สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยบัญชาการอย่างมีความสุข จิตใจที่ว้าวุ่นก็สงบลงในชั่วขณะ กล่าวด้วยความสำนึกผิดอย่างถึงที่สุด “เดือดร้อนเจ้าแล้ว”
เสิ่นเวยโบกมืออย่างไม่ถือสา “พูดดี พูดดี ยังดีที่ข้ามีอารมณ์จัดการ แต่ว่าคุณชายใหญ่ วันนี้มีงานให้ท่านทำ” จ้องมองข้างนอกตะโกนเสียงสูง “เจียงไป๋ เข้ามา ถือถาดอาหารนี้ นายของพวกเจ้าจะไปกินข้าวเป็นเพื่อนเสด็จพ่อ ถือโอกาสกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก”
เจียงไป๋เดินเซ แทบจะหกล้ม ฮูหยินกล้าพูดจริงๆ ระหว่างคุณชายกับท่านอ๋องไหนเลยจะมีความสัมพันธ์พ่อลูก ต่างฝ่ายต่างไม่ถูกชะตากัน เห็นหน้ากันก็ยิ่งอึดอัดใจ ราวกับเป็นคู่แค้น
เสิ่นเวยแกล้งถลึงตาใส่เจียงไป๋อย่างโหดเ**้ยม “โตตั้งเท่าไรแล้ว แม้แต่เดินยังเดินไม่เป็น เพราะว่าคุณชายใหญ่ไม่ค่อยสนิทกับท่านอ๋องนัก เลยต้องกระชับความสัมพันธ์ในแน่นแฟ้นมิใช่หรือ”
หันหน้ากล่าวกับสวีโย่วต่อ “ไปถึงเรือนนอกแล้ว เก็บหน้าตายของท่านหน่อย ท่านบอกไปว่าแต่งงานแล้ว รู้ว่าอะไรควรไม่ควรแล้ว ระลึกถึงบุญคุณสอนสั่งของเสด็จพ่อ เด็กที่ร้องไห้เป็นจึงจะมีลูกอมกินรู้หรือไม่ นั่นคือพ่อของท่าน เขาจะตีท่านตายได้หรือ ท่านก็บอกว่าค่าใช้จ่ายจวนอ๋องคับขันท่านเข้าใจได้ หากจำเป็น ในมือภรรยาท่านยังมีหมู่บ้านสินเดิมอยู่หลายหลัง หากไม่ไหวจริงๆ ก็ขายสักสองแห่งมาช่วย หลังจากนั้นก็บอกว่ากลัวเสด็จพ่อกินอาหารเที่ยงไม่ดี เลยตั้งใจเอาเงินของตัวเองมามอบให้…”
เสิ่นเวยแนะนำทีละประโยคๆ แต่เห็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ใบนั้นองสวีโย่ว นางก็ไม่อยากพูดต่อทันที “ช่างเถอะ หวังให้ท่านพูดจาอ่อนหวานพระอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตก เจียงไป๋ ถึงตอนนั้นก็ช่วยนายพวกเจ้าพูด บอกว่าคุณชายใหญ่เป็นห่วงเสด็จพ่อยิ่งนัก เพียงแต่เขินอายไม่กล้าแสดงออก หรือบอกว่าทุกครั้งที่คุณชายของพวกเราอารมณ์ไม่ดีก็จะไปเดินวนอยู่ข้างนอกเรือนท่านอ๋อง เพียงแต่กลัวเสียหน้าไม่กล้าเข้ามาต่างๆ สรุปแล้วเจ้าแสดงความสามารถตามสบาย ประโยคไหนโจมตีท่านอ๋องได้ก็พูดประโยคนั้น”
ใบหน้าของเจียงไป๋แทบจะร่วงลงมาในชั่วขณะ “ฮูหยิน นี่ นี่!” จะให้สุภาพบุรุษเช่นเขาพูดจากสะอิดสะเอียนเช่นนี้ เขาพูดไม่ออกหรอก! หากเขาพูดเช่นนี้จริงๆ คาดว่าคงจะไม่ได้โจมตีท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องต้องสะอิดสะเอียนจนขย้อนอาหารเมื่อคืนออกมาเป็นแน่
