“ท่านพ่อ ควรส่งเวยเอ๋อร์ออกเรือนแล้ว หากคลาดฤกษ์จะไม่ดี” ฮูหยินสวี่ยิ้มพลางก้าวขึ้นมา นายท่านผู้เฒ่าโหวจึงพยักหน้าน้อยๆ
เพิ่งจะก้าวออกจากธรณีประตู ไม่รอพี่รองเสิ่นซงย่อตัวลง สวีโย่วก็อุ้มเสิ่นเวยขึ้นมาแล้ว ก้าวยาวเดินออกไปข้างนอกท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน
ปกติสตรีออกเรือนจะมีพี่น้องแบกขึ้นเกี้ยว ไม่มีพี่น้องแท้ๆ หรือว่าพี่น้องแท้ๆ เด็กเกินไปเช่นนั้นก็จะหาลูกพี่ลูกน้อง เสิ่นเจวี๋ยยังไม่บรรลุนิติภาวะ ดังนั้นจึงต้องให้เสิ่นซงบ้านรองแบกนางขึ้นเกี้ยว
แต่ท่านเขยสี่หมายความว่าอย่างไร ไม่เคยได้ยินว่ามีเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวด้วยตัวเอง แต่ว่าเนื่องจากสวีโย่วมีอำนาจตำแหน่ง ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไร อีกทั้งสวีโย่วยังเดินเร็วอย่างยิ่ง กว่าทุกคนจะได้สติกลับมาเขาก็ออกจากเรือนไปแล้ว
เสิ่นเวยเองก็ไม่คิดว่าสวีโย่วจะมาไม้นี้ ตกใจจนมือทั่งคู่กอดคอของเขาไว้แน่น ถลึงตามองเขาปราดหนึ่งผ่านผ้าคลุมหน้า ทว่าสวีโย่วกลับยกมุมปากอย่างพอใจ ภรรยาของเขาย่อมต้องให้เขาอุ้มขึ้นเกี้ยวเอง จะให้ชายอื่นมาแบกได้อย่างไร ต่อให้จะเป็นพี่น้องก็ไม่ได้
สี่เหนียงกับหลีฮวาสับขาวิ่งจึงจะตามเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปหน้าประตูจวนโหวทัน เจียงไป๋เปิดม่านเกี้ยว สวีโย่ววางเสิ่นเวยเข้าไปอย่างระมัดระวัง หันหน้ากลับมามองสี่เหนียงที่ตะลึงงันปราดหนึ่ง สี่เหนียงผู้นั้นรู้สึกเพียงหัวใจเย็นเยียบ รีบวิ่งมาข้างเกี้ยวโบกผ้าเช็ดหน้าตะโกนดัง “ขึ้นเกี้ยว ขึ้นเกี้ยว เจ้าสาวออกเรือนแล้ว!”
สวีโย่วกระตุกมุมปากอย่างพอใจ พลิกตัวขึ้นม้านำทางอยู่ข้างหน้า
เสิ่นเวยนั่งเกี้ยวน้อยอย่างถึงที่สุด ออกจากบ้านไม่ขี่ม้าก็นั่งรถม้า ฟังว่านั่งเกี้ยวจะทำให้เวียนหัว แต่เสิ่นเวยไม่รู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียว เกี้ยวหามอย่างมั่นคง ไม่โคลงเคลงเลยแม้แต่น้อย
นางกลับไม่รู้ว่าคนหามเกี้ยวเป็นคนที่สวีโย่วตั้งใจเลือกมาจากกองทัพคุ้มมังกร ไม่เพียงแต่มีกำลังวังชา ส่วนสูงปกติ อีกทั้งกำลังในมือยังดีอย่างยิ่ง ยอดฝีมือเช่นนี้หามเกี้ยวย่อมนิ่งราวกับเดินบนพื้นเรียบแน่นอน
เกี้ยวหยุดลงแล้ว สวีโย่วเตะประตูเกี้ยวตามธรรมเนียม หลังจากนั้นก็เปิดม่านเกี้ยวประคองเสิ่นเวยออกมา สี่เหนียงกับหลีฮวาพยุงขนาบข้างนาง ผ้าไหมสีแดงสดส่งมาที่มือเสิ่นเวย ปลายอีกด้านหนึ่งก็อยู่ในมือสวีโย่ว เขาจูงเสิ่นเวยเดินเข้าไปในจวนช้าๆ ก้าวข้ามกระถางไฟ จากนั้นก็ตรงเข้าโถงหลัก
มีขุนนางกรมพิธีการและคนอื่นๆ รออยู่ที่นี่นานแล้ว “เร็วๆๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวกราบไหว้ฟ้าดิน!”
