ในใจสวีโย่วตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ปีนกำแพงมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดวันนี้ก็สามารถยืนอยู่ในห้องนอนของน้องสี่ได้อย่างเปิดเผยแล้ว โดยเฉพาะวันเหล่านั้นหลังนายท่านผู้เฒ่ากลับจวน มาตรการป้องกันของจวนจงอู่โหวก็เข้มงวด หากไม่ใช่ว่าวิชาตัวเบาของเขาดี ก็คงจะถูกนายท่านผู้เฒ่าโหวจับได้แล้ว เฮ้อ ไม่คิดแล้ว ล้วนแต่เป็นน้ำตาแห่งความเศร้า!
เข้าไปในห้องนอนแล้วสวีโย่วก็มองประเมิณด้วยความสนใจ มาก็มาหลายครั้งแล้ว แต่ล้วนเป็นกลางคืน มืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงไฟ อีกทั้งตอนนั้นในสายตาเขายังมองเห็นเพียงน้องสี่แซ่เสิ่น ไหนเลยจะสนใจเครื่องเรือนที่จัดวางอยู่ภายในห้อง
ม่านไหมบางสีฟ้าหลังฝนทอลายดอกไม้ใบหญ้า ข้างเตียงมีโต๊ะเครื่องแป้งไม้หวงฮวาหลีหนึ่งตัว ข้างบนมีหนังสือที่เปิดอยู่หนึ่งเล่มสามารถหยิบมาได้ทันที ราวกับวันเจ้าของเพียงแค่ออกไปชั่วคราวประเดี๋ยวก็กลับมา
สวีโย่วเดินอยู่ภายในห้องหนึ่งรอบ ทันใดนั้นใจก็เต้น วิ่งตรงไปยังใต้หมอนบนเตียงใหญ่ เปิดหมอนที่มีกลิ่นหอมออกแต่กลับพบว่าข้างใต้ไม่มีอะไร จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่หยอกล้อของเสิ่นเวยข้างหลัง “ท่านหานี่อยู่หรือ”
ในมือของเสิ่นเวยถือเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ มือซ้ายมือขวาโยนไปมาเช่นนี้ ส่งเสียงกระทบที่กังวานออกมา
สวีโย่วหันตัวทันที ทำให้เสิ่นเวยหัวเราะคิกคัก เหรียญทองแดงเหล่านี้ถูกนางใช้เป็นอาวุธกับสวีโย่ว ไม่รู้ว่าแตะโดนตัวเขามากี่ครั้งแล้ว
“เจ้าวางพวกมันไว้ที่ไหน รีบเก็บขึ้นมา” ที่สวีโย่วคิดกลับเป็นความสัมพันธ์ของเหรียญทองแดงกับการแต่งอนุภรรยา ความคิดแวบขึ้นมา กล่าวถาม “หากข้าแต่งอนุภรรยาจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร”
ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบครู่หนึ่ง “ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่าขึ้นอยู่กับเหรียญทองแดง”
“เอาความจริง” สวีโย่วสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ ผู้หญิงคนอื่นแม้ว่าในใจจะไม่พอใจที่สามีแต่งอนุภรรยา แต่กลับไม่กีดกันเช่นนาง บางคนกระทั่งแต่งหน้าสาวใช้ข้างกายส่งให้สามีด้วยตัวเอง เด็กน้อยคนนี้กลับดี ไม่เพียงแต่จะฆ่าอนุภรรยา แม้แต่เขาก็ยังไม่ปล่อย ขี้หึงมากจริงๆ! แต่ว่าเขาชอบ!
