เสิ่นเวยเห็นใจสวีโย่วครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นได้ “ข้าต้องไปหาเสด็จแม่หรือไม่ เอ่อ ที่ข้าหมายถึงคือต้องไปจุดธูปกราบไหว้เสด็จแม่แท้ๆ ของพวกเราหรือไม่” แม้ว่าจะเสียชีวิตแล้ว แต่นั่นก็คือแม่สามีที่แท้จริงของนาง
สวีโย่วยังคิดไม่ถึงเรื่องนี้จริงๆ ตั้งแต่เล็กเขาก็ไม่เคยเห็นแม่แท้ๆ มาก่อน มารดาสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่แปลกหน้าเท่านั้น ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงความผูกพันใดๆ ตอนเด็กๆ ยังคิดว่า หากแม่ยังอยู่ เสด็จพ่อก็คงจะไม่เฉยชาต่อเขาเพียงนั้นกระมัง เมื่อโตขึ้นจึงได้รู้ว่าตนไร้เดียงสา ต่อให้แม่เขาจะยังมีชีวิตอยู่ คาดว่าก็คงจะถูกเสด็จพ่อของเขากับพระชายาคนปัจจุบันที่ชั่วช้าคู่นั้นทำให้โกรธจนอกแตกตาย
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” สวีโย่วคิด รู้สึกเหมือนกันว่าควรไปจุดธูปให้แม่ของเขาบ้าง อย่างไรเสียนั่นก็คือผู้ให้กำเนิดเขา เขาแต่งงานแล้วจะไม่บอกนางสักคำได้อย่างไร
สวีโย่วพาเสิ่นเวยไปยังศาลบรรพบุรุษในจวน เมื่อเดินเข้าไปกลิ่นอายที่ดำมืดสลัวก็โผเข้ามา เสิ่นเวยยังคิดว่าจะเหมือนกับศาลบรรพบุรุษในจวนโหวที่วางเบียดเสียดแน่นขนัดไปด้วยแท่นบูชา ใครจะรู้มองเห็นแท่นบูชาหนึ่งแท่นของแม่สามีวางอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว เมื่อคิดๆ ดูก็เข้าใจแล้ว ตระกูลพวกเขาคือราชวงศ์ มีบรรพบุรุษเดียวกันกับฝ่าบาท บรรพบุรุษรุ่นก่อนรวมถึงฮ่องเต้องค์ก่อนและไทเฮาจะต้องมีที่บูชาโดยเฉพาะเป็นแน่
“ยายหรู ข้าพาเสิ่นซื่อมากราบไหว้เสด็จแม่” สวีโย่วกล่าวกับหญิงชราผู้ดูแลศาลบรรพบุรุษเพียงหนึ่งเดียว หลังจากนั้นก็หันหน้าอธิบายให้เสิ่นเวยฟัง “ยายหรูคือคนรับใช้ข้างกายเสด็จแม่ ตอนที่ข้าเด็กๆ ก็ยังเคยดูแลข้า ต่อมาก็มาดูแลแท่นบูชาของเสด็จแม่ที่นี่”
เสิ่นเวยพยักหน้า คำนับหญิงชราที่มีรอยย่นทั่วใบหน้า ผมขาวทั่วศีรษะผู้นั้นด้วยความจริงใจหนึ่งครา นางรู้ว่าคนที่สามารถทำให้สวีโย่วแนะนำอย่างจริงจังเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนที่เขาเคารพ
หญิงชราผู้นั้นรีบหลบไปอยู่ข้างๆ “มิบังอาจรับการคำนับของฮูหยินใหญ่หรอกเจ้าค่ะ”
ทว่าเสิ่นเวยกลับยืนกรานคำนับจนเสร็จ หญิงชราผู้นั้นขมุบขมิบริมฝีปาก ครู่ใหญ่จึงเอ่ยคำดีๆ สามคำ ในดวงตาชราภาพที่ขุ่นมั่วคู่นั้นมีประกายความเมตตาปรากฎขึ้น
โต๊ะที่บูชาพระชายาจิ้นอ๋องคนก่อนถูกปัดกวาดจนสะอาดอย่างยิ่ง ข้างบนวางของไหว้ไว้จำนวนหนึ่ง ธูปหนึ่งดอกในกระถางธูปกำลังจุดไฟลุกโชน ท่ามกลางควันธูปที่วนเป็นเกลียวเสิ่นเวยมองเห็นบนแท่นบูชาเขียนไว้ว่าสุสานของต้วนซื่อเฉินสุ่ย เสิ่นเวยคุกเข่าหน้าแท่นบูชากราบด้วยความเคารพสามครา กล่าวเสียงเบา “เสด็จแม่ ข้าคือลูกสะใภ้ของท่าน หากท่านอยู่บนฟ้าก็ของให้ท่านกลับให้สบาย หลังจากนี้ลูกจะดูแลคุณชายใหญ่ให้เป็นอย่างดี”