เสิ่นเวยไม่ค่อยเข้าใจธรรมเนียมพิธีแต่งงานโบราณนัก โชคดีที่มีสี่เหนียง นางคอยกระซิบเตือนอยู่ข้างๆ เสิ่นเวย นางว่าอย่างไรเสิ่นเวยก็ทำตามนั้น
สายตาแขกทั้งห้องต่างก็ตกอยู่บนร่างคู่บ่าวสาวในชุดแดง งานมงคลทำให้ผู้คนมีชีวิตชีวา บนร่างคุณชายใหญ่ถอดความเย็นชาห่างเหินในวันปกติออกไปแล้ว แม้แต่ใบหน้าที่ขาวซีดนั้นยังมีสีแดงระเรื่อประดับอยู่หลายส่วน เจ้าสาวยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม ทั้งสองมองดูแล้วเหมาะสมกันเพียงนั้น
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับบุพการี สามีภรรยาคำนับซึ่งกันและกัน ส่งตัวเข้าเรือนหอ!”
หลังจากเสียงๆ นี้พูดจบ เสิ่นเวยก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เอาล่ะ หน้าที่เสร็จแล้ว ไม่มีอะไรให้นางต้องทำแล้ว นางไปนั่งพักในห้องหอได้แล้ว
สวีโย่วจูงเสิ่นเวยเข้าเรือนหอ สี่เหนียงชี้แนะให้เสิ่นเวยนั่งลงบนเตียง ยิ้มแย้มเอ่ยปากกล่าว “คุณชายใหญ่เลิกผ้าคลุมเถิดเจ้าค่ะ”
สวีโย่วรับคันชั่งเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าบนศีรษะของเสิ่นเวยออก เสิ่นเวยเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่งามเลิศใบนั้นทำให้คนทั้งหมดที่ล้อมห้องหอต่างก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ ในดวงตาสวีโย่วมีความตะลึงแวบผ่าน น้องสี่แซ่เสิ่นหน้าตาดี แต่ไม่คิดว่าน้องสี่แซ่เสิ่นที่แต่งหน้าแต่งตัวจะงดงามเพียงนี้
เสิ่นเวยย่อมเห็นความตกตะลึงในดวงตาของสวีโย่วแล้ว ยิ้มแย้มอย่างอดไม่ได้ วินาทีนั้นทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้างามตระการตา ราวกับบุปผางามพันหมื่นผลิบานอีกครั้ง ฟ้าดินจึงดับมืดไร้สีสัน
“เจ้าสาวสวยจริงๆ ดูสิ คุณชายใหญ่ตกตะลึงแล้ว” อู๋ซื่อฮูหยินของสวีเยี่ยหยอกล้อกล่าวด้วยรอยยิ้มทั่วใบหน้า
มีนางนำ คนอื่นๆ ในห้องหอก็คล้อยตาม ยังมีคนที่ทำตัวเสเพลจนเคยชินหยอกเล่นอย่างตรงไปตรงมา บ้างก็ว่าขาวนวลเหมือนดอกฝูหรง (ดอกพุดตาน) บ้างก็ว่าฝ่ายชายมีวาสนาได้หญิงงามเป็นภรรยา
เสิ่นเวยเพียงแค่นั่งก้มหน้าน้อยๆ ไม่สนใจ แสร้งทำท่าทางเขินอาย ชีวิตคนก็เหมือนละคร ทั้งหมดต้องการอาศัยการแสดง วันนี้นางเป็นเจ้าสาว ย่อมต้องสวมบทบาทนี้ให้ดี
เสิ่นเวยไม่สนใจ แต่สวีโย่วกลับไม่ยินดีแล้ว สายตาเย็นเยียบกวาดผ่านออกไป คนไม่กี่คนนั้นต่างก็สั่นสะท้านในใจ ปิดปากหน้าเจื่อน แอบหนีออกไปเงียบๆ ตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ไปถึงข้างนอกแล้วก็ยังลูบอกหวาดกลัว แอบเกลียดตัวเองที่เหตุใดถึงลืมตัวทำตามอำเภอใจชั่วขณะ
