จวนองค์ชายรอง
องค์ชายรองสวีอวี้และจ่างสื่อจางจี้กำลังสนทนากันอยู่ในห้องหนังสือ
“จางจ่างสื่อติดต่อกับเสิ่นหงเซวียนมาได้รยะหนึ่งแล้ว คิดว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไร” องค์ชายรองวางแก้วชาแล้วถาม
จางจี้อายุประมาณสี่สิบปี หน้าขาวมีหนวด ให้ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างมาก ในดวงตาทั้งคู่มีประกายแวบผ่านเป็นบางครั้งคราวทำให้คนไม่มีทางมองข้ามความฉลาดเฉียบแหลมของเขาไปได้
เห็นเพียงเขาส่ายหน้าเบาๆ บนใบหน้าคล้ายมีความเสียดายอย่างยิ่ง “ความรู้ของใต้เท้าเสิ่นผู้นี้กลับไม่เลว การวางตัวซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เพียงแต่เขากลับไม่ค่อยรู้เรื่องของนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเท่าไรนัก” หรือว่าเก็บไว้ไม่บอก ไม่เพียงแต่ไม่ค่อยรู้ แต่ไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว
พูดถึงกวีและบทเพลง ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้กลับเชี่ยวชาญ แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับการบริหารงานราชสำนัก ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้กลับไร้เดียงสายิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาลองหยั่งเชิงอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดจึงมั่นใจว่าเขาไม่ได้แกล้ง แต่กลับไม่รู้จริงๆ
องค์ชายรองกลับไม่ผิดหวัง หากนายท่านผู้เฒ่าโหวสามารถดึงมาเป็นพวกได้ง่ายเพียงนั้น เสด็จพ่อก็คงจะไม่เชื่อใจมอบหน้าหน้าที่สำคัญให้เขา นั่นคือจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์กลับกลอก มิเช่นนั้นจะปีนจากโคลนตมขึ้นมาบนตำแหน่งสูงอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร เดิมทีเป็นนายพล แต่กลับนั่งครองตำแหน่งหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นตำแหน่งราชครูรัชทายาท แม้จะบอกว่าเป็นเพียงตำแหน่งไม่มีอำนาจแท้จริง แต่ก็สูงส่งมีเกียรติยศ รับหน้าที่อบรมรัชทายาท ทั้งยังสามารถพูดคุยกับเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อ คนเช่นนี้หากยืนอยู่ฝั่งเขาได้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเป็นแรงสนับสนุนยิ่งใหญ่เพียงใด
“จางจ่างสื่อคิดว่าเรื่องนั้นนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นจะสอดเท้าเข้ามาหรือไม่” องค์ชายรองถาม เสด็จพ่อออกพระราชโองการลับส่งผู้ตรวจการโจวไปนอกด่านทางตอนเหนือ ในความลับใครบ้างไม่รู้ว่าเสด็จพ่อยังเหลือทางหนีทีไล่ไว้อยู่หรือไม่ อย่างไรเสียนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นก็เป็นนายพล นำทัพมาทั้งชีวิต มีชื่อเสียงบารมีในกองทัพ มีเครือข่ายด้วยเช่นเดียวกัน
“ไม่แน่ใจเท่าไรนัก” จางจี้ส่ายหน้า ความคิดและวิธีการของฝ่าบาทไหนเลยจะถูกคนล่วงรู้ได้ง่ายๆ
บนใบหน้าองค์ชายรองมีความผิดหวังหลายส่วน คิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในเมื่อเสิ่นหงเซวียนไร้ประโยชน์ จ่างสื่อก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเป็นคนฉลาด หากถูกเขาสังเกตได้จะแย่เอา”
จนถึงตอนนี้ แม้ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นจะไม่รับสันติภาพจากเขา แต่ก็ไม่ได้ถือหางไท่จื่อหรือองค์ชายคนอื่นๆ จิ้งจอกเฒ่าแบบนี้ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ง่ายๆ เขากังวลว่าการเคลื่อนไหวฝั่งตนจะสร้างความไม่พอใจให้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นมากเกินไป หากบีบบังคับจนเขาเข้าค่ายทหารของผู้อื่นเช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