เสิ่นเวยถลึงตาหนึ่งครา “นี่อะไรของเจ้า ปกติเจ้าพูดเก่งนักไม่ใช่หรือ ช่วงเวลาสำคัญกลับทำไมได้หรือ เจ้ารู้สึกสะอิดสะเอียน เช่นนั้นท่านอ๋องก็ต้องรู้สึกสะอิดสะเอียนด้วยไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ลองคิดดูบ้าง ที่เขาทำกับนายของพวกเจ้า ข้าจะให้คุณชายใหญ่ไปแสดงความกตัญญูต่อเขาอีกหรือ ไม่มีสมอง รู้จักแต่ต่อยตี เจ้าต้องหัดเรียนด้านนี้บ้าง” เสิ่นเวยชี้ศีรษะ สั่งสอนด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
ชั่วพริบตาเจียงไป๋ก็เข้าใจแล้ว “ฮูหยิน หากท่านพูดเช่นนี้บ่าวก็เข้าใจแล้ว!” เพียงแค่ไปสร้างความรำคาญใจมิใช่หรือ ต่อให้จะสะอิดสะเอียนจนขย้อนอาหารเมื่อคืนออกมาเขาก็จะทำภารกิจให้สำเร็จ
เสิ่นเวยจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ไปเถอะ ทำให้ดี เจ้ายังไม่แต่งงานไม่ใช่หรือ หากทำดีข้าจะหาภรรยาดีๆ มาให้เจ้า” เสิ่นเวยรับปากอย่างใจกว้าง
ดวงตาของเจียงไป๋ลุกวาวในชั่วขณะ ตบอกรับปาก “ฮูหยิน บ่าวจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ท่านอย่างดี” เขามองสาวใช้ใหญ่หลายคนที่ยืนอยู่ข้างกายฮูหยิน พูดในใจ ต่อให้จะต้องขย้อนอาหารเมื่อหลายวันก่อนออกมาก็จะต้องทำงานให้ดี ภรรยา ภรรยาที่อ่อนนุ่มร้อนแรง วันทั้งวันเห็นคุณชายใหญ่แสดงความรักออกนอกหน้า พวกเขาคนโสดเหล่านี้อิจฉาจนตาร้อนผ่าวแล้ว ตอนนี้ฮูหยินเอ่ยปาก ต่อให้เป็นผามีดทะเลเพลิงเขาก็ต้องพุ่งไปข้างหน้า!
ตอนที่สวีโย่วถือถาดอาหารเดินออกไปที่เรือนนอก ไปทันจิ้นอ๋องกินข้าวเที่ยงพอดี ฟังคำรายงานของคนรับใช้ เขาก็ขมวดคิ้วตามความเคยชิน ลูกอกตัญญูผู้นี้มีเรื่องอะไรอีกแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคงวางตะเกียบลง
ตอนที่สวีโย่วเข้ามาจิ้นอ๋องก็ยิ่งประหลาดใจ ไม่ใช่อื่นใด ลูกชายคนโตที่เย็นชาจนเคยชินผู้นั้นของเขาคาดไม่ถึงว่าถือถาดอาหารอยู่
ไม่รอให้จิ้นอ๋องเอ่ยปาก สวีโย่วก็แย่งพูดขึ้นก่อน “อย่าคิดว่าลูกอยากมา ไม่ใช่เสิ่นซื่อผู้นั้นหรอกหรือ บังคับให้ลูกมาทานข้าวกับท่าน บอกว่าต้นไม้หวังอยู่นิ่งแต่สายลมกลับไม่หยุดพัก ลูกอยากเลี้ยงดูแต่พ่อแม่กลับไม่อยู่รอ ลูกเห็นท่านร่างกายแข็งแรงดี ไม่แน่ว่าอาจจะมีชีวิตอยู่นานกว่าลูกอีก”
หลายประโยคที่แข็งกระด้างยั่วโมโหจิ้นอ๋องทันที เด็กอันธพาลคนนี้ มายั่วโมโหเขาหรือ
เจียงไป๋รีบเสริม “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องอย่าได้โมโห คุณชายใหญ่พูดจาไม่เป็น อันที่จริงคุณชายใหญ่เป็นห่วงท่านยิ่งนัก พอฮูหยินใหญ่พูดเขาก็มาทันที ท่านอ๋องท่านเห็นแก่จิตใจกตัญญูของคุณชายใหญ่ก็อย่าได้โกรธเคือง” ทว่าในใจกลับตำหนิ คุณชายใหญ่ของข้า ไม่ใช่ว่าไม่ให้ท่านเปิดปากหรือ ท่านทำให้บ่าวกลัวแทบตาย!
