ตอนที่แม่นมซือเชิญเสิ่นเวยอย่างนุ่มนวลว่าให้อยู่ดูแลไข้พระชายาตอนกลางคืน เสิ่นเวยก็เตรียมใจไว้นานแล้ว แม่นมซือผู้นั้นกลัวนางจะคิดมาก ยังพยายามอธิบายต่อ “ข้างกายฮูหยินซื่อจื่อยังต้องเลี้ยงคุณหนูสองคน ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ ฮูหยินสามก็ตั้งครรภ์อยู่ ไม่ควรออกแรงเยอะ ทำได้เพียงลำบากฮูหยินใหญ่อยู่ช่วยยกน้ำชาส่งของให้พระชายาแล้ว”
เสิ่นเวยโบกมืออย่างไม่สนใจ กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ดูแม่นมซือพูดเข้า ดูแลไข้เสด็จแม่เป็นหลักกตัญญูที่ลูกควรมี น้องสะใภ้รองน้องสะใภ้สามคนหนึ่งปลีกตัวไม่ได้ คนหนึ่งตั้งครรภ์อยู่ คนไม่มีภาระเช่นลูก ทั้งยังเป็นสะใภ้คนโต จะไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างไร หลีฮวา เจ้ากลับไปที่เรือนพวกเราเที่ยวหนึ่ง บอกคุณชายใหญ่ว่าคืนนี้ข้าไม่กลับเรือนแล้ว อยู่ที่นี่ดูแลเสด็จแม่ จากนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว ที่นี่ข้ามีเย่ว์กุ้ยก็พอแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้มาแทนเย่ว์กุ้ย”
ข้าวเย็นกินที่เรือนพระชายาจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องนอนอยู่บนเตียงย่อมลุกขึ้นไม่ได้ ทั่วทั้งเรือนก็มีเพียงเสิ่นเวยที่เป็นนายที่ถูกต้อง นางใช้พี่เฉินให้ส่งกับข้าวมาด้วยตัวเอง มีความสุขยิ่งนัก!
พระชายาจิ้นอ๋องตัดสินใจจะกลั่นแกล้งเสิ่นเวยแล้ว เพียงแค่เสิ่นซื่อไม่สมปรารถนาดวงของนางจึงจะดีขึ้น
เสิ่นเวยกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็เลี้ยวเข้ามาในห้องด้านใน พระชายาจิ้นอ๋องกำลังพิงหัวเตียง บนโต๊ะข้างเตียงวางข้าวต้มเนื้อแดงไว้หนึ่งถ้วย ไม่รอให้พระชายาจิ้นอ๋องเอ่ยปากเสิ่นเวยก็แย่งพูดขึ้นก่อน “แม่นางหวาเยียนยังชักช้าอยู่ไย กี่โมงกี่ยามแล้ว ยังไม่รีบปรนนิบัติเสด็จแม่ทานอาหารอีก”
หวาเยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังจะยกชามขึ้น ถูกแววตาของพระชายาจิ้นอ๋องหยุดไว้ แม่นมซือที่รู้ใจนางก็รีบกล่าว “ฮูหยินใหญ่ รบกวนท่านปรนนิบัติพระชายาทานอาหารเถิด เช่นนี้จะได้แสดงความกตัญญูของท่านได้”
“ได้สิ!” เสิ่นเวยยิ้มมองแม่นมซือปราดหนึ่ง ตอบด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง แต่ก็กล่าวเตือน “เสด็จแม่ อันที่จริงลูกอยากปรนนิบัติท่านทานอาหาร เพียงแต่อย่างไรเสียลูกก็ไม่ใช่คนรับใช้ ไม่เคยทำงานปรนนิบัติคนจริงๆ หากทำตรงไหนไม่ดีท่านก็อย่าได้ถือสาเลย”