“นั่นอาจไม่จำเป็น ผู้น้อยกับใต้เท้าเสิ่นสนิทสนมกับจากเรื่องบุ๋น แม้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นรู้แล้วจะพูดอะไรได้” จางจี้กล่าวช้าๆ “บางครั้งความสูญเสียอาจจะได้มาซึ่งสิ่งที่ใหญ่กว่า ไม่แน่ว่าพวกเราอาจหาช่องโหว่จากเขาได้” ตั้งแต่มั่นใจในนิสัยของเสิ่นหงเซวียนผู้นี้ เขาก็วางแผนไว้แล้ว แม้จะต้องบีบบังคับ เขาก็ต้องบีบให้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นมาอยู่ฝั่งองค์ชายรองให้ได้ เขาไม่เชื่อว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นจะทิ้งลูกชายไปเฉยๆ โดยที่ไม่สนใจใยดีได้
ดวงตาองค์ชายรองกะพริบวาบ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรได้แล้ว บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ สายตาที่มองจางจี้อบอุ่นยิ่งขึ้น “เช่นนั้นก็ลำบากจ่างสื่อแล้ว”
จางจี้ประสานมือกล่าว “นี่ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของผู้น้อย” หยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างทีเล่นทีจริง “ฟังว่าผู้ตรวจการโจวผู้นั้นถูกลอบสังหารเจ็ดแปดรอบแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถไปถึงนอกด่านได้อย่างปลอดภัยหรือไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าองค์ชายรองกว้างยิ่งขึ้น “ใครจะรู้เล่า เพียงแต่หลายปีมานี้ผู้ตรวจการโจวก็โชคไม่ค่อยดีจริงๆ ขุนนางทั่วราชสำนักก็มีเขาที่ถูกลอบสังหารเยอะที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าตำแหน่งสุสานตระกูลเขาไม่ดีหรือไม่” ทั้งใบหน้าองค์ชายรองมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่มีความรู้สึกดีกับผู้ตรวจการโจวผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าว่าเจ้าอายุปูนนี้แล้ว ก็ควรอยู่ทำตัวดีๆ ในเมืองหลวง วางแผนอนาคตลู่ทางให้ลูกหลานในตระกูล เขากลับไม่ทำ วันๆ เอาแต่กล่าวโทษผู้นี้กล่าวโทษผู้นั้น ในไข่ไก่ยังหากระดูกออกมาได้ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักล้วนแทบจะถูกเขากล่าวโทษหมดแล้ว ราวกับว่าในพระตำหนักจินหลวนมีแต่ขุนนางทุจริตมีเพียงเขาคนเดียวที่ขาวสะอาด เหอะ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมีจุดจบที่ดีอะไรได้
อันที่จริง องค์ชายรองคิดเช่นนี้ก็ไม่เป็นธรรมจริงๆ ผู้ตรวจการโจวเพิ่งจะอายุสี่สิบหกปี เทียบกับใต้เท้าอาวุโสที่อายุเจ็บสิบแปดสิบแล้วแต่ก็ยังยึดครองตำแหน่งอยู่จำนวนมากก็นับได้ว่าอายุน้อยมีพละกำลังจริงๆ อีกทั้งตำแหน่งของเขาก็คือผู้ตรวจการ งานที่ทำก็คืองานหากระดูกออกมาจากไข่ไก่ หากวันๆ เขาเอาแต่นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงในท้องพระโรง ฮ่องเต้ยงเซวียนคงจะไม่พอพระทัย
เหตุผลที่องค์ชายรองเอ่ยถึงผู้ตรวจการโจวแล้วอยากจะกัดสักสองคำ ก็เป็นเพราะว่าผู้ตรวจการโจวทำเรื่องใหญ่เขาพัง สามปีก่อน ผู้ตรวจการโจวรับพระราชโองการไปตรวจตราที่เจียงหนาน แวดวงขุนนางเจียงหนานเกิดการสั่นสะเทือน เขาฆ่าขุนนางทุจริตหนึ่งกลุ่มในเจียงหนาน ในนั้นก็มีคนของเขา อย่างเช่นขุนนางยกกระบัตรหลี่ซูเสวียนจวนเซวียนหมิงกับตระกูลหู นี่เป็นถุงเงินของเขา ถูกผู้ตรวจการโจวถอนรากถอนโคน แม้จะบอกว่าเขารับมือได้ทันกาล ไม่ได้โยงมาถึงตัวเขา แต่กลับตัดรายได้ของเขา เงินที่ถวายให้สองแสนตำลึงต่อปี หายไปเฉยๆ นี่จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร
อย่ามองว่าแม้เขาจะสูงส่งเป็นองค์ชาย คนนอกเห็นว่ายิ่งใหญ่ อันที่จริงสภาพการเงินของเขาขัดสน ขัดสนได้อย่างไร ไม่ใช่เห็นอยู่ชัดๆ หรือ ดำรงตำแหน่งเป็นองค์ชายผู้มีปณิธานยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง ต้องเคารพเสด็จพ่อเขาเสด็จแม่เขาและนางสนมขันทีที่มีหน้ามีตาในวังหลัง ซ้ำยังต้องดึงขุนนางมาเป็นพรรคพวก เจ้าไม่ให้ผลประโยชน์แก่เขาแล้วใครจะสนใจเจ้า อนึ่งเขายังต้องแสดงอำนาจส่วนตัวของตน ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่เลี้ยงทหารกล้าตาย แม้แต่ทหารในค่ายก็เลี้ยงไม่ได้! หวังพึ่งอนาคตอันน้อยนิดนั้นในจวนองค์ชายไม่เพียงพออย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงยื่นมือไปยังเจียงหนาน กระทั่งยื่นไปยังตอนเหนือ นอกด่าน