สวีโย่วจ้องมองแท่นบูชา นิ่งเงียบไม่พูด ยายหรูมองฮูหยินใหญ่วัยเยาว์ที่คุกเข่าอยู่บนเบาะกลมด้วยเคารพ หันหลังกลับไปเช็ดน้ำตาเงียบๆ
จุดธูปให้แม่สามีเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็ออกไปพร้อมกับสวีโย่ว ยายหรูยืนอยู่หน้าประตูศาลบรรพบุรุษ รู้ว่ามองไม่เห็นเงาร่างของพวกเขาอีกแล้วจึงหันหลังกลับมา นางเดินเข้าไปในศาลบรรพบุรุษที่มืดทึบ จ้องมองแท่นบูชาด้วยสายตาอ่อนโยน “คุณหนู ท่านเห็นแล้วหรือยัง คุณชายใหญ่แต่งงานแล้ว ฮูหยินใหญ่ดูเป็นเด็กดีรู้ประสา ท่านวางใจเถิด! ข้าเคยรับปากท่านว่าจะดูแลคุณชายใหญ่ให้ดี ตอนนี้มีฮูหยินใหญ่แล้ว ท่านก็ยิ่งวางใจได้แล้วมิใช่หรือ บุญคุณย่อมต้องตอบแทน ข้ารู้ว่าท่านไม่ยินยอม ข้าจะคอยสอดส่องแทนท่าน ท่านวางใจเถิด”
ควันดำในกระถางธูปลอยวนขึ้นมา แท่นบูชาของต้วนซื่อคล้ายผลุบคล้ายโผล่
พระชายาจิ้นอ๋องกุมอกนั่งพิงอยู่บนตั่งนุ่ม รู้สึกเพียงเส้นเลือดดำบนศีรษะกำลังเต้น แววตาแม่นมซือที่อยู่ข้างๆ มีความกังวลแวบผ่าน กล่าวโน้มน้าว “พระชายา เรียกหมอเถอะเจ้าค่ะ ท่านไม่อาจเมินเฉยร่างกายของตัวเองได้นะเจ้าค่ะ!”
“ไม่ต้อง” พระชายาโบกมือ เหตุใดนางถึงเจ็บหน้าอกในใจนางรู้ดี แต่กลับพูดออกมาไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
นายดื้อรั้น คนเป็นบ่าวย่อมต้องเกลี้ยกล่อม แม่นมซือกล่าวต่อ “บ่าวทราบว่าท่านคิดแทนคุณชายใหญ่สองสามีภรรยา แต่ร่างกายของท่านไม่สบายก็ไม่อาจทนเช่นนี้ได้”
จู่ๆ พระชายาจิ้นอ๋องก็ใจเต้น ถอนหายใจหนึ่งครากล่าว “ช่างเถอะ ไปเชิญหมอมา จำไว้ว่าทำเงียบๆ” คุณชายใหญ่เพิ่งจะพาฮูหยินคนใหม่มาเคารพ เรือนของพระชายาก็เชิญหมอมา อย่าว่าแต่ความจริงเป็นเช่นไร ตัวเรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นแล้ว
เร็วอย่างยิ่งหมอก็มาถึงแล้ว จับชีพจรให้พระชายาจิ้นอ๋อง พูดทำนองว่าจุกอยู่ในอก เกิดภาวะร้อนขึ้นปอดไม่กี่ประโยค จากนั้นก็เขียนใบสั่งยา
หมอเพิ่งจะไปหวาอวิ๋นก็เข้ามาแล้ว ท่าทางอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด พระชายาจิ้นอ๋องก็เข้าใจว่านางมีเรื่องจะบอก “ว่ามาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หวาอวิ๋นลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวเสียงเบา “สาวใช้เบื้องล่างรายงานว่าคุณชายใหญ่พาฮูหยินใหญ่ไปศาลบรรพบุรุษเจ้าค่ะ” พูดประโยคนี้จบศีรษะของนางก็ก้มต่ำลงไป ไม่กล้ามองสีหน้าของพระชายา
“เขากลับกตัญญู” ดวงตาพระชายาจิ้นอ๋องมีความน่าสะพรึงกลัวแวบผ่าน ฟันในปากกัดดังกึกๆ คนชั่ว คนอกตัญญูเลี้ยงไม่เชื่อง ต้วนซื่อเน่าเปื่อยจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกไปนานแล้ว เขากลับยังจำได้ว่านั่นคือแม่ของเขา! หากรู้อย่างนี้ หากรู้อย่างนี้ตอนนั้นนางหยิกเขาให้ตายก็จบแล้ว