“ความจริงหรือ” เสิ่นเวยกลอกตาขาว กล่าว “จะฆ่าพวกท่านจริงๆ ก็คงจะไม่ได้ อย่างไรเสียอนุภรรยาก็ไม่มีความผิด ตัวต้นเหตุคือท่าน ฆ่าท่านกลับยังพอจะเป็นไปได้ แต่ว่าผลที่ตามมารุนแรงเล็กน้อย หรือจะแขวนท่านบนต้นไม้ ข้าไม่เชื่อว่าเดินทางไกลทั่วพันหุบเขาหมื่นย่านน้ำจะหาคนที่หน้าตาดีกว่าท่านไม่เจอ”
หลังจากนั้นก็จ้องมองสวีโย่วอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าว “แต่ว่าก่อนจะไปข้าจะตอนต้นเหตุความชั่วร้ายของท่าน ท่านก็รู้ว่าข้ามีนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบเช่นนี้ คอยดูท่านไร้ทายาทสืบทอด ส่วนข้าก็โอบชายหนุ่มซ้ายขวาอยู่ข้างนอก เท่านั้นข้าก็มีความสุขแล้ว”
สวีโย่ว “อย่าแม้แต่จะคิด” คิดจะทิ้งเขาไปมีชีวิตอิสระงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
“ชีวิตนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว คิดจะทิ้งข้าหรือ หึ รีบเก็บความคิดเหลวไหวนี้ไปเสีย” สวีโย่วกล่าวขู่
เสิ่นเวยถลึงตามองเขาแล้วพูด “ก็ท่านถามข้าไม่ใช่หรือ ข้าเพียงแค่พูดความคิดจริงๆ ที่อยู่ในใจออกมา มีอะไรผิดหรือ รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ท่านหนักจะตายอยู่แล้วรู้ตัวหรือไม่ ยั่วโมโหข้า หึ แม้ว่าข้าจะไม่ชอบปัญหาวุ่นวาย แต่ถ้าปัญหามาหาเองข้าก็ไม่กลัวเหมือนกัน” เสิ่นเวยกางกรงเล็บขู่กลับ
กระทั่งยามเซิน หมดหนทางจะถ่วงเวลาแล้วเสิ่นเวยจึงจากไปพร้อมสวีโย่วด้วยความอาลัยอาวรณ์ เสิ่นเจวี๋ยวิ่งตามหลังรถม้าออกไปไกล เสิ่นเวยเปิดม่านมองไปข้างหลัง ไม่รู้เหตุใดความรู้สึกถึงได้เศร้าโศก ราวกับในใจถูกยัดอะไรบางอย่างไว้ อึดอัดอย่างถึงที่สุด
สวีโย่วเห็นนางไม่มีความสุข ก็กล่าวปลอบ “อยู่ไม่ไกลมาก ตัวข้าเองก็ไม่มีงาน เจ้าอยากกลับเมื่อไรข้าจะกลับมาเป็นเพื่อนเจ้า” เห็นเด็กคนนี้กระโดดโลดเต้นจนชิน พอเห็นนางนิ่งเงียบไม่มีความสุขเช่นนี้ สวีโย่วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก
เสิ่นเวยได้ยินแล้วในใจก็สบายอย่างยิ่ง แต่ปากกลับกล่าว “ด้วยนิสัยสร้างความลำบากใจให้คนอื่นอย่างแม่เลี้ยงของท่าน จะปล่อยพวกเราออกจากจวนง่ายๆ สิแปลก”
“วางใจ” นางยุ่งได้ไม่เยอะเพียงนั้นหรอก” สวีโย่วกล่าวอย่างสบายๆ ไม่ได้เห็นพระชายาจิ้นอ๋องอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว
ดวงตาของเสิ่นเวยลุกวาวในชั่วขณะ พี่ชายจะเปลี่ยนมาเดินบนเส้นทางเจ้านายเผด็จการแล้วหรือ ฮ่าๆ ข้าชอบนัก
“เช่นนั้นพวกเราตกลงกันแล้วนะ ท่านต้องพาข้าออกจวนไปเล่นบ่อยๆ” เสิ่นเวยดึงแขนเสื้อของสวีโย่วพูดอย่างร้อนใจ ก่อนหน้านี้ที่จวนโหวนางอยากออกจวนเมื่อไหรก็ออกจวนเมื่อนั้น
สวีโย่วละสายตามอง กล่าวอย่างแฝงความนัย “ขอเพียงแค่เจ้าทำให้ข้าพอใจ ข้าย่อมทำให้เวยเวยพอใจแน่นอน”
เสิ่นเวยไม่เข้าใจก่อน เมื่อสบสายตาของสวีโย่ว ชั่วขณะก็โมโหอย่างถึงที่สุด เจ้านายเผด็จการอะไร เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนหน้าไม่อายต่างหาก
ให้ตายเถอะ หรือว่านี่จะเป็นอาการตกหลุมรักหัวปักหัวปำในคำเล่าลือ มิเช่นนั้นเหตุใดหมอนี่ถึงได้คิดแต่เรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน
กลับไปถึงจวนจิ้นอ๋อง เสิ่นเวยก็ไปที่เรือนพระชายาจิ้นอ๋องก่อน เป็นถึงลูกสะใภ้ นี่คือมารยาทที่จำเป็นต้องทำ เสิ่นเวยไม่อยากถูกคนจับจุดอ่อน
พระชายาจิ้นอ๋องถามด้วยความเป็นมิตรพักหนึ่ง รู้ว่าพี่รองของเสิ่นเวยตั้งครรภ์ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้าง “ช่างมีวาสนาจริงๆ ภรรยาโย่วเอ๋อร์ก็ตั้งใจให้มากๆ รีบมีทายาทให้โย่วเอ๋อร์ในเร็ววัน”
เพิ่งจะแต่งงาน พระชายาจิ้นอ๋องก็เอ่ยถึงทายาทแล้ว รีบเกินไปหน่อยหรือไม่ ความคิดแวบเข้ามาในใจเสิ่นเวย หน้านางแดงเขินอาย “เสด็จแม่อย่าหยอกล้อลูกสิเพคะ”
ท่าทางอยากจะมุดแผ่นดินหนีนั้นทำให้พระชายาจิ้นอ๋องยิ้มกว้าง จับมือของเสิ่นเวยแล้วกล่าว “ดูสิทำภรรยาโย่วเอ๋อร์เขินแล้ว อย่างไรเสียก็ยังอายุน้อย หน้าบาง มีบุตรสืบสกุลคือเรื่องใหญ่ มีอะไรให้อายหรือ ภรรยาโย่วเอ๋อร์ต้องเพิ่มแรง ให้แม่ได้อุ้มหลานคนโตในเร็ววัน”
“เสด็จแม่ ท่านพูดอะไรกัน” เสิ่นเวยกระทืบเท้าแค้นเคืองจากความเขินอาย ทำให้พระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะร่าอีกครั้ง หัวเราะไปพลางปลอบไปพลาง “เอาล่ะๆ แม่ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว”
พระชายาจิ้นอ๋องให้เสิ่นเวยอยู่กินข้าวเย็นในเรือนนาง เสิ่นเวยปฏิเสธ อย่าว่าแต่กินข้าวเลย แม้แต่น้ำชาในเรือนพระชายาจิ้นอ๋องนางยังไม่กล้าแตะ เหมือนอย่างที่ปู่นางพูด ระวังไว้ก่อนดีกว่า
เสิ่นเวยกลับไปถึงเรือน เถอจือที่อยู่เฝ้าก็เข้ามารายงาน “ฮูหยิน วันนี้ทั้งหมดเป็นปกติ เพียงแต่หลังจากที่ท่านตามคุณชายใหญ่ไปแล้วอิงเกอในเรือนฮูหยินสามก็มาพูดคุยกับบ่าว บอกว่าอยากให้บ่าวสอนเย็บปักถักร้อย แต่พูดวกไปวนมาล้วนแต่สืบถามเรื่องของท่านฮูหยิน ซ้ำยังเอ่ยถึงสินเดิมของท่าน ราวกับสนใจสินเดิมของท่านยิ่งนัก ถูกบ่าวเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงประเด็น นางสืบไม่ได้อะไร ตอนที่ไปก็คล้ายไม่พอใจหลายส่วน”
เสิ่นเวยพยักหน้า แววตาคล้ายครุ่นคิด อิงเกอเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายหูซื่อ เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดในมือนาง ฝีมือเย็บปักถักร้อยเป็นอันดับหนึ่ง มาขอให้เถาจือสอนเย็บปักงั้นหรือ เกรงว่าจะมีเจตนาอื่นมากกว่ากระมัง
สินเดิมหรือ หูซื่อสืบถามสินเดิมของนางทำไมกัน ฐานะเดิมของนางเป็นถึงจวนไหวเซียงโหว แม้จะเทียบสินสอดทองหมั้นสิบลี้ของนางไม่ได้ แต่ก็ไม่เลวแล้วเช่นกัน พระชายาจิ้นอ๋องไม่มีทางหาบ้านพ่อตาแม่ยายที่ไม่มีแรงสนับสนุนให้ลูกชายแท้ๆ ของตนแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจวนอู๋กั๋วกงฐานะเดิมของฮูหยินซื่อจื่ออู๋ซื่อหรือว่าจวนไหวเซียงโหวฐานะเดิมของหูซื่อ ในเมืองหลวงก็นับว่าร่ำรวยมีเกียรติ หูซื่อไม่ควรสายตาสั้นขนาดนี้!
“ช่างนางปะไร พวกเราไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องตลอด ไม่ต้องกลัวจะผิดใจพวกนาง อีกอย่าง คุณชายใหญ่จึงจะเป็นบุตรคนโตของภรรยาเอกในจวน พวกเราไม่ต้องกลัวพวกนาง กลับไปเจ้าไปบอกทุกคนให้หมดว่า เพียงแค่มั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมก็พอ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามฮูหยินของพวกเจ้าก็ไม่มีทางทนเห็นพวกเจ้าเสียเปรียบได้” เสิ่นเวยกำชับด้วยความเด็ดขาดอย่างถึงที่สุด
เถาจือถอนหายใจในใจอย่างโล่งอก “เจ้าค่ะ ฮูหยิน บ่าวทราบแล้ว” นางรู้ว่าฮูหยินเป็นคนเก่งที่สามารถปกป้องคนได้ แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นเรือนของพระชายาจิ้นอ๋อง ฮูหยินเพิ่งจะแต่งเข้ามา ไม่มีรากฐานใดๆ พวกนางที่เป็นบ่าวเหล่านี้เกรงว่าจะผิดใจคนอื่นสร้างความเดือดร้อนให้ฮูหยิน ตอนนี้ฮูหยินพูดเช่นนี้นางก็เข้าใจแล้ว ทำเหมือนกับที่อยู่ในจวนโหวก่อนหน้านี้แล้วกัน ไม่หาเรื่องก่อน แต่ก็ไม่อาจขลาดกลัวได้เป็นอันขาด
เสิ่นเวยไม่รู้ว่าคนที่สนใจสินเดิมของนางไม่ได้มีเพียงแค่หูซื่อคนเดียว พระชายาจิ้นอ๋องเองก็สนใจสินเดิมของนางเป็นอย่างมาก