พระชายาจิ้นอ๋องย่อมต้องบอกว่าไม่ถือสา ปากบอกว่าลำบากภรรยาโย่วเอ๋อร์แล้ว แต่ที่จริงในใจกลับพอใจยิ่งนัก
แต่ว่า ความพอใจของพระชายาจิ้นอ๋องกลับประคองไปได้เพียงแค่ชั่วครู่ เหตุใดน่ะหรือ ข้าวต้มเนื้อแดงหนึ่งถ้วยป้อนได้ไม่ถึงครึ่งก็หกลงเสื้อผ้าบนร่างพระชายาและผ้าไหมที่ห่มอยู่
ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องดำราวกับก้นหม้อแล้ว เสิ่นซื่อผู้นี้ตั้งใจใช่หรือไม่ นางเห็นชัดเจนอย่างยิ่ง ช้อนคันนั้นยื่นมาทางปากนาง เหตุใดถึงดันหกลงบนเสื้อ บนผ้าห่มของนางได้เล่า นี่ยังดี มีสองช้อนที่หกลงบนจมูกนาง ทำให้หน้าของนางเหนียวหนึบไม่สบายอย่างถึงที่สุด
“พอแล้ว พอแล้ว เจ้าวางลงเถอะ หวาเยียนเข้ามาปรนนิบัติ” พระชายาจิ้นอ๋องผลักเสิ่นเวยหนึ่งครา น้ำเสียงกลายเป็นหยาบกระด้างขึ้นมาทันที
ทว่าเสิ่นเวยกลับน้อยใจอย่างถึงที่สุด “เสด็จแม่ ลูกบอกแล้วว่าปรนนิบัติคนไม่เป็น ไม่มีประสบการณ์ ท่านบอกเองว่าท่านไม่ถือสา”
พระชายาจิ้นอ๋องมองสีหน้าที่ร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อนั่นของเสิ่นเวย ในใจก็เสมือนยัดตะกั๋วหนึ่งก้อนใหญ่เอาไว้ อย่าว่าแต่อึดอัดใจเลย “พอแล้ว ข้าไม่ได้ว่าเจ้า นั่งพักอยู่ข้างๆ เถอะ” หวาเยียนหวาอวิ๋นเข้ามาปรนนิบัติ” ตีไม่ได้ว่าไม่ได้ ซ้ำยังต้องใจกว้างเมตตาบอกว่าไม่ถือสา ความรู้สึกของพระชายาจิ้นอ๋อง หึๆ เจ้าสามารถหาคำมาอธิบายได้หรือไม่
เสิ่นเวยนั่งลงบนเก้าอี้ราวกับถูกยกภูเขาออกจากอก อันที่จริงนางคิดจะนั่งบนตั่ง อย่างไรเสียตั่งก็นุ่ม นั่งสบาย แต่เสิ่นเวยมองอยู่นาน ที่ที่วางตั่งนุ่มไว้แต่เดิมกลับว่างเปล่า ชั่วขณะนางก็เข้าใจเจตนาของพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว
เหอะ แม้แต่ตั่งนุ่มก็ย้ายออกไป คิดจะบังคับให้นางไม่นอนทั้งคืนงั้นหรือ หึ อย่าได้คิด! เสิ่นเวยกำชับเสียงต่ำข้างหูเย่ว์กุ้ยหลายประโยค เย่ว์กุ้ยพยักหน้าถอยออกไปแล้ว
หวาเยียนหวาอวิ๋น กระทั่งแม่นมซือพยุงพระชายาจิ้นอ๋องไปล้างหน้าด้วยกัน เปลี่ยนชุด จากนั้นก็เปลี่ยนผ้าห่ม ทำเยอะแยะมากมายเช่นนี้ ข้าวต้มเนื้อแดงชามนั้นก็เย็นชืดนานแล้ว ทำได้เพียงสั่งให้ครัวใหญ่ส่งมาอีกหนึ่งถ้วย
ของที่เข้าเรือนนายล้วนแต่ต้องตรวจสอบ แม้ว่าจะไม่ทานก็ต้องทำก่อน เพียงแต่ระหว่างทางไปกลับก็ต้องใช้เวลาแล้ว ตอนที่รอข้าวต้มเนื้อแดงชามที่สองส่งมา พระชายาจิ้นอ๋องก็หิวจนท้องร้อง นางให้หวาเยียนป้อนกินอย่างเอร็ดอร่อย!