แม้จิ้นอ๋องจะสงสัย แต่กลับไม่ได้โกรธเพียงนั้น แค่นเสียงหนึ่งครากล่าว “ไม่กล้าหวังให้เจ้ามาเป็นห่วง อย่าทำให้ข้าโมโหมากไปกว่านี้ก็พอ”
สวีโย่วเองก็แค่นเสียงหนึ่งครั้ง “ใครเป็นห่วงท่าน ล้วนแต่เป็นเสิ่นซื่อที่เรื่องมากรบเร้าจนข้าหงุดหงิด ข้าไม่ได้เป็นห่วงท่านเสียหน่อย!”
ความโกรธที่ลดลงของจิ้นอ๋องพุ่งขึ้นฉับพลัน ชี้สวีโย่วกำลังจะก่นด่า ก็เห็นสวี่โย่วส่งของชิ้นหนึ่งเข้ามา กล่าวด้วยความเย็นชา “ให้ท่าน”
“นี่คืออะไร” จิ้นอ๋องขมวดคิ้วไม่รับ
สวีโย่วโยนลงบนโต๊ะทันที “ตั๋วเงิน เสด็จลุงให้ลูกมา”
จิ้นอ๋องหยิบขึ้นมาดู เป็นตั๋วเงินห้าพันตำลึงจริงๆ ก็ยิ่งสงสัย “เสด็จลุงเจ้าให้เจ้าเจ้าก็เก็บไว้เอง ให้ข้าทำไม ข้ามีเงินเหลือใช้” เขาไม่ยอมรับว่าเบื้องลึกในใจเขามีความสุขเล็กน้อย
สวีโย่วแค่นเสียงหนึ่งครั้ง “ท่านอย่าพยายามอวดตนเลย ข้าไม่หัวเราะท่านหรอก จวนอ๋องไม่ใช่ค่าใช้จ่ายคับขันหรอกหรือ ตั๋วเงินใบนี้ท่านเก็บไว้ใช้เถอะ ล้วนแต่เป็นเสิ่นซื่อผู้นั้น บอกว่าจะขายหมู่บ้านสินเดิมมาสมทบค่าใช้จ่ายในจวน น่าขัน ลูกเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ จะใช้สินเดิมของภรรยาได้อย่างไร”
“ภรรยาเจ้าจะขายหมู่บ้านมาสททบค่าใช้จ่ายในจวนงั้นหรือ ใครบอกเจ้าว่าค่าใช้จ่ายในจวนคับขัน” จิ้นอ๋องสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์ผิดปกติแล้ว จวนอ๋องอันโอ่อ่าของเขาซอกมุมไหนบ้างที่มีเงินไม่พอใช้ ยังต้องให้สะใภ้เอาสินเดิมมาสมทบ
“พระชายาบอกไม่ใช่หรือ เงินเดือนแต่ละเรือนล้วนแต่ถูกลดมิใช่หรือ สะใภ้คนดีของท่านกลัวท่านเป็นทุกข์ใจ ยังตั้งใจไล่ข้ามาทานข้าวกับท่าน แต่ว่าดูจากสีหน้าท่าทางของท่านแล้ว ยังเกินควรจริงๆ อ้อจริงสิ เสิ่นซื่อยังออกเงินไปสั่งอาหารที่เหลาสุรามาด้วยตัวเอง คาดว่าอีกประเดี๋ยวก็น่าจะมาส่งแล้ว” สวีโย่วชายตามอง นั่งลงตรงข้ามจิ้นอ๋อง
“พระชายาสั่งลดเงินเดือนค่าใช้จ่ายเรือนพวกเจ้าหรือ” จิ้นอ๋องยังคงไม่เชื่ออย่างยิ่ง
