ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 221-2 กลับบ้าน

“ภรรยาโย่วเอ๋อร์ช้าก่อน” พระชายาจิ้นอ๋องรีบสั่งคนไปห้าม “มีอะไรก็พูดกันดีๆ ดูสิทำเสด็จพ่อของพวกเจ้าโมโหแล้ว! ในเมื่อภรรยาโย่วเอ๋อร์คิดว่าแม่จัดการไม่เหมาะสม เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจัดการเช่นไรจึงจะเหมาะสม”

 

 

เสิ่นเวยหยุดฝีเท้าด้วยความลังเลใจ คล้ายกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว กล่าว “หากเป็นจวนจงอู่โหวของพวกข้าทำความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงเช่นนี้แล้วจะต้องโบยยี่สิบครั้งก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยขายทั้งครอบครัวออกไป บ่าวที่ไม่จงรักภักดีทำงานไม่ตั้งใจเช่นนี้ จวนจงอู่โหวของพวกข้าไม่ใช้เป็นอันขาด”

 

 

“นี่จะโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือไม่” พระชายาจิ้นอ๋องหนังตากระตุก จางอี้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด ส่งสายตาอ้อนวอนไปยังพระชายาจิ้นอ๋อง

 

 

จิ้นอ๋องเองก็เผยสีหน้าไม่เห็นด้วย ทั้งโบยทั้งขายออกไป ดูจะโหดเ**้ยมเกินไปหน่อย นี่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรมิใช่หรือ อายุแค่นี้แต่วิธีการรุนแรงเช่นนั้น ทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ!

 

 

“เสด็จพ่อเองก็คิดว่าโหดร้ายเกินไปงั้นหรือ บ่าวสมควรตายผู้นี้ได้รับความไว้ใจจากเสด็จแม่ แต่กลับสร้างความไม่เป็นธรรมให้เสด็จแม่ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ คนแบบนี้ยังเก็บไว้ในจวน คิดดูแล้วก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว วันนี้ละเลยทำผิดพลาดเรื่องของขวัญกลับบ้านของลูกได้ พรุ่งนี้ก็สามารถละเลยเชิญหมอมาล่าช้าได้ เสด็จแม่ ในท้องของน้องสามีสามตั้งครรภ์ทารกอยู่ หากเกิดการสูญเสียเพราะเหตุนี้จะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีเหตุผล “วันนี้ท่านเห็นอกเห็นใจ พรุ่งนี้เขาเองก็ได้รับอภัย จะมีชีวิตอยู่อย่างไร เพราะว่าเสด็จแม่เมตตา บ่าวรับใช้จึงเหยียบจมูกขึ้นหน้า ลืมที่ต่ำที่สูง”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องถูกเสิ่นเวยพูดถึงหมอ พูดถึงทารกในครรภ์จนตื่นตระหนกตกใจ ประหนึ่งครรภ์ของหูซื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ จิ้นอ๋องข้างๆ ก็โบกมืออย่างหงุดหงิด “พอแล้ว พอแล้ว ทำตามที่ภรรยาโย่วเอ๋อร์ว่าเถอะ โบยก็ไม่ต้องโบยแล้ว ขายออกไปให้หมดทั้งครอบครัวเถอะ”

 

 

จางอี้แข็งงทื่ออยู่บนพื้นทันที ขายออกไปทั้งครอบครัว อย่าว่าแต่ไม่มีอนาคต จะปกป้องชีวิตได้หรือไม่ยังไม่รู้เลย เขาคลานไปข้างหน้าจิ้นอ๋อง “จิ้นอ๋องโปรดไว้ชีวิต บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว พระชายาช่วยบ่าวด้วย บ่าวเพียงแค่…อื้อๆๆ…” ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนอุดปากเขาไว้พอดี เด็กรับใช้สองคนเข้ามาลากเขาออกไปแล้ว จิตใจที่เป็นกังวลของพระชายาจิ้นอ๋องก็วางลงเช่นกัน

 

 

“ขอบคุณเสด็จพ่อที่ตัดสินใจแทนลูก วันนี้ลูกยังต้องกลับบ้าน ไม่รบกวนแล้ว ลูกขอลา” เสิ่นเวยรีบทำความเคารพ เดินไปสองก้าวก็หันหน้ากลับมา กล่าวอย่างขลาดกลัว “เสด็จแม่ ของขวัญกลับบ้านยังต้องรบกวนท่านเติมให้ครบด้วย” ไม่เอาก็เสียดาย โวยวายแล้วสร้างเรื่องแล้วเพิ่มความรำคาญใจแล้ว แต่ก็ไม่อาจทิ้งของได้ นั่นล้วนแต่เป็นเงิน!