พระชายาจิ้นอ๋องกินข้าวต้มเนื้อแดงเสร็จแล้วยังรู้สึกว่าไม่พอ กำลังจะเอ่ยปากขออีก เสิ่นเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กล่าว “เสด็จแม่ ท่านยังป่วยอยู่ ค่ำเพียงนี้แล้วทานเยอะเดี๋ยวอาหารจะไม่ย่อย”
แม่นมซือเองก็โน้มน้าว “ฮูหยินใหญ่พูดถูก หากพระชายาชอบทานข้าวต้มนี้ พรุ่งนี้เช้าค่อยให้ครัวใหญ่ทำอีกก็ได้” แม้แต่หวาเยียนหวาอวิ๋นก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้นางกินเยอะ พระชายาป่วยแล้ว หากยังกินอีก เช่นนั้นก็จะเป็นความผิดของคนเป็นบ่าวเหล่านี้เช่นพวกนาง
พระชายาจิ้นอ๋องอัดอั้นใจยิ่งนัก นางยังหิวอยู่เลย จะอาหารไม่ย่อยได้อย่างไร นางโวยวายจะกินอีกถ้วย
เสิ่นเวยอดทนเกลี้ยกล่อม “เสด็จแม่ ท่านอย่าละเลยร่างกายตนเอง ท่านกินไปหนึ่งถ้วยแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ต้องดื่มยา ไม่อาจทานได้อีกแล้ว หากท่านอยากทานจริงๆ รออีกสองชั่วยามได้หรือไม่”
แม่นมซือและคนอื่นๆ เองก็คิดว่าพระชายาป่วยอารมณ์ไม่ดีหงุดหงิด จึงพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้นางกินอีก ทำเอาพระชายาจิ้นอ๋องโมโห หน้าเขียวจัดแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้พระชายาจิ้นอ๋องจึงยิ่งเห็นเสิ่นเวยไม่เข้าตา หากบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่กลั่นแกล้งนางให้ตนเปลี่ยนชะตา แต่ตอนนี้น่ะหรือ เหอๆ ต่อให้จะเปลี่ยนชะตาไม่ได้พระชายาจิ้นอ๋องก็ต้องทรมานเสิ่นเวยอย่างโหดเ**้ยม
“ภรรยาโย่วเอ๋อร์ เสด็จแม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าเข้ามาปรนนิบัติแม่หน่อย” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวด้วยเจตนาร้าย ป้อนข้าวไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าจะทำไม่เป็นแม้แต่พยุงคนกระมัง อ้อ ที่บอกว่าเปลี่ยนเสื้อก็ต้องไปห้องน้ำอย่างไรเล่า!
“ได้สิๆ เสด็จแม่ ให้ลูกช่วยพยุงท่าน ท่านระวังหน่อย!” เสิ่นเวยเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ประคองจิ้นพระชายาลงจากเตียง
เมื่อเท้าของพระชายาจิ้นอ๋องแตะพื้นก็กดแรงทั้งร่างลงไปบนตัวเสิ่นเวยทั้งหมด เสิ่นเวยดีใจในชั่วขณะ เอ๋ พระชายาจิ้นอ๋องคิดจะทำอะไร เป็นคนสองภพ คนที่สนิทกับนางทั้งหมดต่างก็ไม่มีทางเล่นลูกไม้นี้ต่อหน้านาง จำใจต้องบอกว่าพระชายาจิ้นอ๋องเป็นผู้ไม่รู้จึงไม่กลัว!
