“สวีโย่ว ตอนนี้เจ้าก็แต่งงานแล้ว ใช่ควรจะเริ่มทำงานได้แล้วหรือไม่ เจ้าอยากไปกรมโยธาหรือกรมพระคลัง หรือว่ากรมอาญา หกกรมหรือที่ว่าการต่างๆ ในเมืองหลวงของลุงเจ้าอยากไปตรงไหนก็ได้ทั้งสิ้น” จักรพรรดิยงเซวียนมองสวีโย่วแล้วตรัส ท่าทางใจกว้างเช่นนี้คาดว่าเหล่าองค์ชายรู้เข้าคงจะอิจฉาตาร้อน ดีต่อหลานชายยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ จะดีจริงๆ หรือ
ทว่าสวีโย่วกลับปฏิเสธ กล่าวเสียงเรียบ “ขอบคุณเสด็จลุงที่ให้ความสำคัญ หลานสุขภาพไม่ค่อยดี นัก อยู่รักษาตัวในจวนจะดีกว่า”
จักรพรรดิยงเซวียนเบิกตาโต สุขภาพไม่ดีงั้นหรือ ใช้ข้ออ้างนี้ปิดบังผู้อื่นได้ แต่ไหนเลยจะปิดบังเขาได้ ตอนนั้นยังเป็นเขาที่เตรียมส่งเขาขึ้นไปบนภูเขาด้วยตัวเอง สารพิษในร่างกายเขาหายไปเกือบหมดนานแล้ว หลายปีเพียงนี้ก็ใช้ท่าทีของคนป่วยแสดงตนมาโดยตลอด เพียงเพื่อปิดหูปิดตาก็เท่านั้นเอง ลับหลังก็ช่วยตนจัดการงานที่ราชสำนักไม่สะดวกออกหน้าอยู่ไม่น้อย
“สุขภาพเจ้าดีหรือไม่ลุงยังไม่รู้อีกหรือ อายุยังน้อยคิดจะอู้งานไม่ได้ แม้บุตรหลานราชนิกุลจะเยอะ แต่ที่ได้ความกลับมีไม่กี่คน ลุงก็อายุปูนนี้แล้ว เจ้าจะแบ่งเบาภาระลุงไม่ได้เชียวหรือ” จักรพรรดิยงเซวียนทรงเรียกร้องความเห็นใจ
แต่เขาพูดประโยคนี้ไม่เพียงแต่สวีโย่วที่ไม่เชื่อ แม้แต่เสิ่นเวยที่อยู่ข้างๆ เป็นตัวประกอบอย่างซื่อสัตย์ก็ยังรู้สึกตกใจ จักรพรรดิยงเซวียนอายุเพียงสี่สิบปี กำลังอยู่ในยุคทองของการทำงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจพูดได้ว่าอายุปูนนี้!
“เสด็จลุงอย่าทำให้หลานลำบากใจเลยพะยะค่ะ หลานไม่มีปณิธานยิ่งใหญ่อะไร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเสด็จลุง หลานได้เป็นจวิ๋นอ๋องแล้ว ชาตินี้ก็เพียงพอแล้ว” สวีโย่วไม่หลงกลเลยแม้แต่น้อย ชีวิตคนบนโลกก็มีเพียงอำนาจและความร่ำรวย สองอย่างนี้เขาไม่ขาดตกบกพร่อง ไยจะต้องแสวงหาช่องทางประจบผู้มีอำนาจให้ได้ “ยิ่งไปกว่านั้นหลานเพิ่งแต่งงานหมาดๆ ไม่มีกระจิตกระใจจริงๆ” เพิ่งจะแต่งภรรยา ยังออดออ้นไม่พอเลย ตัดใจทิ้งภรรยาที่งดงามดั่งบุปผาไว้ในจวนไม่ได้
ความเจ็บป่วยรุมเร้าร่างกายทำให้สวีโย่วมองเห็นเรื่องราวบนโล่งจนทะลุปรุโปร่งแล้ว เขาคิดว่าชีวิตในอุดมคติที่สุดก็คือการมีภรรยาบุตรปราศจากเรื่องทุกข์ใจ พาน้องสี่แซ่เสิ่นไปท่องเที่ยวพเนจร เช้าตรู่ขึ้นเขา ตกบ่ายล่องเรือ แค่คิดก็พอใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
“เจ้ามันคนไม่มีอนาคต” จักรพรรดิยงเซวียนชี้จมูกของสวีโย่วแล้วยิ้มด่า ยังไม่ทันเข้าราชสำนักก็ปฏิเสธงานแล้ว ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้
จักรพรรดิยงเซวียนยังอยากจะพูดอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงขององค์ชายรองดังเข้ามาจากนอกห้องหนังสือส่วนพระองค์ รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็หุบลงทันที “เหล่าเอ้อร์มาแล้วหรือ เข้ามาเถิด”
จากนั้นจึงเห็นองค์ชายรองที่สง่าผ่าเผยอมยิ้มเดินเข้ามา ผู้ที่เข้ามาพร้อมกับเขายังมีองค์ชายสี่ เขาเป็นพระราชบุตรของฮองเฮา หลายปีก่อนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นไท่จื่อ
จักรพรรดิยงเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย บุตรสองคนนี้มาด้วยกันได้อย่างไร
“พวกลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ ลูกทราบมาว่าวันนี้เสด็จพี่พาพี่สะใภ้คนใหม่มาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ลูกจึงตั้งใจมาร่วมยินดี ระหว่างทางบังเอิญพบไท่จื่อ จึงมาพร้อมกัน” องค์ชายรองอธิบายเหตุผลที่เขามาพร้อมกับไท่จื่อ
ไท่จื่อเองก็กล่าว “ตอนที่เสด็จพี่โย่วสมรส ลูกร่างกายไม่ค่อยสบายนัก จึงไม่อาจไปแสดงความยินดีด้วยตัวเองได้ ลูกไม่ได้เจอเสด็จพี่โย่วนานแล้ว ในใจก็คิดถึง วันนี้เสด็จพี่โย่วเข้าวังมาเข้าเฝ้า ลูกจึงร้อนใจอยากมาหา”
แม้ว่าองค์ชายรองกับไท่จื่อจะเรียกสวีโย่วว่าเสด็จพี่ แต่อย่างไรราชวงศ์และขุนนางก็มีความแตกต่าง สวีโย่วยังคงนำเสิ่นเวยทำความเคารพพวกเขา ทั้งสองคนย่อมเลี่ยงการเคารพด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยชายตามองคนทั้งสองปราดหนึ่งอย่างรวดเร็ว เห็นองค์ชายรองและไท่จื่อหน้าตาดีใช้ได้ ก็ใช่ ราชนิกุลจะมีคนขี้เหร่ได้อย่างไร เพียงแต่เทียบกับองค์ชายรองที่องอาจผ่าเผย ท่านไท่จื่อก็อ่อนแอกว่ามาก ไม่เพียงแต่ส่วนสูงเตี้ยกว่าสองสามชุ่น แม้แต่พลังที่ออกมาจากร่างก็อ่อนกว่าสามส่วน
มีองค์ชายที่โดเด่นผู้หนึ่งเช่นนี้อยู่ข้างกาย มิน่าเล่าความยโสโอหังของของซูเฟยจึงสูงเพียงนั้น
มีองค์ชายสองคนเพิ่มเข้ามา บทสนทนาที่ถูกตัดไปย่อมไม่อาจพูดขึ้นได้อีก เสิ่นเวยก็เป็นตัวประกอบฉากต่อ เดิมสวีโย่วก็พูดไม่เยอะอยู่แล้ว ตอบรับประโยคสองประโยคเป็นบางครั้ง คนที่พูดเยอะกลับเป็นจักรพรรดิยงเซวียนสามพ่อลูก
เสิ่นเวยมองดูอย่างเย็นชา องค์ชายรองไม่เพียงแต่องอาจผ่าเผยกว่าไท่จื่อ แต่ยังพูดจาเป็นยิ่งกว่าเขา บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มน้อยๆ ที่อบอุ่น ท่าทางสุภาพมีมารยาท แต่ละประโยคที่พูดคล้ายทำให้จักรพรรดิยงเซวียนยิ้มในใจได้ เขาเทียบไท่จื่อไม่ได้ ไท่จื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิยงเซวียนอึดอัดเล็กน้อย ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนองค์ชายรอง แม้เขาจะพยายามซ่อนจุดๆ นี้ แต่เสิ่นเวยก็ยังคงสังเกตเห็น
เมื่อคิดดูให้ดีเรื่องนี้ก็ไม่แปลก องค์ชายรองอายุมากกว่าไท่จื่อหลายปั ลำดับก็อยู่หน้าๆ ความสัมพันธ์ที่มีต่อจักรพรรดิยงเซียนก็ลึกซึ้ง อีกทั้งแม้ว่าเขาจะเป็นบุตรของจักรพรรดิยงเซวียน แต่คนหนึ่งเป็นองค์ชาย อีกคนหนึ่งเป็นไท่จื่อ อย่างไรเสียฐานะก็ไม่เหมือนกัน จักรพรรดิยงเซวียนอาจจะมีใจเมตตาต่อลูกมากกว่าหลายส่วน แต่กลับสั่งสอนไท่จื่อเข้มงวดอย่างถึงที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่ไท่จื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิยงเซวียนแล้วอึดอัดอย่างยิ่ง
ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบวาบ จู่ๆ ก็นึกได้ว่าองค์ชายที่อายุสิบห้าปีขึ้นไปของจักรพรรดิยงเซวียน