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องย่อมตอบรับเต็มปากเต็มคำ

 

 

สวีโย่วกับเสิ่นเวยออกไปแล้ว จิ้นอ๋องก็หันหน้ากลับมามองพระชายา คิ้วก็ขมวดขึ้นมาอีกครั้ง “หากเจ้าเหนื่อยเกินไป ก็ให้เสิ่นซื่อกับอู่ซื่อแบ่งเบาภาระเจ้าไปสักหน่อยก็ได้ หูซื่อไม่ใช่ตั้งท้องอยู่หรือ เจ้าดูแลนางให้มากหน่อย” เขาห่วงใยท้องนี้ของหูซื่อเป็นอย่างมาก เขามีลูกชายห้าคน แต่ไม่มีสักคนที่ให้หลานชายแก่เขาได้ อย่าว่าแต่หลานชาย แม้แต่หลานของอนุภรรยายังไม่มีเลยสักคนเดียว เห็นจวนอ๋องตระกูลอื่นอุ้มหลานแล้ว เขาก็ร้อนใจยิ่งนักรู้หรือไม่

 

 

หัวใจของพระชายาจิ้นอ๋องจมดิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องแสดงออกต่อนางว่าไม่พอใจ อู่ซื่อเองก็ไม่เป็นไร แต่เสิ่นซื่อ นางไม่มีทางให้นางสอดมือเข้ามาดูแลเรื่องในจวนอ๋องแน่นอน

 

 

ด้วยเหตุนี้นางจึงลูบหน้าผากกล่าว “ข้าเชื่อฟังท่านอ๋อง” จากนั้นก็ถอนหายใจกล่าว “ช่วงนี้ข้าอาจจะเหนื่อย มักจะรู้สึกว่ากำลังวังชาไม่เต็มที่เหมือนเมื่อก่อน อู่ซื่อกลับมีความสามารถ ช่วยข้าจัดการเรื่องในจวนมาโดยตลอด เสิ่นซื่อใช่อายุน้อยไปหน่อยหรือไม่ สอดมือเข้ามาจัดการงานในจวนอย่างประมาทจะไม่ค่อยเหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งพวกเขาเพิ่งจะแต่งงาน กำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน อีกสักสามเดือนค่อยให้เสิ่นซื่อมาเรียนรู้ข้างกายข้าก็ได้” นางกระทั่งยืดเวลาออกไปหลังสามเดือน

 

 

จิ้นอ๋องคิดๆ ดูแล้วช่วงนี้จวนอ๋องก็จัดงานมงคล พระชายาคงลำบากจริงๆ จึงไม่ได้ตำหนินางอีก “เรื่องนี้เอาตามที่พระชายาเห็นชอบเถอะ เพียงแค่อย่าให้เกิดการสะเพร่าเช่นนี้อีก” จิ้นอ๋องไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้ เขาเอ่ยถึงเสิ่นเวยได้ก็เพียงแค่พูดไปตามใจปาก ขอเพียงไม่เอาเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมารบกวนเขา เขาก็ขี้เกียจจะสนใจ

 

 

หลังจิ้นอ๋องออกไปแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องก็รีบเรียกแม่นมซือเข้ามา “แม่นมรีบไป สืบมาว่าครอบครัวจางอี้ถูกขายไปที่ใด ซื้อพวกเขาไว้เงียบๆ ให้พวกเขาไปอยู่ที่หมู่บ้านชานเมืองของข้าก่อน” หลายปีมานี้จางอี้ทำงานแทนนางไม่น้อย ขายออกไปเช่นนี้นางไม่วางใจ

 

 

เสิ่นเวยเองก็สั่งเย่ว์กุ้ย “หาคนซื้อครอบครัวจางอี้ไว้” ลางสังหรณ์บอกนางว่าจางอี้ผู้นี้น่าจะมีประโยชน์เล็กน้อย