มา จุดเทียนให้คนฉลาดไม่หวาดกลัวอย่างพระชายาจิ้นอ๋อง
ดวงตาเสิ่นเวยมีประกายเจ้าเล่ห์แวบผ่าน ขาอ่อน เท้าโซเซ ร่างทั้งร่างก็ล้มตามลงไปข้างๆ ด้วยฝีมือของนางล้มลงไปได้สิแปลก แม่นมซือและคนอื่นๆ เห็นนางล้มลงบนพื้น อันที่จริงนางเพียงแต่แตะพื้นเบาๆ กลับเป็นพระชายาจิ้นอ๋องที่ถูกนางพยุงถูกนางดึงจนล้มลงบนพื้นอย่างแรง
“โอ๊ย เสด็จแม่ท่านหนักจริงๆ ทำลูกล้มเลย หวาเยียน หวาอวิ๋น ยังยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบมาช่วยพยุงพระชายาขึ้นอีก ข้าคนเดียวพยุงนางไม่ไหว” เสิ่นเวยคลานขึ้นมาจากพื้นไปดึงพระชายาจิ้นอ๋องอย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงนั้น ดึงจนแขนพระชายาจิ้นอ๋องแทบจะหักแล้ว “เสด็จแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
พระชายาจิ้นอ๋องเจ็บจนพูดไม่ออก ครู่ใหญ่จึงถอนหายใจหนึ่งครา ถลึงตามองเสิ่นเวยอย่างแรงปราดหนึ่ง ไม่กล้าให้นางพยุงอีกแล้ว
เสิ่นเวยลูบจมูกไม่โกรธ กลับไปนั่งบนเก้าอี้ต่ออย่างอารมณ์ดี ซ้ำยังพูดกับเย่ว์กุ้ย “พระชายาป่วยอารมณ์ไม่ดี ข้าเป็นชนรุ่นหลังไหนเลยจะคิดเล็กคิดน้อยกับนางได้”
พระชายาจิ้นอ๋องเปลี่ยนชุดออกมาได้ยินนางพูดประโยคนี้พอดี แทบจะสะดุดล้มอีกครั้ง
พระชายาจิ้นอ๋องพยายามใช้ลูกไม้ทั้งหมดที่มี ประเดี๋ยวก็อยากดื่มน้ำ ประเดี๋ยวก็อยากเปลี่ยนเสื้อ ประเดี๋ยวก็เจ็บเอว…ไม่ว่าอย่างไรก็เอาลูกไม้ทั้งหมดที่คิดได้ออกมาใช้ เสิ่นเวยนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ใช้แม่นมซือ หวาเยียนหวาอวิ๋นจนวิ่งกันชุลมุน
หากพระชายาจิ้นอ๋องเรียกนางไปรับใช้ นางเองก็ไม่หงุดหงิด เข้าไปด้วยความยินดี เพียงแต่มักจะเกิดสถานการณ์เล็กน้อย ไม่ชาหกบนตัวนาง ก็นวดนางจนร้องโอดโอย
ผ่านไปสองครั้งพระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่กล้าให้นางมารับใช้อีก แต่ก็ยังไม่ถอดใจ คิดว่าในเมื่อรับใช้ไม่ได้เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้นอนเสียเลย
ความคิดนี้ของนางยังไม่ทันแวบผ่านสมอง ก็เห็นหญิงชราใช้แรงงานสองคนยกตั่งนุ่มหนึ่งตัวเข้ามาแล้ว “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะให้วางไว้ตรงไหน”
เสิ่นเวยชี้มือ “อ้อ ตรงนั้นแล้วกัน” ตำแหน่งที่นางชี้ตรงกับตำแหน่งที่วางตั่งนุ่มก่อนหน้านี้พอดี
“เสด็จแม่ ลูกของงีบครู่หนึ่ง สะสมแรงตอนกลางคืนจะได้รับใช้ท่าน มีอะไรท่านก็เรียกลูกได้” พูดจบก็ปีนขึ้นตั่งนุ่มอย่างมีความสุข เย่ว์กุ้ยดึงผ้าห่มเย็นคลุมให้นาง ไม่นานนักเสียงหายใจที่เสมอกันก็ดังขึ้นมา
พระชายาจิ้นอ๋องโมโหแล้ว ทุบผ้าห่มอย่างแรงสองครั้ง ยิ่งไม่ยินยอม
คืนนี้ พระชายาจิ้นอ๋องไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กลั่นแกล้งเสิ่นเวยครั้งหนึ่ง เสิ่นเวยเป็นใครกัน เวลาปฏิบัติหน้าที่สามวันสามคืนไม่นอนยังได้ หากง่วงมากจริงๆ ยืนเงียบครู่หนึ่งก็สบายขึ้นแล้ว ยังจะกลัวพระชายาจิ้นอ๋องกลั่นแกล้งอีกหรือ
นางถูกปลุกตื่นก็ไม่ลุกขึ้น เท้าศีรษะนอนอยู่บนตั่งสั่งหวาเยียนหวาอวิ๋นให้ทำงานโดยตรง ส่วนเย่ว์กุ้ย นางไม่มีอะไรให้ต้องเรียกใช้อย่างสิ้นเชิง