นั่นคือพญามาร สำหรับคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นพวกเขาเหล่านี้ก็ถือเป็นการดำรงอยู่ที่เสมือนเขาสูงมหาสมุทรกว้าง พญามารไม่เพียงแต่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างในสายตาบิดาของจวนต่างๆ มักจะชี้พวกเขาแล้วกล่าวอย่างเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ ‘ดูโย่วเอ่อร์สิ ร่างกายไม่ดี แต่ความรู้ความสามารถยังได้รับคำชมจากฝ่าบาท เจ้ากำยำล่ำสัน แต่ท่องไม่ได้แม้แต่คัมภีร์สามอักษร ขายหน้าบรรพบุรุษจะแย่’
ไม่ก็ ‘ดูกิริยามารยาทโย่วเอ๋อร์ แล้วดูเจ้าสิ ยืนยังยืนไม่เหมือน นั่งยังนั่งไม่เหมือน อ่อนปวกเปียกราวกับหนอนไม่รู้จักอาย เหตุใดข้าถึงได้มีลูกไม่เอาไหนแบบเจ้า’
สรุปแล้ว สวีโย่วคือดอกไม้ที่สูงส่ง ไผ่เขียวที่ทรงพลัง เมฆขาวบนท้องฟ้า นอกจากสุขภาพไม่ดี ไม่ว่าอะไรต่างก็ดี พวกเขาเล่า เป็นดั่งโคลนตมบนพื้นดิน เป็นสุนัขที่ปีนกำแพงไม่ได้ เป็นคนไร้ค่า นี่ยังเป็นสิ่งที่พ่อแท้ๆ ของพวกเขาพูดเอง
ตอนที่ยังไม่รู้ประสีประสาก็เคยมีความคิดที่จะกลั่นแกล้งสวีโย่ว หนึ่งคือสวีโย่วไม่ค่อยอยู่เมืองหลวง สองต่อให้เขาอยู่ในเมืองหลวง ไม่อยู่ในจวนก็อยู่ในพระราชวัง พวกเขาหาโอกาสไม่ได้ กว่าจะได้โอกาสมา เพิ่งคิดจะปล่อยวาจาเสียดแทงสองประโยค ก็ถูกแววตารังเกียจที่เยือกเย็นของเขาจ้องมอง ราวกับมองสิ่งสกปรกบางอย่าง พวกเขาก็ขลาดกลัวละอายแก่ใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกทหารคุ้มกันข้างกายเขาตีจนลุกไม่ขึ้น กลับบ้านไปก็ถูกบิดาตีอีก บวกกับคุกเข่าในศาลบรรพบุรุษ
นับตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็ไม่กล้ายั่วยุพญามารอีกเลย ต่อให้เขาจะไม่อยู่ในเมืองหลวง ในเมืองหลวงก็ยังคงมีข่าวลือเกี่ยวกับเขา
สตรีในห้องหอเองก็อึดอัดเล็กน้อย โชคดีที่สี่เหนียงเข้ามาทำพิธี นางคีบเกี๊ยวส่งไปที่ปากเสิ่นเวยให้นางกิน อีกทั้งยังถามนางว่ามีบุตรหรือไม่ เสิ่นเวยถูกทำให้ตกใจจนงงงัน แต่ก็ยังคงฝืนใจบอกว่ามี
สี่เหนียงออกไปพูดคำมงคลนั้นข้างนอกราวกับไม่ต้องการเงิน สตรีในห้องก็หยอกล้อพูดจาประเภทขอให้มีบุตรโดยเร็วต่างๆ นานาก็ยังเชื่อฟัง
ดำเนินไปจนถึงพิธีสุดท้าย หลังดื่มสุรามงคลสมรสแล้ว สวีโย่วก็ควรออกไปดื่มสุราอวยพร เขากล่าวกับเสิ่นเวยด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าพักก่อน ข้าไปครู่เดียวประเดี๋ยวจะกลับมา”
เสิ่นเวยหน้าแดงพยักหน้า
เมื่อสวีโย่วไปแล้วก็มีคนกล่าวหยอก “มิน่าเล่าพี่ใหญ่ถึงไม่อยากไป หญิงงามอ่อนหวานชดช้อยเพียงนี้ ใครบ้างจะตัดใจได้”
“นั่นสิ เทียบกับภรรยาของโย่วเอ๋อร์แล้ว พวกเราก็กลายเป็นหมั่นโถวไหม้ไปเลย”
“ดูเจ้าเด็กนี่พูดเข้า หากเจ้าเป็นหมั่นโถวไหม้ อาสะใภ้เช่นข้าจะเป็นอะไร”
“ท่านน่ะหรือ ย่อมเป็นเทพแห่งอายุขัยอย่างไรเล่า!”