คล้ายมีหกเจ็ดคน ตอนนี้นางเพิ่งจะเห็นเพียงแค่สองคน องค์ชายคนอื่นๆ องอาจผ่าเผยเหมือนองค์ชายรอง หรือจะอ่อนแอเหมือนอย่างไท่จื่อ แม้ว่าไท่จื่อจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์แล้ว แต่เป็นลูกชายของจักรพรรดิยงเซวียนเหมือนกันพวกเขาจะยินยอมได้อย่างไร องค์ชายที่ไม่อยากเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่องค์ชายที่ดี จักรพรรดิยงเซวียนไม่กลัวพวกเขาทะเลาะกันเองในหมู่พี่น้องหรือ
ความคิดนี้อยู่ในสมองเสิ่นเวยเพียงแค่ชั่วแวบหนึ่ง แม้จะทะเลาะกันในหมู่พี่น้องแล้วอย่างไร เกี่ยวอะไรกับนางสักทองแดงเดียวหรือไม่ นางแทะถั่วรอชมอย่างมากก็ขนม้านั่งเล็กมานั่งชมความสนุกอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว
เร็วอย่างยิ่ง สวีโย่วก็พาเสิ่นเวยกราบลาออกมา ตอนที่กลับไปถึงจวนจิ้นอ๋องฟ้าก็มืดพอดี สวีโย่วมองโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่หน้าเรือน ในใจก็อบอุ่น กุมมือเสิ่นเวยข้างกายแน่นอย่างอดไม่ได้ เสิ่นเวยมองเขาปราดหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ไม่ได้สะบัดออกอย่างเชื่อฟัง
อาหารมื้อเย็นยังคงกินในเรือน กลับไม่ใช่เสิ่นเวยที่ทะนงตน แต่พระชายาจิ้นอ๋องเข้าใจความรู้สึกมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่พวกเขากลับมาจากวังพระชายาจิ้นอ๋องก็ส่งคนมาบอกว่าเห็นใจพวกเขาสองสามีภรรยาที่เหน็ดเหนื่อยมาอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องไปเคารพแล้ว
เสิ่นเวยย่อมเชื่อฟังอย่างยิ่ง วันนี้นางเหนื่อยจริงๆ จึงไม่สนว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะพูดจากใจจริงหรือว่าเสแสร้ง เพียงแค่พายเรือตามน้ำส่งแม่นมมั่วไปรายงานสถานการณ์เข้าวังน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ และถือโอกาสฝากความซาบซึ้งนับไม่ถ้วนของนางไปด้วย
ทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เสิ่นเวยก็หยิบบันทึกการท่องเที่ยวหนึ่งเล่มพิงตั่งอ่านอย่างผ่านๆ หลีฮวาพาเด็กรับใช้สองคนมานวดไหล่ทุบขาให้นาง สบายยิ่งนัก เสิ่นเวยสะลึมสะลือจะหลับอยู่แล้ว
ภาพที่สวีโย่วมองเห็นตอนที่เดินออกมาจากห้องด้านในก็คือภาพหญิงงามสะลึมสะลือภาพนี้ เขาโบกมือไล่หลีฮวาและคนอื่นๆ พวกนางลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังคงถอยออกไปเงียบๆ
มือของสวีโย่ววางลงบบ่าเสิ่นเวยนางก็รู้สึกตัวแล้ว แรงมือไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง “เป็นท่านนี่เอง!” เสิ่นเวยลืมตามองเขาปราดหนึ่ง จากนั้นก็หรี่ตาเสพสำราญต่อไป
สวีโย่วยกมุมปาก นวดไปนวดมามือใหญ่หนึ่งคู่ก็เลื่อนลงไปข้างล่างตามไหล่ของเสิ่นเวย ถูกอุ้งมือของเสิ่นเวยปัดออก “ดีๆ หน่อย”
เสิ่นเวยถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ สวีโย่วเลิกคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร มือใหญ่ๆ เลื่อนกลับไปตามไหล่ลงมือนวดต่อ แต่ผ่านไปไม่นานเขาก็เล่นลูกไม้เดิม ทำเสิ่นเวยโมโหอยู่พักหนึ่งจนลุกขึ้นนั่ง ในช่องฟันมีคำไม่กี่คำเค้นออกมา “ให้คนนอนดีๆ ได้หรือไม่” ฤดูใบไม้ผลิเหนื่อยง่ายฤดูใบไม่ร่วงก็ง่วงง่าย ตอนนี้นางง่วงยิ่งนักรู้หรือไม่
ทว่าสวีโย่วกลับแสดงท่าทีไร้เดียงสาอย่างสิ้นเชิง “เจ้าก็นอนไปสิ ข้าก็ช่วยเจ้านวดไหล่อยู่มิใช่หรือ”