นางยังมีชีวิตอยู่ดีๆ แม้แต่เคารพเขายังขี้เกียจมา แต่กลับพาฮูหยินคนใหม่ไปกราบไหว้คนตาย นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้านางหรือ เสิ่นซื่อผู้นั้นก็ไร้คุณธรรม ไม่โน้มน้าว ซ้ำยังตามไปอีกด้วย ดวงซวยจริงๆ! ยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า พระชายาจิ้นอ๋องก็รู้สึกว่าเสิ่นซื่อผู้นั้นหน้าตาน่าเกลียดขึ้นมาแล้ว
นางโมโหจนกระทั่งดึงปิ่นระย้าบนศีรษะโยนทิ้งไป ของผุพังอะไรยังกล้าเอามาเสียบบนผมนาง คนไม่มีความรู้ตาไม่มีแววเช่นนี้ ต่อให้ยกนางก็ยังประคองขึ้นกำแพงไม่ได้ คนโง่ คนไร้ประโยชน์!
สาวใช้ที่ปรนนิบัติภายในห้องต่างก็ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง แม้พวกนางจะอายุน้อย แต่ตั้งแต่เข้าเรือนของพระชายามาก็ได้รับคำเตือนจากผู้อื่น รู้ว่าพระชายาคนก่อนหน้านั้นเป็นบุคคลต้องห้ามในใจของพระชายา ไม่มีใครกล้าเอ่ยขึ้นมา
แม่นมซือมองใบหน้าที่ดุร้ายน่ากลัวของพระชายาปราดหนึ่งด้วยความระมัดระวัง โบกมือไล่คนในห้องทั้งหมดออกไป “พระชายาโปรดระงับโทสะ ท่านจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายไปไย เหมือนอย่างที่ท่านว่า นางเน่าเปื่อยจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกไปนานแล้ว แต่ท่านกลับนั่งเสพสุขสำราญ ข้างกายยังมีคุณชายทั้งสามอยู่ข้างๆ ท่านชนะตั้งนานแล้ว”
“ข้าแค่กล้ำกลืนความโกรธนี้ไม่ลง นางตายแล้ว แต่กลับทิ้งหนี้ไว้สร้างความรำคาญใจให้ข้า” จิ้น
พระชายาท่าทางเคียดแค้นยากจะบรรเทา ครั้งนี้นางเจ็บใจจริงๆ เส้นเลือดดำบนหน้าผากเต้นตุบๆ ทำให้นางว้าวุ่นใจ อยากขว้างปาของตรงหน้าทั้งหมด
แม่นมซือรีบก้าวขึ้นไป นวดศีรษะของให้พระชายาด้วยความช่ำชอง “หากท่านเห็นพวกเขาขวางหูขวางตาก็ไล่ออกไปสิเจ้าค่ะ อย่างไรเสียคุณชายใหญ่ก็ได้รับพระราชทานจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ท่านไม่อยากเห็นพวกเขาก็ให้พวกเขาย้ายออกไป”
“หยุดคิดเลย!” พระชายาจิ้นอ๋องลุกขึ้นนั่งทันที ดวงตาประหนึ่งเคลือบยาพิษ “เขาอยากย้ายออกไปมีชีวิตของตัวเองงั้นหรือ ฝันไปเถอะ! ข้าไม่ปล่อยเขาก็อย่าได้คิดจะย้ายออกจากจวนอ๋องเลย”
ย้ายออกจากจวนอ๋องนางก็เหนือบ่ากว่าแรงแล้ว มีเพียงอยู่ในสายตานางจึงวางใจได้ จึงจะสามารถเห็นคนชั่วผู้นั้นไร้ผู้สืบทอด ต้วนซื่อ เจ้าคอยดู เจ้าคอยดูข้าเถอะ
แม่นมซือเห็นท่าทีก็ถอนหายใจเบาๆ ในใจ พระชายาคนก่อนกลายเป็นหนามยอกอกของพระชายาแล้ว พระชายากระวนกระวายจิกไว้ไม่ปล่อยเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะตนไม่ปล่อยวางเองหรอกหรือ นางว่า ในเมื่อเห็นคุณชายใหญ่ขวางหูขวางตา ก็แยกออกไปเสีย ไม่เห็นก็ทำอะไรไม่ได้ ไยจะต้องให้อยู่ในสายตาเพื่อสร้างความรำคาญใจให้ตนเพิ่มด้วยเล่า
แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงคนใช้ แม้ว่าจะมีสัมพันธไมตรีกับพระชายาหลายส่วน แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินพระชายาอยู่ดี!