 

 

ครั้งนี้แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรพระชายาจิ้นอ๋องได้ เพียงแค่อาศัยเรื่องนี้ก็ไม่อาจทำอะไรนางได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ดอกผลเลย อย่างน้อยก็ตัดกำลังของนางไปได้หนึ่งคน

 

 

ณ จวนจงอู่โหว สวี่ซื่อตื่นแต่เช้ามาจัดการงาน เสิ่นหงเหวินสามพี่น้องก็ลางานรอเขยคนใหม่มาเยี่ยมบ้านอยู่ในจวน เสิ่นเจวี๋ยเองก็หยุดเรียน วิ่งไปหน้าประตูใหญ่ไม่หยุด ชะเง้อคอยาว นายท่านผู้เฒ่าโหวสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ของเขา แม้ใบหน้าจะเรียบเฉย อันที่จริงในใจกลับร้อนรนอยู่นานแล้ว หากไม่ใช่ว่าห่วงศักดิ์ศรี เขาเองก็คงอยากจะออกไปรออยู่นอกประตูใหญ่อย่างยิ่ง

 

 

เสิ่นซวง เสิ่นอิงและเสิ่นเสวี่ยเองก็จูงมือสามีกลับจวนโหวอยู่ก่อนแล้ว ในหมู่พวกนางพี่น้องมีเสิ่นเวยที่แต่งงานดีที่สุด ท่านเขยสี่ผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง แต่ยังเป็นจวิ้นอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ บ้านสามีของเสิ่นซวงและคนอื่นๆ ต้องการให้ลูกชายของตนมีความสัมพันธ์อันดีกับคนผู้นี้ แม้แต่หย่งหนิงโหวที่ยึดมั่นในคุณธรรมที่สุดยังสั่งสอนลูกชายว่า ‘พวกเจ้าเป็นสามีของพี่สาว ต้องสนิทสนมกันไว้จึงจะถูก’

 

 

ทว่าในใจเว่ยจิ่นอวี้ก็รู้สึกอึดอัด อย่างไรเสียนั่นก็เคยเป็นคู่หมั้นของเขา จิตใจที่คลุมเครือเช่นนี้ก็ไม่มีทางเอ่ยปาก เขาทำได้เพียงมาที่จวนจงอู่โหวด้วยความไม่สบายใจทั้งใจ

 

 

“มาแล้ว มาแล้ว คุณหนูสี่กับท่านเขยสี่ใกล้มาถึงหน้าประตูแล้ว” มีเด็กรับใช้ตะโกนด้วยความดีใจ

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวลุกขึ้นยืนทันที บนใบหน้ามีความตื่นเต้นแวบผ่าน กำลังจะเดินออกไปข้างนอก จากนั้นจึงได้สติกลับมา จึงแสร้งจัดระเบียบเสื้อผ้า ไอเบาๆ หนึ่งคราสั่ง “เจวี๋ยเอ๋อร์วิ่งไปไหนอีกแล้ว ยังไม่รีบไปรับพี่สาวเขาอีก”

 

 

ทหารอาวุโสคนสนิทข้างๆ ก้มหน้ากลั้นหัวเราะ “นายท่านผู้เฒ่าโหววางใจ คุณชายห้าไปต้อนรับคุณหนูสี่นานแล้ว อ้อ ยังมีท่านเขยสี่ด้วย”

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวถลึงตาใส่ ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง เอ่ยถึงเด็กคนนั้นทำไม หากจะบอกว่านายท่านผู้เฒ่าไม่ชอบหน้าใครมากที่สุด ก็คงจะเป็นหมาป่าดุร้ายตัวนี้ที่คาบหลานสาวแสนดีของเขาไปผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

“ท่านพี่!” เห็นรถม้ามาแต่ไกล เสิ่นเจวี๋ยก็วิ่งเข้าไปทันที ร้องตะโกนด้วยความดีใจ

 

 

“น้องเจวี๋ย” เสิ่นเวยมองเห็นน้องชายก็มีความสุขอย่างถึงที่สุดเช่นกัน ถือโอกาสลงรถม้าทันที

 

 

