“เวยเวย ลำบากเจ้าแล้ว” เมื่อเข้าห้องมาสวีโย่วก็กล่าวกับเสิ่นเวยอย่างรู้สึกผิด
เสิ่นเวยยักไหล่ กล่าวอย่างไม่สนใจ “ไม่เป็นไร รู้อยู่แล้ว อย่างไรเสียก็ฉีกหน้ากันแล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องไปเคารพทุวันแล้ว อยู่ในจวนอ๋องหรือย้ายออกไปก็ไม่ต่างอะไรนัก” มารเฒ่าตนนั้นทรมานมาหลายคืนแล้ว ร่างกายคงจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงเล่นลูกไม้อีก เหลืออีกไม่กี่วันก็แต่งงานครบเดือนแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็สามารถย้ายออกไปได้
สวีโย่วยังคงรู้สึกทุกข์ใจ เวยเวยใช้ชีวิตอยู่ในจวนจงอู่โหวอย่างอิสระตามอำเภอใจมากนัก นี่เพิ่งจะแต่งเข้าจวนอ๋องมาได้ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องน่าอับอายเยอะเพียงนี้ มันช่าง มันช่าง เฮ้อ! สวีโย่วมองเสิ่นเวยด้วยความรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด
“หรือว่า ให้ข้าพาเจ้าออกไปเดินเล่นดี” สวีโย่วนึกได้ว่าเด็กน้อยคนนี้ชอบเที่ยวเล่น จึงคิดหาวิธีชดเชยทันที
เสิ่นเวยเกิดความสนใจดังคาด “เอาสิ พวกเราไปกินของอร่อย แล้วก็ไปเดินซื้อของที่ถนนใหญ่ฝั่งตะวันออก เหนื่อยแล้วพวกเราก็ไปฟังนิทานที่โรงน้ำชา อ้อจริงสิ เถาฮวาล่ะ ต้องพานางไปด้วย” ส่วนท่านอ๋องพระชายาจะพอใจหรือไม่ ใครสนพวกเขากันเล่า
“ได้ ตามแต่เจ้าต้องการ” สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยมีความสุข มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเบาๆ
ฉินอิงอิงคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีฉินที่รอแต่งงานช่วงนี้ก็กระวนกระวายใจอยู่ตลอด สำหรับคู่หมั้นของจวนจิ้นอ๋องนางก็เริ่มไม่พอใจแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าสวีฉั่งคุณชายสี่จวนจิ้นอ๋องเป็นลูกคุณชาย งานการไม่ทำ วันๆ เอาแต่ติดเพื่อนทำตัวเสเพล เด็กสาวที่กำลังมีความรักคนใดบ้างไม่หวังให้ว่าที่สามีของตนเป็นคนก้าวหน้ามีอนาคต โดยเฉพาะศัตรูตัวฉกาจของนางคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจวนจงอู่โหวที่แต่งงานกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง หากตนแต่งเข้าไปจริงๆ ใช่จะถูกนางกดหัวหรือไม่ นี่จะให้นางยินยอมได้อย่างไร
ยังคงเป็นแม่นางที่อ่านใจนางออก โน้มน้าวนาง “เด็กโง่ บุรุษกลัวประพฤติผิด สตรีกลัวได้สามีไม่ดี สตรีแต่งงานก็เปรียบเหมือนได้เกิดใหม่ แต่งงานดีตลอดชีวิตก็ไร้กังวล คนทั่วไปให้ความสำคัญกับการแต่งภรรยาสูงต่ำ การหมั้นหมายกับจวนจิ้นอ๋องนี้พวกเราถือว่าไม่อาจเอื้อมแล้ว คุณชายสี่แซ่สวีผู้นั้นเป็นหลานชายแท้ๆ ของฝ่าบาท แม้ตระกูลพวกเราจะเป็นจวนเสนาบดี แต่อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นบ้านสาม อาศัยตำแหน่งขุนนางนั้นของพ่อเจ้าเจ้าคิดว่าจะแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องได้หรือ ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่ลุงเจ้ากับซูเฟยเหนียงเหนัยงในวังหรืออย่างไร”