เสิ่นเวยฝั่งนั้นก็รู้เรื่องของต้วนซื่อแม่สามีนางแล้ว
ต้วนซื่อพระชายาจิ้นอ๋องคนก่อนนามว่าเฉินสุ่ย เป็นคนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพากลับมาจากการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในปีหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นบุตรสาวของสหายเก่า สหายเก่าฝากฝังไว้ก่อนตาย ปีนั้นต้วนซื่อเพิ่งจะอายุได้แปดปี
แม้ฮ่องเต้องค์ก่อนจะบอกว่าเป็นบุตรสาวของสหายเก่า แต่แทบจะไม่มีใครเชื่อข้ออ้างนี้ ต่างก็คิดว่าเป็นไข่มุกล้ำค่าในหมู่ประชาชนของฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนปฏิบัติต่อต้วนซื่อดีอย่างถึงที่สุด เงินเดือนสวัสดิการล้วนเหมือนกับองค์หญิง อีกทั้งยังมักจะเจียดเวลามาเสวยพระกระยาหารเป็นเพื่อน นี่ก็ยิ่งทำให้ทุกคนมั่นใจว่าต้วนซื่อเป็นบุตรสาวลับๆ ของฮ่องเต้องค์ก่อน
ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกแปดปี ต้วนซื่ออายุสิบหกปีแล้ว ควรจะเลือกเขยออกเรือนได้แล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนตัดใจให้นางแต่งออกจากวังไม่ได้ จึงอยากให้เลือกหนึ่งคนจากลูกชายทั้งหลายของพระองค์ ถามความคิดเห็นของต้วนซื่อ ด้วยเหตุนี้พระราชโองการหนึ่งฉบับจึงประกาศว่าต้วนซื่อเลือกจิ้นอ๋องสวีจิ่ง คิดว่ามีการดูแลของตนแล้วต้วนซื่อจะสามารถมีความสุขได้ ไหนเลยจะรู้ว่านี่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชะตาที่เศร้าโศกของต้วนซื่อ
พระราชโองการสมรสประกาศออกมา ทุกคนจึงเชื่อจริงๆ ว่าต้วนซื่อไม่ใช่บุตรสาวฮ่องเต้ อิจฉา
จิ้นอ๋องที่โชคดีอย่างอดไม่ได้ มีภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทผู้นี้ ก็เท่ากับได้รับความช่วยเหลือที่ใหญ่อย่างยิ่ง!