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กนี่ปากหวานจริงๆ วันหลังต้องไปคุยกับแม่สามีเจ้าจริงๆ เสียแล้ว”
ในห้องหอเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ฟังไม่ศัพท์ อู๋ซื่อกับหูซื่อสบตากันปราดหนึ่ง จากนั้นจึงมองเจ้าสาวที่เขินอายจนก้มหน้างุด อู๋ซื่อก็แย้มยิ้มกล่าว “ข้าว่าท่านป้าสะใภ้ท่านอาสะใภ้พี่สะใภ้น้องสะใภ้ทุกท่าน พวกท่านอย่าได้หยอกล้อเจ้าสาวอยู่เลย หากยังพูดต่อไป เจ้าสาวคงจะเขินอายจนมุดแผ่นดินหนีแล้ว ไปๆๆ พวกเราออกไปนั่งในงานเถอะ”
เจ้าสาวก็เห็นแล้ว อีกอย่างอู๋ซื่อก็เป็นฮูหยินซื่อจื่อ ทุกคนย่อมต้องไว้หน้านาง พากันจูงมือเดินออกไปข้างนอก
อู๋ซื่อกับหูซื่อออกไปทีหลังสุด “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ากับน้องสะใภ้สามไม่กวนท่านแล้ว ท่านก็พักผ่อนเถิด ต้องการอะไรก็เรียกได้ สาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างนอกทั้งหมด”
เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าวหนึ่งครา “ลำบากแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าอู๋ซื่อก็ยิ่งกว้าง “คนบ้านเดียวกันจะเกรงใจไปทำไม” เสิ่นเวยจึงไม่พูดอีก
ทุกคนไปแล้ว ไหล่ของเสิ่นเวยก็ตกลงทันที “หลีฮวา หลีฮวา รีบเอามงกุฎหงส์ออกไป คอข้าจะหักอยู่แล้ว”
หลีฮวาลังเลเล็กน้อย มองสี่เหนียง เอามงกุฎหงส์ออกตอนนี้จะดีหรือ
สี่เหนียงยังไม่ทันได้พูด เสิ่นเวยก็เร่งรัดแล้ว “เร็วหน่อย ข้าจะแบกไม่ไหวแล้ว” นางไม่สนว่าอะไรจะเป็นมงคลไม่เป็นมงคล เป็นกฎไม่เป็นกฎ นางรู้เพียงมงกุฎหงส์บนศีรษะหนักเกินไป นางใส่แล้วทรมานยิ่งนัก
เมื่อหลีฮวาได้ยินก็ไม่มองสี่เหนียงแล้ว วิ่งเข้าไปช่วยเสิ่นเวยถอดมงกุฎหงส์ลง “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” นางถามด้วยความเป็นห่วง
เสิ่นเวยหมุนคอ ใช้มือนวด “ในที่สุดก็หายใจได้แล้ว”
สี่เหนียงอ้าปาก ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร ด้วยความโปรดปรานที่คุณชายใหญ่มีต่อคนผู้นี้ นางยอมโอนอ่อนผ่อนตามเล็กน้อยดีกว่า
เสิ่นเวยพอใจต่อท่าทีของสี่เหนียงอย่างถึงที่สุด บอกเป็นนัยให้หลีฮวาปูนบำเหน็จนางหนักๆ หลังจากนั้นก็ไล่นางออกไป
เดิมสี่เหนียงยังลังเลเล็กน้อย แต่นางเห็นแม่นมผู้นั้นที่ติดตามอยู่ข้างกายเสิ่นเวยแล้ว ก็ยังคงถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง
ภายในห้องล้วนแต่เป็นคนของตน เสิ่นเวยรู้สึกเป็นตัวของตัวเองขึ้นมากในชั่วพริบตา “หลีฮวา มีของกินหรือไม่ ข้าหิวแล้ว” ก่อนหน้านี้กินเกี๊ยวตัวเล็กหนึ่งถ้วยนั้น ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว ย่อยหมดไปนานแล้ว
หลีฮวากล่าว “คุณหนูท่านรอสักครู่ บ่าวจะออกไปดู”
“เดี๋ยว ไม่ต้องไปแล้ว” เสิ่นเวยกวาดสายตามองเห็นมุมหนึ่งของห้องวางโต๊ะอาหารไว้หนึ่งโต๊ะ วิ่งเข้าไปทันที “ไม่ต้องทำให้ยุ่งยาก ข้ากินอันนี้ก็ได้”
“คุณหนู นี่ไม่ดีกระมัง บ่าวออกไปทำอะไรรองท้องให้ดีกว่า โต๊ะอาหารนี้รอท่านเขยมาแล้วท่านค่อยกินพร้อมกันกับเขา” หลีฮวาโน้มน้าว
ทว่าเสิ่นเวยกลับโบกมือ “เขาอยู่ข้างนอกคงกินอิ่มไปนานแล้ว” เหตุใดนางจะต้องทนหิวรอเขา ฝันไปเถอะ!