เห็นลูกสาวไม่พูด มารดาตระกูลฉินก็กล่าวต่อ “คุณชายสี่จวนจิ้นอ๋องผู้นั้นหน้าตาดีมีความสามารถ เพียงแค่ชอบเที่ยวเล่นเล็กน้อย ชายวัยหนุ่มคนใดบ้างไม่ชอบเที่ยวเล่น พี่น้องเจ้าเองก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ประเดี๋ยวแต่งงานแล้วก็จะค่อยๆ เก็บความคิดเอง อีกทั้งเขายังเป็นลูกชายคนเล็กของพระชายาจิ้นอ๋อง จะไม่ถูกตามใจได้อย่างไร นางน่ะเป็นคนที่มีฝีมือที่สุด ดูแลเรือนหลังจวนจิ้นอ๋องมายี่สิบกว่าปี ข้างกายจิ้นอ๋องก็มีเพียงแค่นางคนเดียว ของดีในมือเยอะแยะยิ่งนัก ทำตกมาให้พวกเจ้านิดๆ หน่อยๆ ก็เพียงพอให้พวกเจ้าร่ำรวยไปทั้งชีวิตแล้ว เจ้าแต่งเข้าไป คลอดหลายชายคนโตให้นาง ยังต้องกลัวนางไม่ยกยอเจ้าไม่ตามใจเจ้าอีกหรือ”
ฉินอิงอิงหวั่นไหวเล็กน้อย คนที่นางอิจฉาที่สุดในจวนเสนาบดีก็คือซูเฟยเหนียงเหนียงพี่สาวคนโต ดำรงตำแหน่งเป็นนางสนม ซ้ำยังมีองค์ชายอยู่ข้างกาย ได้รับเกียรติยศความร่ำรวย ส่วนบุตรหลานในจวนจิ้นอ๋องนางพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพียงแต่เทียบกับคุณชายสามท่านก่อนหน้า นางก็ไม่ยินดีเล็กน้อย เทียบอู๋ซื่อฮูหยินซื่อจื่อกับหูซื่อฮูหยินสามไม่ได้ก็ไม่เท่าไร แต่นางจะเทียบคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่เติบโตในชนบทไม่ได้เชียวหรือ แม้จะบอกว่าคุณชายใหญ่ผู้นั้นสุขภาพไม่ดี แต่เขาก็เป็นบุตรภรรยาหลวง อีกทั้งคนยังหน้าตาดี เด็กสาวดรุณีคนใดบ้างไม่ชอบชายหล่อเหลา
มารดาตระกูลฉินพอจะได้ยินมาว่าลูกสาวมีบุญคุณความแค้นกับคุณหนูสี่จวนจงอู่โหว เห็นคิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของลูกสาวก็อดพูดไม่ได้ “เจ้าโง่แล้วหรือ คุณชายใหญ่ผู้นั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องแล้ว ต้องย้ายออกจากจวนอ๋อง จะอยู่ขวางหูขวางตาเจ้าได้อย่างไร”
ฉินอิงอิงแสยะปากอย่างไม่พอใจ “ข้าก็แค่ไม่เต็มใจ นางมีอะไรดี นึกไม่ถึงว่าจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ผู้ที่มีความสามารถเช่นนั้นได้”