ทว่าจิ้นอ๋องสวีจิ่งที่ถูกคนอิจฉาริษยาโกรธเกลียดกลับตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า เพราะเขามีนางในใจอยู่ก่อนแล้ว กำลังรอโอกาสที่เหมาะสมจะเอ่ยต่อพระบิดา พระราชโองการสมรสฉบับนี้ประกาศออกมาก็โจมตีเขาจนมึนงง
นางในใจของจิ้นอ๋องก็คือซ่งหลินหลาง บิดานางคืออธิการบดีประจำสำนักราชบัณฑิตหลวง ว่ากันตามเหตุผลในด้านฐานะก็คู่ควรกับจิ้นอ๋องแล้ว เหตุใดจิ้นอ๋องถึงไม่กล้าเอ่ยต่อฮ่องเต้องค์ก่อนเสียที นั่นก็เพราะว่าสองปีก่อนอธิการบดีซ่งป่วยตาย หนึ่งคือซ่งหลินหลางยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ สองคือหลังจากอธิการบดีซ่งป่วยตายฐานะของซ่งหลินหลางก็ไม่ค่อยคู่ควรกับจิ้นอ๋องแล้ว
และเพราะว่าจิ้นอ๋องรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อเขาไม่อาจตอบรับง่ายๆ จึงไม่กล้าเอ่ยปาก ดังนั้นจึงมีพระราชโองการสมรสฉบับนี้ขึ้นมา
พูดได้ว่าจิ้นอ๋องสวีจิ่งผู้นี้ไม่ใช่คนที่มีความรับผิดชอบ แม้จะคิดถึงซ่งหลินหลาง แต่กลับไม่มีความกล้าพอจะคัดค้านพระราชโองการ แม้แต่จะอธิบายกับพ่อเขาเรื่องนางในใจยังไม่กล้า ทุกวันเอาแต่ถอนอกถอนใจดื่มสุราคลายทุกข์
เป็นเช่นนี้ ต้วนซื่อยกขบวนสินสอดสิบลี้แต่งเป็นพระชายาจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องปฏิบัติต่อนางไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่นับว่าแย่มาก ครึ่งปีผ่านไป ต้วนซื่อตั้งครรภ์ ฮ่องเต้องค์ก่อนดีใจยิ่งนัก ของขวัญส่งไปที่พระชายาจิ้นอ๋องราวกับสายน้ำ ทั้งยังทรงมีพระเมตตาให้จิ้นอ๋องเข้าไปฝึกงานในกรมพระคลังเป็นพิเศษ นี่แทบจะทำให้พี่น้องทั้งหมดของจิ้นอ๋องอิจฉาตาร้อน แม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิยงเซวียนในปัจจุบันพี่ชายแม่เดียวกันของเขาก็ยังเจ็บปวดใจ
ใครจะรู้จิ้นอ๋องผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์ ช่วงที่ต้วนซื่อตั้งครรภ์ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รื้อฟื้นรักในอดีตกับซ่งหลินหลางผู้นั้น ซ้ำยังมีความสัมพันธ์ลับๆ ตอนที่ต้วนซื่อตั้งครรภ์ได้หกเดือน ซ่งหลินหลางก็ใกล้จะตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว
ตอนที่เรื่องนี้แดงขึ้นมา ทุกคนตกตะลึง ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพิโรธ ต้วนซื่อแพ้ท้องกะทันหัน หากไม่ใช่ว่าหมอหลวงมาทันเวลา เกรงว่าทารกในครรภ์ก็คงจะไม่รอด
ไม่รู้ว่าท่านจิ้นอ๋องลุ่มหลงอยู่ที่ใด จะเป็นจะตายก็ต้องแต่งซ่งหลินหลางเข้าจวนเป็นชายารองให้ได้ ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพิโรธ หากไม่ใช่ว่าเป็นลูกแท้ๆ ของเขาเขาก็คงจะให้คนลากออกไปฟันทิ้งแล้ว เขาไม่ได้คัดค้านไม่ให้ลูกชายแต่งชายารอง แต่ก็ไม่อาจใช้วิธีนี้ได้ ท้องก่อนแต่ง เห็นได้ถึงนิสัยของซ่งหลินหลางผู้นั้น เดิมเขาคิดจะประหารชีวิตซ่งหลินหลางให้สิ้นเรื่อง แต่จิ้นอ๋องยืนกรานจะปกป้อง ซ้ำยังโวยวายว่าหากซ่งหลินหลางเป็นอะไรไปเขาก็จะไม่อยู่เช่นเดียวกัน แม้ฮ่องเต้องค์ก่อนจะเป็นกษัตริย์ แต่ก็ทนเห็นลูกชายไปตายไม่ได้ ภายใต้ความโกรธจึงถือโอกาสไม่สนใจ ตรัสเพียงแค่ ‘ซ่งหลินหลางจะไม่ตายก็ได้ แต่ไม่อาจแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องด้วยฐานะชายารองได้เป็นอันขาด เป็นได้เพียงอนุภรรยาเท่านั้น’