เสิ่นเวยหยิบตะเกียบขึ้นมาก็กิน นางหิวจริงๆ กินแม้กระทั่งขาหมูหลายชิ้น “เถาฮวาเล่า” จู่ๆ เสิ่นเวยก็ถาม เถาฮวาชอบกินเนื้อที่สุด
หลีฮวาย่อมเข้าใจเจตนาของคุณหนู มุมปากกระตุก คุณหนูกินเองไม่รอท่านเขยก็ไม่เป็นไร แต่ยังคิดจะให้เถาฮวามากินด้วย มันช่าง ช่าง…เฮ้อ! หลีฮวาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงหนึ่งครา “ใครจะรู้เด็กคนนั้นวิ่งไปก่อเรื่องที่ไหนแล้ว คุณหนูวางใจเถิด นางมีเนื้อให้กินแน่นอน”
เสิ่นเวยพยักหน้าเล็กน้อย กินต่อ กินอิ่มแล้วนางก็บิดขี้เกียจรู้สึกง่วง ตื่นเช้าเพียงนั้น ทั้งยังทนทรมานทั้งวัน จะไม่ง่วงได้อย่างไร
นางปีนขึ้นเตียง โผลงบนหมอนทั้งชุดที่ใส่อยู่ “หลีฮวา ข้านอนแปปเดียว มีคนมาแล้วเรียกข้าด้วย”
หลีฮวากระวนกระวายใจแล้ว คุณหนูของนางยังเป็นเจ้าสาวอยู่หรือไม่ ท่านเขยยังไม่กลับมานางก็นอนก่อนแล้ว จะดีจริงๆ หรือ หลีฮวาอยากปลุกคุณหนูของนางขึ้นมา แต่กลับถูกแม่นมมั่วห้ามไว้ “คุณหนูเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ให้นางนอนสักพักเถอะ สั่งคนไปดูข้างนอก ท่านเขยมาแล้วค่อยปลุกคุณหนูก็พอ”
นางที่มีชีวิตมาจนถึงอายุเท่านี้กลับมองโลกออกแล้ว กฎระเบียบ อะไรคือกฎระเบียบ บุรุษรักเจ้าหลงเจ้า เจ้าทำอะไรล้วนเป็นกฎระเบียบ หากบุรุษรำคาญเจ้า ต่อให้เจ้าเคารพกฎเพียงใดเขาก็ไม่มองเจ้าอยู่ดี
ตอนที่สวีโย่วผลักประตูเข้ามาก็มองเห็นน้องสี่แซ่เสิ่นของเขานอนขดตัวอยู่บนเตียงห้องหอ หลีฮวาลุกขึ้นยืนอย่ารวดเร็วกำลังจะเรียกคุณหนู แต่กลับถูกสวีโย่วห้ามไว้ นางกัดริมฝีปากอย่างแค้นเคือง หากท่านเขยทำคุณหนูโกรธจะทำอย่างไร ท่านเขยก็เข้ามาแล้ว เหตุใดถึงไม่ส่งข่าวล่วงหน้า
สาวใช้เล็กเองก็อัดอั้นอย่างยิ่ง นางไหนเลยจะไม่อยากรายงาน เห็นชัดๆ ว่า ท่านเขยไม่อนุญาต! พี่ใหญ่ผู้เป็นบ่าวตัวสูงๆ ผู้นั้นกดไล่นางไว้เบาๆ นางก็ขยับไม่ได้แล้ว
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปให้หมด” สวีโย่วโบกมือไล่คนทั้งหมดออกไป
หลีฮวาลังเลยืนอยู่อย่างไม่ขยับ ยังคงเป็นแม่นมมั่วที่ดึงนาง “แม่นมมั่ว หากท่านเขยทำคุณหนูโกรธจะทำอย่างไร” นางกระวนกระวายใจ
“เช่นนั้นเจ้าอยู่ในห้องไปจะมีประโยชน์อะไร” แม่นมมั่วกล่าวตรงประเด็น “ดูเจ้าสิ ปกติก็เป็นคนฉลาด เหตุใดตอนนี้ถึงเลอะเลือนแล้วเล่า ท่านเขยไม่ทำคุณหนูโกรธหรอก ท่านเขยดีต่อคุณหนูของพวกเรา” นางใช้ชีวิตถึงอายุปูนนี้แล้ว จะมองไม่เห็นแววตารักใคร่ที่ท่านเขยมองคุณหนูได้อย่างไร