เสิ่นเวยถลึงตาใส่สวีโย่วอย่างสุดชีวิต นั่นเจ้านวดไหล่หรือ เจ้ามั่นใจหรือว่าที่เจ้านวดคือไหล่
เสิ่นเวยปัดมือสวีโย่วออก โยนบันทึกการท่องเที่ยวทิ้ง โมโหเดือดดาลเดินไปที่เตียงใหญ่ ยังไม่ลืมหันหน้ากลับมาเตือน “ท่าน ห้ามเข้ามา”
สวีโย่วอารมณ์ดีทันที น้องสี่แซ่เสิ่นโง่แล้วหรือ นั่นคือเตียงห้องหอของพวกเขา เขาไม่เข้าไปแล้วจะไปไหน แต่เพราะว่าเด็กน้อยโมโหแล้ว เขารออีกสักพักค่อยเข้าไปดีกว่า
พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินคำรายงานของแม่นมมั่ว ในปากก็สวดอมิตาพุทธ กล่าวด้วยความดีใจทั้งใบหน้า “ข้าบอกแล้วว่าภรรยาโย่วเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีวาสนา ดูสิ ไม่เพียงแต่ฮองเฮาเหนียงเหนียงชอบ แม้แต่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกับซูเฟยเหนียงเหนียงต่างก็ชอบนางเช่นกัน ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดจิตใจของข้าก็เบาลงแล้ว”
แม่นมซือที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวหยอกล้อ “ตั้งแต่ที่องค์หญิงใหญ่กับฮูหยินใหญ่ออกจากประตูใหญ่จวนอ๋อง พระชายาของพวกเราก็เป็นห่วงแล้ว ประเดี๋ยวเดียวก็ถามว่าคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่กลับมาแล้วหรือยัง ตอนนี้รู้ว่าฮูหยินใหญ่ได้ความโปรดปรานจากคนสูงศักดิ์ในวัง จิตใจที่เป็นกังวลของพระชายาก็เบาลงได้เสียที”
“เฮ้อ พูดเรื่องนี้ทำไมกัน โย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยากลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว” พระชายาจิ้นอ๋องโบกมือห้ามคำพูดของแม่นมซือ จู่ๆ ก็ถอนหายใจหนึ่งครา “คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ภรรยาโย่วเอ๋อร์เป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม ข้าก็ต้องใส่ใจนางให้มากมิใช่หรือ ลำบากเด็กคนนี้มาทั้งวันยังจะคิดให้นางมาบอกข้าอีกหรือ ข้าว่า พรุ่งนี้ค่อยมาก็เหมือนกัน”
แม่นมมั่วเป็นใครกัน จะฟังความหมายในคำพูดของพระชายาจิ้นอ๋องไม่ออกได้อย่างไร ต่อหน้าพูดว่าฮูหยินใหญ่คิดรอบคอบ แต่อันที่จริงลับหลังกลับตำหนิว่าเคารพแม่สามีไม่พอ ส่งแม่นมมาได้ แต่ตนมาเองไม่ได้งั้นหรือ เหนื่อยหรือ คนเป็นภรรยาที่ไหนบ้างไม่เหนื่อย
ทว่าแม่นมมั่วกลับมีสีหน้าเรียบเฉย “ฮูหยินของพวกเราอยากมาพูดคุยกับพระชายาด้วยตัวเอง แต่ก็กลัวจะรบกวนการพักผ่อนของพระชายา คุณชายใหญ่เองก็บอกว่าให้เชื่อฟังพระชายาค่อยมาพรุ่งนี้ อีกทั้งยังบอกว่าพระชายาใจกว้างเมตตาต่อชนรุ่นหลังที่สุด ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยกับนางได้”
เจ้าพูดมา ข้าก็พูดกลับ กตัญญูเชื่อฟัง กตัญญูเชื่อฟัง ไม่เพียงแต่กตัญญู ซ้ำยังเชื่อฟังอีกด้วย อะไรที่เรียกว่าเชื่อฟังงั้นหรือ นั่นก็คือทำตามที่ผู้อาวุโสบอก ท่านดูสิ คำพูดที่ท่านพูดฮูหยินของพวกเราต่างก็เชื่อฟัง
รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องจางลงเล็กน้อย นางชายตามองแม่นมมั่ว เห็นความตื้นตันบนใบหน้านาง ท่าทางเคารพ ในใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็กำชับอีกไม่กี่ประโยคก็ไล่นางออกไป