ฐานะอนุภรรยาต้อยต่ำยิ่งนัก ซ่งหลินหลางย่อมไม่ยอม นางทุ่มเทความคิดไม่ใช่เพื่อที่จะไปเป็นอนุภรรยาต้อยต่ำคนหนึ่งในจวนจิ้นอ๋อง เดิมนางก็พุ่งไปยังตำแหน่งพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว นางคิดคำนวณมาดีแล้ว ต้วนซื่อตั้งครรภ์ได้หกเดือน ครรภ์เองก็ไม่ค่อยดี มีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถคร่าได้สองชีวิต น่าเสียดายที่นางโชคดี คาดไม่ถึงว่ารอดพ้นไปได้
ซ่งหลินหลางด้านหนึ่งก็เสแสร้ง อีกด้านหนึ่งก็ถ่วงเวลาเข้าจวนอ๋อง นางรู้ดีแก่ใจ ขอเพียงแค่นางเข้าจวนอ๋องในฐานะอนุภรรยา เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของนางก็จบเห่แล้ว นางจะยอมได้อย่างไร
ภายใต้น้ำตาและการโจมตีอย่างอ่อนโยนของซ่งหลินหลาง จิ้นอ๋องที่เดิมลุ่มหลงอยู่แล้วก็ยิ่งเสียสติ คาดไม่ถึงว่าบีบบังคับต้วนซื่อ บีบให้นางไปขอฮ่องเต้อง์ก่อน อนุญาตให้ซ่งหลินหลางเข้าจวนด้วยฐานะชายารอง ต้วนซื่อมีนิสัยอ่อนแอ แต่นางกลับไม่โง่ จะไปขอฮ่องเต้องค์ก่อนได้อย่างไร
จิ้นอ๋องที่อับอายจนโมโหก็ผลักต้วนซื่อหนึ่งครา ชนกำแพงพอดี ตอนนั้นทารกในท้องนางกำลังจะเก้าเดือน เมื่อกระแทกเช่นนี้ ก็ตกเลือดทันที ทรมานอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนคลอดคุณชายใหญ่ออกมาก่อนกำหนด เสียงร้องไห้นั้นอ่อนแอยิ่งกว่าลูกแมวด้วยซ้ำ
หมอหลวงวินิจฉัย คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอเพราะคลอดก่อนกำหนด ภายในร่างกายยังมีสารพิษอีกด้วย ต้วนซื่อที่เดิมก็หมดไปครึ่งชีวิตแล้วได้ยินดังนั้นก็ยิ่งถูกโจมตีอย่างหนัก ไม่กี่วันก็ลาโลกไป
ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพิโรธอีกครั้ง ตรวจสอบคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายต้วนซื่อตรวจแล้วตรวจอีกก็ตรวจหาอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยสงสัยซ่งหลินหลาง เพียงแต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เคยคบค้าสมาคมกับ
ต้วนซื่อเลย ไม่มีหลักฐานจะจับนางได้อย่างไร
ว่ากันตามเหตุผลต้วนซื่อเองก็นับว่าเสียชีวิตเพราะซ่งหลินหลาง ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ยิ่งไม่อนุญาตให้นางเข้ามาในราชวงศ์แล้ว แต่ไม่ใช่ว่ายังมีคนปัญญาอ่อนที่ลุ่มหลงในความรักผู้นั้นอย่างจิ้นอ๋องอยู่หรือ จะเป็นจะตายก็โวยวายจะแต่งนางในฐานะชายาเอกให้ได้ บวกกับในท้องซ่งหลินหลางก็มีทายาทของราชวงศ์อยู่ ทุกคนก็ช่วยกันร้องขอ ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ประนีประนอม
ได้ เจ้าอยากแต่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็แต่งสิ! เพียงแต่ชั่วชีวิตนี้ซ่งหลินหลางอย่าได้คิดจะเข้าพระราชวัง หมายความว่าซ่งหลินหลางมีเพียงชื่อพระชายาจิ้นอ๋องเท่านั้น แต่ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเทศกาลงานเลี้ยงฉลองทั้งหมดของราชวงศ์
เจ้าจิ้นอ๋องรู้จักซ่งหลินหลางดีไม่ใช่หรือ ได้ ทำให้เจ้าสมปรารถนา งานในกรมพระคลังก็ไม่ต้องทำแล้ว กลับจวนจิ้นอ๋องของเจ้าไปอยู่กับดวงใจของเจ้าเถอะ แม้ว่าข้าจะทำให้เจ้าตายไม่ได้ แต่เจ้าก็อย่าได้ออกมาขวางหูขวางตาข้า ข้ามีลูกเยอะ ขาดเจ้าคนเดียวก็ไม่เป็นไร