สวีโย่วเองก็ตามมาแล้ว เสิ่นเจวี๋ยเรียกเสียงหวานหนึ่งครา “พี่เขย”

 

 

สวีโย่วที่เดิมยังหึงอยู่เล็กน้อยได้ยินคำว่าพี่เขยสองคำคิ้วก็เลิกขึ้นทันที “น้องเจวี๋ยวันนี้ไม่ไปโรงเรียนหรือ”

 

 

“ไม่ไป ข้าขออาจารย์หยุด วันนี้ท่านพี่กลับบ้าน” เสิ่นเจวี๋ยตอบอย่างซื่อสัตย์ มองดูสีหน้าพี่สาวเขาก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “การบ้านที่สั่งไว้ข้าจะทำตอนกลางคืน”

 

 

เสิ่นเวยยิ้ม เดิมคิดจะลูบศีรษะเขา เปลี่ยนความคิดในชั่วขณะ เปลี่ยนเป็นตบบ่าของเขาแทน “ไม่ต้องบีบบังคับตัวเองเกินไป เรียนให้สมดุลกับพักผ่อนจึงจะถูก” สั่งสอนจอมอันธพาลลูกคุณหนูให้กลายเป็นเด็กเรียนเก่งอย่างตอนนี้ได้ เสิ่นเวยทั้งภูมิใจทั้งดีใจ

 

 

ประตูกลางจวนจงอู่โหวเปิดกว้าง สองฝั่งประตูใหญ่แขวนโคมแดงสีสดไว้สูง เสียงประทัดทั่วฟ้าดังขึ้นมา สองข้างประตูใหญ่มีคนรับใช้ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย “เคารพคุณหนูสี่และท่านเขยสี่” เสียงดังพร้อมเพรียงและดีอกดีใจ

 

 

สวีโย่วและเสิ่นเวยก้าวเข้าไปในจวนโหว หลีฮวานำคนโปรยเงินรางวัล กระเป๋าเงินใบเล็กที่งามประณีตของแต่ละคน ข้างในบรรจุก้อนเงินที่เป็นรูปถั่วลิสงน้ำเต้าต่างๆ ทำให้ทุกคนดีใจอย่างยิ่ง ต้องรู้ว่ากระเป๋าเงินใบเล็กนี้ราคาเท่าเงินเดือนสองเดือนของพวกเขา

 

 

จงอู่โหวเสิ่นหงเหวินสามพี่น้องก็ออกมาต้อนรับเช่นกัน ว่ากันตามเหตุผลพวกเขาต่างก็เป็นผู้อาวุโส สงบจิตใจรออยู่ในห้องหนังสือก็ได้ แต่จะทำอย่างไรเมื่อสวีโย่วฐานะสูง เสิ่นหงเหวินก็มีนิสัยรอบคอบ ไตร่ตรองอยู่ครึ่งวันก็ยังคงตัดสินใจออกมาต้อนรับ

 

 

มีเพียงนายท่านผู้เฒ่าโหวแค่นเสียงขึ้นจมูก เด็กคนนั้นเป็นชินอ๋อง แต่ก็อย่าได้คิดว่าเขาจะถูกชะตาเลย

 

 

สวีโย่วไปเคารพนายหญิงผู้เฒ่าที่เรือนซงเฮ่อกับเสิ่นเวยก่อน จากนั้นก็ถูกเด็กรับใช้พาไปเรือนนอก

 

 

เหล่าสตรีรวมตัวกันสนทนาอยู่ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่า หลังทำความเคารพเสร็จแล้ว สวี่ซื่อก็มองประเมิณสีหน้าการแต่งตัวของเสิ่นเวย “เวยเอ๋อร์สบายดีหรือไม่” เดิมนางอยากถามว่าท่านเขยปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่ แต่คนเยอะเกินไปจึงไม่ได้ถาม แต่ว่าดูจากสีหน้าของหลานสาวก็รู้คำตอบแล้ว

 

 

เสิ่นเวยยิ้มพลางพยักหน้า “ดียิ่งนัก เพียงแต่จวนโหวของพวกเขา ตอนที่อยู่บ้านก็ไม่รู้สึก จากไปแค่คืนเดียวก็คิดถึงจนร้อนใจแล้วจริงๆ”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่ซื่อก็ยิ่งกว้าง “สตรีที่เพิ่งแต่งงานคนใดบ้างไม่คิดถึงบ้าน เจ้าลองถามพี่รองและคนอื่นๆ ของเจ้าดู ค่อยๆ คุ้นชินประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

