หลังจากเขาทั้งสองออกไป มีคนซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนแต่งตัวไม่ต่างจากเจียงเฮยเจียงไป๋เดินตามอยู่ข้างหลังพวกเขาไม่ใกล้ไม่ไกล เสิ่นเวยแสยะมุมปาก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
วันนี้เสิ่นเวยเที่ยวเล่นอย่างมีความสุขมาก ซื้อของ กินของอร่อย อีกทั้งยังใช้เวลายามบ่ายอยู่ที่โรงน้ำชา เรื่องที่นักเล่านิทานในโรงน้ำชาพูดเป็นเรื่องคุณูปการความห้าวหาญของผู้อาวุโสจงอู่โหวที่สยบซีเหลียงพอดี บ้างก็ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นอายุมากแต่แข็งแรง ใช้ทวนยาวแปดจั้ง อยู่ในกองหน้าเปล่งเสียงตะโกนใส่แม่ทัพใหญ่ซีเหลียง ประหนึ่งฟ้าร้องปะทุ
เสิ่นเวยฟังอย่างสนอกสนใจไปพลาง แขวะในใจไปพลาง ปู่นางไหนเลยจะมีทวนยาวแปดจั้ง เห็นชัดๆ ว่าเขาใช้ดาบ และเขาเองก็ไม่ได้ร้องตะโกนอยู่ในกองหน้า อย่างมากก็ตรวจดูการรบอยู่บนยอดกำแพงเมืองก็เท่านั้น อีกทั้งแม่ทัพเล็กชุดเงินจากปากนักเล่านิทานคือใครกัน ไม่ว่าจะเป็นนางหรือพี่ใหญ่ของนางก็ไม่มีใครเคยใส่! ฆ่าศัตรูในสนามรบเจ้าสวมชุดเกราะสีอ่อนไป ไม่ใช่จะเป็นการเปิดเผยตัวเองอยู่ในสายตาของศัตรูด้วยตัวเองหรอกหรือ
แม้จะบอกว่าศิลปะมาจากชีวิตและเหนือกว่าชีวิต แต่นี่ก็ห่างไกลความจริงเกินไปหรือไม่ อย่างไรเสียเสิ่นเวยฟังก็ไม่รู้สึกอินเลยแม้แต่นิดเดียว กลับรู้สึกว่านั่นคือเรื่องเล่าของคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างสิ้นเชิง
อ้อ ตอนที่ฟังนิทานอยู่ที่โรงน้ำชาเสิ่นเวยยังเห็นราชบัณฑิตเซี่ยเฟยที่เคยพบหนึ่งครั้ง เขามาคนเดียว นั่งอยู่ทางมุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ฟังไปสักพักก็ลุกขึ้นออกไป
กลับไปถึงจวนจิ้นอ๋อง พ่อบ้านเจี่ยงปั๋วก็ส่งจดหมายหนึ่งฉบับมาให้ “นี่เป็นจดหมายที่ขอทานน้อยผู้หนึ่งส่งมาเมื่อเที่ยงวันนี้ บอกว่าให้ท่านฮูหยิน”
เสิ่นเวยเห็นว่าบนซองจดหมายวาดดอกท้อหนึ่งกิ่งไว้ ก็เดาได้ทันทีว่าเป็นใคร ภายใต้การจ้องมองที่สงสัยของสวีโย่วเสิ่นเวยก็รับมาและฉีกออกอย่างไร้กังวล ดวงตาทั้งคู่กวาดอ่านเนื้อหาข้างใน ท่าทีคล้ายกำลังครุ่นคิด
“ช่วงนี้ในราชสำนักใช่เกิดเรื่องอะไรหรือไม่” เสิ่นเวยมองสวีโย่วแล้วถาม
สวีโย่วยืนอยู่ข้างๆ นาง ย่อมต้องเห็นเนื้อหาที่เขียนอยู่ในจดหมายแล้ว ในจดหมายเขียนว่าเห็นใต้เท้าเสิ่นพ่อตาเขาดื่มสุราที่หอไท่ไป๋ด้วยกันกับจางจี้จ่างสื่อประจำจวนองค์ชายรอง มิหนำซ้ำยังไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง ดูท่าแล้วคนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์หลายส่วนอย่างยิ่ง ลายมืออ่อนหัดและยุ่งเหยิง ไม่ใช่ผู้เริ่มเรียนก็ตั้งใจปกปิด สวีโย่วโน้มเอียงไปอย่างหลัง
สวีโย่วกำลังคิด พ่อตาเขาไปสนิทกับจางจี้ผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ได้ยินเสิ่นเวยถามเขา ชั่วขณะก็คล้ายครุ่นคิด
“ทำไม พูดไม่ได้หรือ ไหนใครบอกว่าสามีภรรยาต้องตรงไปตรงมาต่อกันเล่า” เสิ่นเวยเห็นสวีโย่วไม่ตอบ ก็ชายตามองเขา
สวีโย่วจนใจยิ่งนัก เด็กคนนี้เหตุใดถึงได้ใจร้อนเพียงนี้ เขาพูดตอนไหนว่าพูดไม่ได้ เพียงแต่ในเมื่อเด็กน้อยพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ควรยอมรับชื่อเพียงแค่ในนามใช่หรือไม่ จึงเชิดคางชี้จดหมายในมือนาง
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา แค่นเสียงกล่าว “ใจแคบ!” แต่ว่าการติดต่อของนางกับเจียงเฉินก็ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถให้เขารู้ได้ “เจียงเฉินราชบัณฑิตเจียงแห่งสำนักราชบัณฑิตรู้จักหรือไม่ เขาส่งมา” นางโบกจดหมายในมือพลางกล่าว
สวีโย่วประหลาดใจอย่างยิ่ง ราชบัณฑิตเจียง ไม่ใช่คนผู้นั้นที่ช่วยเขาแต่งกลอนวันรับตัวเจ้าสาวหรอกหรือ ไม่คิดว่าน้องสี่แซ่เสิ่นจะรู้จักเขาด้วย “เจ้าสนิทกับเขาหรือ” เขาถามเสียงเรียบ
เสิ่นเวยภูมิใจยิ่งนัก “ใช่แล้ว สนิทสุดๆ ข้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเจียงเฉิน หากไม่ใช่ข้า อย่าว่าแต่เขาสอบได้ที่สามเป็นนายท่านราชบัณฑิตผู้สูงส่งเลย หญ้าบนหลุมศพก็คงจะยาวหมดแล้ว” จากนั้นก็สาธยายที่มาระหว่างพวกเขา
ตอนที่ได้ยินว่านางชนะบ่อนพนันของเขาหนึ่งหมื่นตำลึง มุมปากสวีโย่วก็กระตุก เป็นเรื่องที่น้องสี่แซ่เสิ่นสามารถทำได้จริงๆ
“ข้าช่วยเขาเยอะเพียงนั้น ตอนนี้เขาเป็นขุนนางแล้ว มีความสามารถแล้ว ย่อมต้องช่วยข้าบ้าง สหายพี่น้องก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันแหละกันมิใช่หรือ” เสิ่นเวยกล่าวสรุป
มุมปากของสวีโย่วกระตุกอีกครั้ง สหายพี่น้องงั้นหรือ น้องสี่แซ่เสิ่นคิดว่าตนเองเป็นผู้ชายหรือไร
“เจ้าคิดว่าพ่อตาสนิทกับจางจี้น่าแปลกหรือ” สวีโย่วถาม
เสิ่นเวยกลอกตาขาว “ย่อมต้องแปลก พ่อข้าเป็นใคร ก็แค่ขุนนางที่รับหน้าที่ในกรมพิธีการ ไม่ใช่ขุนนางสลักสำคัญอะไร จางจี้ผู้นี้เป็นถึงจ่างสื่อในจวนองค์ชายรอง คนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย รู้จักกันได้ก็ไม่เลวแล้ว ซ้ำยังไปดื่มสุราพูดคุยกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แปลก”
ปู่นางเป็นปลาตัวใหญ่ เหล่าองค์ชายที่มีความคิดสูงชั้นใครบ้างไม่อยากดึงมาเป็นพวก แต่เสิ่นเวยรู้ว่าปู่นางต้องการเป็นขุนนางผู้บริสุทธิ์จงรักภัคดีเพียงแค่ฝ่าบาท แม้จะบอกว่าเขาเป็นราชครูของรัชทายาท แต่ในใจเขาก็ให้ความสำคัญแก่ฝ่าบาทและราชสำนัก สำหรับไท่จื่อก็เพียงแค่รับหน้านี้สั่งสอน หากจะบอกว่ายืนอยู่ฝั่งไท่จื่อ บอกได้เลยว่าไร้สาระ
องค์ชายรองหมดหนทางลงมือกับปู่นางจึงใช้ทางอ้อมโดยการหันมาหาพ่อนางงั้นหรือ เหตุใดคนที่หันหาถึงเป็นพ่อนางไม่ใช่ลุงใหญ่นางที่รับตำแหน่งจงอู่โหวคนปัจจุบันเล่า เหตุผลง่ายดายอย่างยิ่ง แม้ว่าลุงใหญ่นางจะไม่ได้สร้างความดีความชอบอะไร แต่ข้อดีหนึ่งข้อที่พ่อนางเทียบไม่ติด ก็คือรอบคอบระมัดระวัง อืม พูดตรงๆ ก็คือขี้ขลาด เขาไม่กล้าผูกสัมพันธ์กับเหล่าองค์ชายเด็ดขาด ไม่แน่ว่าอาจจะยังไปขอคำแนะนำจากนายท่านผู้เฒ่าโหว นี่ไม่ใช่เป็นการบอกปู่นางหรอกหรือ
อีกทั้งตำแหน่งที่ลุงใหญ่นางรับช่วงต่อยังเป็นจงอู่โหว ซ้ำยังรับหน้าที่ในกรมกลาโหม นับได้ว่าเป็นนายพล ส่วนจางจี้ผู้เป็นจ่างสื่อจวนองค์ชายรองเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ขุนนางฝ่ายบุ๋นกับนายพลคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก!
สำหรับเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ได้หาลุงรองของนาง คาดว่าเขาคงจะรังเกียจที่เขาไร้ประโยชน์เกินไป ไม่เข้าตากระมัง
“บางทีจางจี้อาจจะชื่นชมการวางตัวและความรู้ความสามารถของพ่อตาเพียงเท่านั้นก็ได้” สวีโย่วพยายามพูดจาเข้าข้างใต้เท้าพ่อตาของเขาหนึ่งประโยค
เสิ่นเวยแทบจะสำลักน้ำลาย แทบจะพ่นคำหยาบออกมา การวางตัวและความสามารถบ้าอะไร เขามีของพรรณ์นั้นด้วยหรือ
“ท่านปิดทองบนหน้าเขาเก่งจริงๆ ความสามารถเขายังพอมีบ้าง แต่เขาเป็นคำคร่ำครึ ไม่ควรค่าให้จางจี้ชื่นชม ส่วนการวางตัว ข้ากล้าบอกท่านเลยว่า เขาไม่มีอะไรแบบนั้น ที่คนอื่นคบค้าสมาคมกับเขาก็เพียงเพราะเห็นเขาโง่หลอกง่ายก็เท่านั้นเอง”
เสิ่นเวยเหยียดหยาม หลังจากนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ปู่ข้าก็ลำบากยิ่งนัก ลูกชายไม่ได้เรื่อง เขาอายุปูนนี้แล้วยังต้องทุ่มแรงกายใจเพื่ออนาคตของลูกชายอยู่อีก ดังนั้นจึงมีสุภาษิตว่าภรรยาดีสามีประสบหายนะน้อย ภรรยาดีเจริญไปสามชั่วโคตร ปู่ข้าไม่ได้แต่งภรรยาดี ย่าข้านำหายนะมาให้พ่อข้าลุงใหญ่ข้าทั้งสิ้น คุณชายใหญ่ ภรรยาดีมีเหตุมีผลทั้งยังมีความสามารถเช่นข้าทั่วทั้งเมืองหลวงต่อให้ส่องโคมก็หาไม่เจอแล้ว ท่านต้องรักษาข้าดีๆ นะ” พูดพลางเสิ่นเวยก็เปลี่ยนประเด็น
สวีโย่วมีความสุขทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ใช่ๆๆ ข้าจะต้องรักษาเวยเวยดั่งมุกดั่งหยก”
เสิ่นเวยลูบจมูกยิ้ม “ท่านยังไม่บอกเลยว่าช่วงนี้ราชสำนักใช่เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่ มิเช่นนั้นองค์ชายรองคงไม่ถึงกับร้อนใจดึงปู่ข้าไปเป็นพวกเช่นนี้” ลางสังหรณ์ต่อการบริหารบ้านเมืองของเสิ่นเวยปราดเปรียวมากเป็นพิเศษ นางมักจะรู้สึกว่าในราชสำนักจะต้องเกิดเรื่องหรือกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรสักอย่าง
สวีโย่วเก็บสายตาคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าว “เมื่อสี่ปีก่อนเกิดคดีแม่ทัพอันลักลอบขายม้าทุจริตเงินกองทัพนอกด่านทางตอนเหนือ ระหว่างทางคุมตัวกลับเมืองหลวงเพื่อรับการตัดสินแม่ทัพอันก็กลัวโทษจนฆ่าตัวตาย ทว่าตอนนี้กลับมีคนแอบไปบอกฝ่าบาทว่าแม่ทัพอันไม่ได้กระทำผิด อันที่จริงเขาถูกกล่าวโทษ ซ้ำยังถวายหลักฐานส่วนหนึ่งให้อีกด้วย ฝ่าบาทตกพระทัยใหญ่ ออกพระราชโองการลับให้ผู้ตรวจการโจวไปค้นหาหลักฐานที่นอกด่าน ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีไม่เยอะ ทั้งราชสำนักรวมกันแล้วนับนิ้วไม่เต็มมือ” สวีโย่วไม่ได้บอกว่าฝ่าบาทคิดจะให้เขาไปปฏิบัติการด้วยเช่นกัน เขาเพิ่งจะแต่งงานเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามัน ตัดใจจากเสิ่นเวยดินแดนที่อบอุ่นแห่งนี้ไม่ได้ ย่อมต้องปฏิเสธทันที เพียงแค่ให้ยืมทหารเงาหนึ่งกลุ่มคุ้มกันความปลอดภัยของผู้ตรวจการโจว
เสิ่นเวยไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว ราชวงศ์ใดรัชสมัยใดบ้างที่ไม่มีคดีแพะรับบาป วัดใดบ้างไม่มีผีที่ถูกใส่ร้ายจนตาย เพียงแต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับการที่องค์ชายรองดึงจวนจงอู่โหวเข้าเป็นพวกด้วยหรือ น่าจะไม่มีกระมัง อย่างไรเสียสี่ปีก่อนองค์ชายรองก็เพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ปีเอง
เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่ง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก จึงถือโอกาสวางลงข้างๆ จากนั้นก็ได้ยินสวีโย่วถามนาง “เรื่องพ่อตาเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร” เขารู้ว่าน้องสี่แซ่เสิ่นไม่ค่อยชอบพ่อนางนัก เป็นห่วงว่านางจะวิ่งพุ่งกลับบ้านฝั่งมารดาไปทะเลาะกับพ่อตา
“ข้าจะทำอย่างไรได้ ย่อมไม่ทำอะไรน่ะสิ” เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา “ข้าเป็นน้ำที่สาดออกไปแล้ว ใครจะทนยุ่งเรื่องมากมายเพียงนั้นได้ ย่อมต้องบอกท่านปู่ ลูกของเขาให้เขาจัดการเอง”