สวีโย่วหัวเราะเยาะหนึ่งครา “ไม่เพียงแต่เรือนพวกเรา แม้แต่ทั้งเรือนเองก็เป็นเช่นนี้ เอาล่ะท่านพ่อ ท่านไม่ต้องปกปิดแล้ว พรุ่งนี้ลูกจะเข้าวัง ขอร้านค้าหมู่บ้านจำนวนหนึ่งกับเสด็จลุง จวนอ๋องยิ่งใหญ่ลดค่าใช้จ่าย ดังออกไปคงไม่น่าฟังนัก เจียงไป๋ ยังไม่รีบยกกับข้าวออกมาอีก ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเสด็จพ่อสองแก้ว”
เจียงไป๋รีบจัดโต๊ะอาหาร ยกกับข้าวข้างในออกมาวางบนโต๊ะ ความเลื่อมใสต่อคุณชายใหญ่ของพวกเขาในใจประหนึ่งสายน้ำซัดสาด ใครบอกว่าคุณชายพูดจาไม่เป็นเล่า ดูคุณชายพูดเข้าสิ ทำท่านอ๋องสำลักแทบตาย แต่กลับไม่ได้บันดาลโทสะ แต่ว่าเป็นเช่นนี้ คุณชายแย่งงานของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าฮูหยินจะยังหาภรรยาให้เขาอีกหรือไม่
จิ้นอ๋องถลึงตามองกับข้าวสี่อย่างที่วางลง ครู่ใหญ่กว่าจะพูดออก “เจ้ากับภรรยาเจ้าทานของพวกนี้หรือ”
“ใช่แล้ว!” สวีโย่วตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “เมื่อวานยังไม่ได้กิน วันนี้เป็นมื้อแรก นี่ไม่ใช่เพราะในจวนลดค่าใช้จ่ายหรอกหรือ เป็นเรื่องที่หมดหนทาง ทุกคนล้วนแต่กินได้ ลูกมีเหตุผลอะไรให้เรื่องมาก เพียงแค่ข้าวมื้อเดียว ที่ซีเจียงลูกยังเคยกินอาหารที่แย่กว่านี้อีก”
ชั่วขณะใบหน้าของจิ้นอ๋องก็เหยเกขึ้นมา คิดอยากจะบันดาลโทสะแต่กลับสะกดกลั้นไว้ สวีโย่วไม่สนใจเขา หยิบตะเกียบกินเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาตั้งใจหรือเสแสร้ง เห็นชัดๆ ว่าเป็นกับข้าวของคนใช้ แต่สวีโย่วกลับกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก ไม่รังเกียจแม้แต่นิดเดียว นี่ทำให้ใบหน้าของท่าน
จิ้นอ๋องเคร่งขรึมยิ่งขึ้น
ตอนที่กินไปได้ครึ่งหนึ่ง อาการที่สั่งไว้ที่เหลาสุราก็มาส่งแล้ว เป็นกับข้าวชุดใหญ่ที่ประณีตสี่อย่าง สวีโย่วลากข้าวสวยหนึ่งถ้วยเข้ามา ในระหว่างนั้นก็คีบอาหารให้พ่อเขาสองครา
เทียบกับลูกชายที่กินอย่างเอร็ดอร่อย จิ้นอ๋องถือชามไว้แต่กลับยากจะกลืนลง กว่าสวีโย่วจะกินข้าวเสร็จออกไปได้ จิ้นอ๋องก็เรียกบ่าวรับใช้มาสั่งเสียงเบาหลายประโยค บ่าวรับใช้พยักหน้าออกไปแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือแต่เนิ่นนานอารมณ์กลับไม่อาจสงบลงได้
ผ่านไปสองเค่อ บ่าวรับใช้ก็กลับมาแล้ว “ท่านอ๋อง”
“เป็นอย่างไร” จิ้นอ๋องกล่าวถาม
บ่าวรับใช้ผู้นั้นก้มหน้ากล่าวเสียงเบา “มีเพียงเงินเดือนค่าใช้จ่ายของเรือนคุณชายใหญ่ที่ถูกลด ที่เรือนพระชายา ท่านซื่อจื่อและคุณชายสามต่างก็เป็นปกติ ฮูหยินใหญ่เองก็สั่งคนให้สั่งอาหารข้างนอกมาจริงๆ ส่งไปที่เรือนนายทุกเรือน เรือนตนเองกลับเลือกซื้อเพียงวัตถุดิบธรรมดาๆ” ยิ่งพูดเสียงของเขาก็ยิ่งเบา แม้จะก้มหน้าแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกรธบนร่างท่านอ๋อง
“ท่านอ๋องนี่อาจจะเป็นฝีมือของบ่าวชั้นล่าง…” เขาพูดยังไม่ทันจบ จิ้นอ๋องก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกฉับพลัน เดินไปถึงหน้าประตูก็หันกลับมาอีกครั้ง กวาดแขนเสื้อปัดของบนโต๊ะทั้งหมดลงพื้น
“บ่าวหรือ บ่าวกล้าได้เพียงนี้เลยหรือ บ่าวต้องฟังนายหมดไม่ใช่หรือ” จิ้นอ๋องตะโกนด้วยความเดือดดาล
บ่าวรับใช้สะดุ้งจนใจสั่น ยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าปริปากอีก
ซ่งซื่อ เจ้าซ่งซื่อ! ครั้งก่อนภาพวาดตกปลาใต้จันทรานั้นเจ้าบอกว่าภรรยาสวีโย่วมอบให้เจ้าเอง ตนก็เชื่อ ไม่คิดว่าหันหลังกลับมานางจะปฏิบัติต่อโย่วเอ๋อร์อย่างโหดร้าย
ใช่ เขาไม่ค่อยใส่ใจโย่วเอ๋อร์นัก เพราะทุกครั้งที่เห็นเขา เขาก็จะนึกถึงต้วนซื่อที่ถูกเขาผลักล้มจนคลอดก่อนกำหนด แต่ต่อให้เขาจะไม่ใส่ใจนั่นเองก็เป็นลูกชายของเขา เป็นลูกชายคนโตของเขา แต่เจ้าซ่งซื่อกลับโหดร้ายต่อลูกชายของข้าเช่นนี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไร
“ไป ไปสืบที่ครัวใหญ่ให้ข้า ข้ากลับอยากดูว่าเป็นบ่าวโง่คนไหนกัน” จิ้นอ๋องกัดฟันกล่าว
พระชายาจิ้นอ๋องเห็นเรือนของลูกเลี้ยงไม่มีการเคลื่อนไหว เสิ่นซื่อผู้นั้นก็ยังโง่สั่งอาหารมาแสดงความกตัญญูให้ตน ในใจก็ยิ่งพอใจ หารู้ไม่ว่าเขาเปิดโปงเรื่องที่เรือนจิ้นอ๋องแล้ว อีกทั้งจิ้นอ๋องก็ยังสะกดกลั้นไฟโกรธทั้งทรวงอกรอชำระกับนาง