 

 

“ถูกต้อง เพิ่งจะกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จข้าก็อยากกลับบ้านแล้ว” เสิ่นซวงยิ้มกล่าว มองประเมิณเสิ่นเวยตั้งแต่บนลงล่างรอบหนึ่ง กล่าวหยอกล้อ “ดูจากสีหน้าน้องสี่ก็รู้แล้วว่าใช้ชีวิตในจวนจิ้นอ๋องดีอย่างยิ่ง น้องเขยสี่ดูแลเจ้าดีมากใช่หรือไม่”

 

 

หวังว่าเสิ่นเวยจะเขินอายงั้นหรือ นั่นเป็นไปไม่ได้ นางตายิ้มถามกลับ “พูดราวกับว่าพี่เขยรองดูแลท่านไม่ดี เมื่อครู่ข้าเห็นหมดแล้ว พี่เขยรองยังพยุงท่านเดินด้วย ใช่…?” ดวงตาของนางมองไปที่ท้องของเสิ่นซวง

 

 

ใบหน้าของเสิ่นซวงแดงขึ้นทันที “เจ้ามันร้ายกาจจริงๆ เด็กแสบ” นางมองท้องน้อยๆ ของตนด้วยสายตาอ่อนโยน แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่ากับสวี่ซื่อดีใจทั้งใบหน้าพร้อมกัน “ซวงเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วหรือ นานเพียงใดแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงปิดบังไม่พูด หู่พั่ว รีบไปเอาเบาะพิงมาให้กูไหน่ไนรองพิง”

 

 

เสิ่นซวงอมยิ้ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยรสชาติแห่งความสุข “ท่านย่า ท่านแม่ เพิ่งจะเดือนเดียวเอง อายุเดือนยังน้อย”

 

 

ทว่านายหญิงผู้เฒ่ากลับทำหน้าดุ “สามเดือนแรกอ่อนแอที่สุดแล้ว เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้กล้าหาญเพียงนั้น ตั้งท้องแล้วยังวิ่งไปไหนต่อไหน วันนี้เจ้าห้ามไปไหนทั้งสิ้น พักอยู่ในห้องย่าก็พอ”

 

 

สวี่ซื่อเองก็กล่าว “ใช่ ฟังย่าเจ้าไม่ผิดแน่ เจ้าเด็กคนนี้ หรงเอ๋อร์เองก็เหมือนกัน ตามใจเจ้าเช่นนี้” นางคิดๆ ดูแล้วก็ยังคงหวาดกลัวเล็กน้อยจริงๆ หากไม่ใช่ว่าเวยเอ๋อร์เปิดโปง เด็กคนนี้ก็ยังคิดจะปิดบังพวกนางอยู่ อดถลึงตาใส่ลูกสาวอย่างแรงไม่ได้

 

 

“ยินดีกับพี่รองด้วยจริงๆ วันนี้จวนโหวของพวกเรามีเรื่องมงคลสองเรื่องมาถึงบ้านเลย” เสิ่นเวยยกยิ้มกล่าว ยื่นมือลูบท้องของเสิ่นซวงเบาๆ ครู่หนึ่ง “พี่รองท่านต้องบำรุงดีๆ พยายามคลอดหลานชายอ้วนพีให้ข้า”

 

 

หนึ่งประโยคสร้างเสียหัวเราะของทุกคนขึ้นมา มีเพียงเสิ่นเสวี่ยที่สายตาน่าสะพรึงกลัว แค่นเสียงเบาๆ หนึ่งครา เสิ่นเวยย่อมได้ยินแล้ว นางอดทนไม่กลอกตาขาว กระทั่งคิดว่านางเป็นอากาศ วันนี้อารมณ์ดี ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับนาง

 

 

สวี่ซื่อที่อยู่ใกล้เสิ่นเสวี่ยก็ได้ยินแล้วเช่นกัน แม้ในใจจะไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่นิดเดียว หลานสาวคนนี้ไม่มีเหตุผล วันมงคลใหญ่จะสนใจนางทำไม

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset