครั้งนี้เป็นดาบสองเล่ม
ลู่เซิ่งกระทืบเท้า พื้นห้องสั่นสะเทือน โผล่ขึ้นด้านหน้าห่างจากจัวเหวินอวี่หลายหมี่ ดาบใหญ่เท่าบานประตูฟันออกอย่างฉับพลัน สองดาบติดต่อกัน
เปรี้ยงๆ!
ตา หู จมูก ปากของจัวเหวินอี้ถูกตบจนของเหลวสีเขียวจำนวนมากไหลออกมา ส่วนศีรษะของนางแบนลง ร่างกายพุ่งลิ่วไปกลางอากาศ กระแทกเข้ากับเตาโอสถที่หลอมละลายภายในห้อง
ตูม!
เลือดกระจายออกเหมือนหยดน้ำฝน เปรอะเต็มพื้น ครั้งนี้นางกลิ้งไปหลายตลบบนพื้น เบิกสองตาที่ตื่นตระหนกแทบตาย ไม่ขยับเขยื้อน
“เจ้าทนทานยิ่ง” เขาเดินไปบีบคอนาง ยกนางขึ้นมาส่าย “เพราะไม่อยากฟันของบนตัวเจ้าหัก ข้าจึงตบเอา คิดไม่ถึงตบไปสามทีเจ้าก็ไม่ไหวแล้ว”
“ท่าน…เป็นใครกันแน่!?” จัวเหวินอวี่กัดฟันกล่าว นางไม่เชื่อว่าคนทั่วไปจะมีความสามารถเล่นงานนางจนออกจากสภาพร่างสิงปีศาจวิญญาณได้
“ข้าเป็นคนธรรมดา เจ้าลองว่ามาว่าเจ้าเป็นใคร ร่างสิงปีศาจวิญญาณอะไรนี่เป็นของเล่นใด” ลู่เซิ่งเห็นสภาพประหลาดของจัวเหวินอวี่ ก็รู้สึกสนใจยิ่ง
“ท่านไม่รู้จักพวกเราหรือ” จัวเหวินอวี่นิ่งอึ้ง ใบหน้าเปื้อนเลือดกล่าวอย่างเหลือเชื่อ
……………………………………….
[1] กระถางติ่ง คือ กระถางทำจากทองสัมฤทธิ์ มีสามขา