มารดาตระกูลฉินทั้งโมโหทั้งขบขัน จิ้มลูกสาวหนึ่งครา กล่าว “เด็กน้อยเช่นเจ้าอย่างไรเสียก็คิดตื้นๆ เจ้าเพียงแค่เห็นว่าคุณชายใหญ่หน้าตาดั่งเทพเซียน เหตุใดถึงได้ลืมไปว่าเกินครึ่งปีเขาล้วนแต่รักษาตัวอยู่บนเขาเล่า ก่อนวันสมรสไม่ใช่โรคเก่ากำเริบจนต้องเลื่อนงานแต่งหรอกหรือ ร่างกายนั่นของเขาจะมีทายาทได้หรือไม่ยังพูดยากเลย ไม่มีผู้สืบสกุลต่อให้จะร่ำรวยก็เป็นเพียงคนนอกตระกูลมิใช่หรือ ตอนนี้คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นั้นดูเหมือนมีหน้ามีตา หลังจากนี้ยังไม่แน่ว่าจะเปล่าเปลี่ยวเพียงใด เจ้าลองคิดดู หากคุณชายใหญ่สมบูรณ์แบบ ฝ่าบาทจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นางเป็นจวิ้นจู่หรือ แม้จะบอกว่าในนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหว แต่คุณหนูจวนโหวก็มีตั้งหลายคน เหตุใดถึงตกมาถึงคุณหนูบ้านสามคนหนึ่งเล่า อิงเอ๋อร์เจ้าฟังแม่ แม่ไม่มีทางทำร้ายเจ้า การสมรสครั้งนี้เลือกมาอย่างดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว”
ฉินอิงอิงได้ยินคำพูดของมารดา จินตนาการถึงสภาพตกอับในภายหน้าของศัตรูตัวฉกาจ บนใบหน้าก็ปรากฎรอยยิ้ม ส่วนมารดาตระกูลฉินก็ถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอก การสมรสครั้งนี้ไม่เพียงแต่นายท่านที่ให้ความสำคัญ แม้แต่ท่านเสนาบดีกับซูเฟยเหนียงเหนียงในวังก็ให้ความสำคัญเช่นกัน ไม่อาจปล่อยให้อิงเอ๋อร์ดื้อรั้นได้
กว่ามารดาตระกูลฉินจะโน้มน้าวลูกสาวได้ ยังไม่ทันได้โล่งอก ข่าวลือว่าพระชายาจิ้นอ๋องทรมานภรรยาลูกเลี้ยงก็ดังเข้ามา สาวใช้มารายงานถึงความกระวนกระวายใจของลูกสาวที่เรือนนางก่อนแล้ว นางทำได้เพียงวางงานในมือลงแล้วไปที่เรือนของลูกสาว
“ท่านแม่!” ฉินอิงอิงมองมารดา ในสีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ “พระชายาจิ้นอ๋องผู้นั้นร้ายกาจเช่นนี้ ลูกแต่งเข้าไป…” นางกัดริมฝีปากสีแดง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ย่านางก็เป็นคนที่ชอบกลั่นแกล้งลูกสะใภ้ แม้จะบอกว่าตอนนี้อายุมากแล้วไม่ค่อยทำให้แม่นางและป้านางลำบากแล้ว แต่ฟังว่าป้ารองคนก่อนของนางก็ถูกทรมานจนตาย อุ้มท้องปรนนิบัติผู้อาวุโสในฤดูหนาวที่หนาวจัด ตกเลือด ไม่สามารถอุ้มท้องผ่านด่านคลอดไปได้
อย่างไรเสียฉินอิงอิงก็เป็นคุณหนูที่ยังไม่เคยออกเรือน คิดแล้วก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
มารดาตระกูลฉินมองความหวาดกลัวบนใบหน้าลูกสาว จิตใจก็อ่อนลงก่อน กอดลูกสาวแล้วกล่าว “ก็แค่ข่าวลือ ส่วนใหญ่ล้วนเชื่อถือไม่ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
“เช่นนั้น เช่นนั้นหากว่าเป็นเรื่องจริงเล่า” ฉิงอิงอิงยังคงไม่สบายใจ
“อิงเอ๋อร์ เจ้าต้องรู้ไว้ว่า การสมรสครั้งนี้เป็นพระชายาจิ้นอ๋องที่สู่ขอด้วยตัวเอง อย่างน้อยนางก็ไม่อาจปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีได้ อีกอย่าง เบื้องหลังเจ้ายังมีจวนเสนาบดีกับซูเฟยเหนียงเหนียงยืนอยู่ มิหนำซ้ำเจ้าก็ได้ยินแล้วว่าทรมานภรรยาลูกเลี้ยง เหตุใดถึงไม่ใช่ลูกสะใภ้สองคนนั้นเล่า เจ้าวางใจแต่งงานเถิด หากนางกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า ต่อให้แม่จะต้องยอมออกหน้าก็จะต้องทวงความยุติธรรมให้เจ้าจงได้” มารดาตระกูลฉินลูบใบหน้าเล็กๆ ที่เกลี้ยงเกลาของลูกสาวแล้วกล่าวด้วยความรักใคร่ แม้ว่าลูกสาวคนนี้จะอารมณ์ร้อนไปหน่อย ดื้อรั้นไปหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง! นางรักและเอ็นดูราวกับแก้วตาดวงใจ จะยอมให้คนอื่นมาทรมานได้อย่างไร
ฉินอิงอิงมองใบหน้าที่อ่อนโยนของมารดา อดพยักหน้าไม่ได้
เมื่อออกจากจวนจิ้นอ๋องแล้วเสิ่นเวยก็กระโดดโลดเต้นราวกับนกน้อยที่ออกจากกรง คนที่กระโดดโลดเต้นเช่นเดียวกันยังมีเถาฮวา ช่วงนี้เถาฮวาอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว หมดหนทางเสิ่นเวยก็ให้คนสร้างชิงช้าให้นางในลานบ้าน นางกล้าหาญมาก แกว่งสูงอย่างยิ่ง หลายต่อหลายครั้งเสิ่นเวยคิดว่านางเหมือนกระสุนปืนใหญ่อีกไม่ช้าก็สามารถยิงออกไปนอกกำแพงลานบ้านได้
“ฮูหยิน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อปิ่นปักผมหนึ่งอัน เอาแบบที่มีผีเสื้อบินอยู่ข้างบน” เถาฮว่ากล่าวกับเสิ่นเวยด้วยท่าทีลึกลับอย่างยิ่ง
“เอ๋ เช่นนี้เจ้าไม่ซื้อลูกอมกุ้ยฮวาแล้วหรือ เมื่อวานข้ายังได้ยินเจ้าบ่นอยู่เลย” เสิ่นเวยหยอกล้อนาง ต้องรู้ว่าเรื่องสำคัญอันดับแรกในสายตาเถาฮวาเด็กคนนี้ก็คือเรื่องกิน
บนใบหน้าเฮวาปรากฏความขัดแย้งออกมาดังคาด คล้ายไม่สามรถเลือกระหว่างปิ่นปักผมกับลูกอมกุ้ยฮวาได้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงกล่าว “ซื้อปิ่นปักผมก่อน”
เสิ่นเวยเลิกคิ้ว หยอกนางต่อ “เอ๋ เถาฮวาโตเป็นสาวแล้ว รู้จักรักสวยรักงามแล้ว! เช่นนั้นเจ้าเอาเงินมาพอหรือไม่”
เถาฮวาพยักหน้าอย่างรดวเร็ว “ข้าเอาเงินมาเยอะมาก ฮูหยินท่านดู!” นางกวักมือเรียกเสิ่นเวย เปิดกระเป๋าเงินใบเล็กให้เสิ่นเวยดูอย่างระมัดระวัง
เสิ่นเวยมองดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กระเป๋าเงินตุง เถาฮวาเอาเงินทั้งหมดที่นางมีออกมาแล้ว เสิ่นเวยมองเถาฮวาที่กำลังมองตนเองราวกับมอบสิ่งของล้ำค่า อดหัวเราะไม่ได้ “เด็กโง่ ใช้เงินหมดแล้วเจ้าจะเอาอะไรไปซื้อขนมเล่า เก็บไว้เถิด เจ้าอยากได้อะไรฮูหยินจะซื้อให้เจ้าเอง”
“ไม่เอา ข้ามีเงินของตัวเอง ข้าจะซื้อปิ่นปักผมเอง” เถาฮวาปฏิเสธด้วยท่าทีเด็ดขาด
นี่ทำให้เสิ่นเวยรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมเล่า ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ฮูหยินซื้อปิ่นปักผมให้เจ้าใช้ เงินของเจ้าก็เก็บไว้ซื้อของอร่อย”
“ปิ่นปักผมอันนี้ข้าไม่ได้ใช้เอง” เถาฮวาแย้งเสียงดัง ทันใดนั้นใบหน้าก็มีความดีใจหลายส่วน “ข้าซื้อปิ่นปักผมให้ฮูหยินต่างหากเล่า ย่อมต้องใช้เงินของข้าเอง”
ให้นางงั้นหรือ เสิ่นเวยประหลาดใจยิ่งขึ้น ชี้จมูกตัวเองกล่าว “เถาฮวา เจ้าบอกว่าเจ้าซื้อปิ่นปักผมให้ข้าหรือ”
“อื้มๆ” เถาฮวาพยักหน้า “ข้าได้ยินพวกพี่หลีฮวาบอกว่าใกล้จะถึงวันเกิดของฮูหยินแล้ว วันเกิดข้าทุกปีฮูหยินจะให้ของขวัญข้า ข้าเองก็ต้องให้ของขวัญฮูหยินบ้าง” บนใบหน้าเล็กๆ ของเถาฮวาเต็มไปด้วยความจริงใจ
จิตใจของเสิ่นเวยคล้ายถูกอะไรโจมตีในชั่วขณะ อ่อนนุ่มราวกับใยฝ้ายหนึ่งก้อน “วันเกิดของข้าอีกตั้งนาน” นางเกิดเดือนหก ตอนนี้เพิ่งจะเข้าเดือนห้า ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งเดือน
“เช่นนั้นก็ซื้อไว้ก่อนสิ รอให้ถึงวันเกิดฮูหยินข้าจะให้ฮูหยินเป็นคนแรก” เถาฮวาพูดเสียงดัง
สวีโย่วที่อยู่ข้างๆ กล่าวในใจ เด็กน้อยเช่นเจ้าจะให้ของขวัญเป็นคนแรก ข้าที่เป็นสามีจะทำอย่างไรเล่า
“ดี เช่นนั้นข้าขอบคุณเจ้าไว้ก่อนเลย” เสิ่นเวยลูบผมของเถาฮวาแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน เบื้องลึกในใจของนางยังเกิดความปลื้มใจของคนเป็นพ่อแม่ขึ้นมาจริงๆ แม้จะบอกว่านางห่างกับเถาฮวาเพียงสามสี่ปี ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็เลี้ยงดูนางเป็นลูก เป็นน้องสาว ในเรือนใครบ้างไม่รู้ว่าเถาฮวาเป็นคนที่พิเศษที่สุด แม้จะเป็นสาวใช้ แต่สวัสดิการที่ได้รับกลับเทียบเท่าคุณหนู
สวีโย่วพาเสิ่นเวยออกมาก็อยากอยู่ในโลกของสองคน เสิ่นเวยเองก็ไม่ชอบให้มีคนเดินตามเป็นกลุ่ม ด้วยเหตุนี้ข้างกายจึงเหลือเพียงหลีฮวาและเถาฮวา คนที่เหลือก็แจกเงินให้พวกนางไปเดินเล่นกันเอง เจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องที่ฝั่งสวีโย่วพาออกมาก็ตามอยู่ไกลๆ สวีโย่วไม่อนุญาตให้พวกเขาขึ้นมาข้างหน้าอย่างสิ้นเชิง
อาจเป็นเพราะไม่ได้ออกมาเดินเล่นนานแล้ว ความสนใจของเสิ่นเวยสูงมากเป็นพิเศษ ตลอดทางทำได้เพียงใช้คำสามคำมาอธิบาย นั่นก็คือซื้อซื้อซื้อ เห็นอะไรเข้าตาก็เก็บเข้ากระเป๋าหมด นางไม่ขาดเงิน สวีโย่วก็ไม่ห้ามนาง เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ในมือเจียงเฮยเจียงไป๋ก็หิ้วเต็มไปด้วยของ
เสิ่นเวยเห็นท่าทีก็โบกมือกล่าว “ส่งไปที่จวนจงอู่โหว” จากนั้นก็สั่งอย่างละเอียดว่าของแบบนี้เอาให้ปู่นาง ของแบบนั้นเอาให้เหล่าพี่สาวน้องสาว
เจียงเฮยกับเจียงไป๋เผยสีหน้าลังเล พวกเขาคุ้มกันคุณชายใหญ่อยู่ จะออกไปพร้อมกันได้อย่างไร
สวีโย่วเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา หัวใจทั้งสองก็สั่นกลัวทันที กล่าวด้วยความเคารพ “ฮูหยินวางใจ บ่าวจะไม่ทำผิดพลาดแน่นอน”