นี่เองก็เป็นเหตุผลที่จางจี้บัณฑิตผู้เฉลียวฉลาดผู้นี้จงรักภัคดีต่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ สี่ปีก่อนองค์ชายรองเพิ่งจะอายุกี่ปีเอง เพียงแค่สิบสามสิบสี่ปี ยังไม่รับราชการหรือสมรส ก็กล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้แล้ว นี่ไม่มีทางห้ามไม่ให้จางจี้คนกลับกลอกในแวดวงขุนนางที่แสวงหาช่องทางเพื่อครึ่งชีวิตที่เหลือเลื่อมใส เทียบกับองค์ชายที่เหลือของฝ่าบาท องค์ชายรองเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดและมีความกล้าหาญเด็ดขาดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจางจี้จึงเดิมพันด้วยชีวิตครอบครัวของตนเอง หากสำเร็จ เช่นนั้นก็จะได้รับความโปรดปรานดำรงตำแหน่งในลำดับที่สูงที่สุด ความดึงดูดนี้มากเสียเหลือเกิน
ฮ่องเต้ยงเซวียนบิดาขององค์ชายรองเองก็กำลังว้าวุ่นใจ ตั้งแต่ที่ได้รับรายงานลับเขาก็โมโหเดือดดาล ลอบสังหาร ลอบสังหารอีกแล้ว! ยังไม่ทันออกจากเขตเมืองหลวงก็ถูกลอบสังหารแล้ว เห็นว่าเขาเป็นคนตายหรือไร เห็นชัดๆ ว่าผู้ตรวจการโจวออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ เร็วเพียงนี้ก็ถูกลอบสังหารแล้ว ใครกันที่ปล่อยข่าวลือ หรือว่าข้างกายเขาไม่สะอาด สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของเขามองไปยังขันทีที่ยืนอยู่ล่างระเบียงทางเดิน กำปั้นข้างกายแน่นแล้วแน่นอีก ทำให้ขันทีหลายคนนั้นเห็นแล้วเสียวสันหลัง แทบจะยืนไม่อยู่
นานอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ยงเซวียนก็เก็บสายตากลับมา เดินไปเดินมาอยู่ในห้องหลายก้าว หมุนตัวสั่ง “เรียกตัวราชครูเสิ่นเข้าวัง”
ราชครูเสิ่น หรือว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นแห่งจวนจงอู่โหวมาถึงเร็วอย่างยิ่ง “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพะยะค่ะ”
“ขุนนางเสิ่นรีบลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้ยงเซวียนรีบกล่าว อย่ามองว่าก่อนหน้านี้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นตั้งมั่นดูแลซีเจียงไม่ค่อยกลับเมืองหลวงมาโดยตลอด แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนก็เชื่อใจเขาอย่างถึงที่สุด เป็นเขาเพียงคนเดียว เพราะว่าฮ่องเต้ยงเซวียนสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นทุ่มเทเรี่ยวแรงไปมากอย่างยิ่ง
นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแล้วจึงลุกขึ้นยืน ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เอ่ยปากเขาก็รออยู่ด้วยความเคารพ
ฮ่องเต้ยงเซวียนกวาดสายตามองขันทีใหญ่จางเฉวียนปราดหนึ่ง จางเฉวียนเข้าใจ โบกมือ เหล่าขันทีที่ยืนอยู่ในตำหนักก็เรียงแถวออกไป ทั้งหมดถอยออกไปหมดแล้ว จางเฉวียนเองก็ถอยออกไป ยืนอยู่ล่างระเบียงทางเดินคุ้มกันด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด ท่าทางเชื่อฟัง
“ขุนนางลองอ่านดูเถิด” ฮ่องเต้ยงเซวียนส่งรายงานลับที่ได้รับมาให้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่น
นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นยื่นสองมือไปรับด้วยความเคารพ อ่านจบแล้วคิ้วก็ขมวดมุ่น กล่าวหนึ่งประโยค “ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องตรวจสอบจนแน่ชัด คนผู้นี้จำต้องขจัด เป็นอันตรายต่อต่อดินแดนบ้านเมืองต้ายง!”
คำพูดนี้พูดแทนใจฮ่องเต้ยงเซวียน เขายังไม่ตายก็ลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ นี่หมายความว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ใครกันที่กล้าหาญถึงเพียงนี้
เมื่อแรกเริ่มฮ่องเต้ยงเซวียนยังคิดว่าเป็นอ๋องเคียงบ่าที่หนีไปไกลผู้นั้น ความคิดนี้ผุดขึ้น เขาก็หวาดกลัวในใจ สี่ปีก่อนพวกเขาก็เริ่มวางแผน เหตุใดถึงได้ลงมือกับแม่ทัพอันอันอี้เล่า หรือว่าอันอี้ขัดขวางพวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขาต้องการทำอะไรที่นอกด่านกันแน่ นี่เป็นเรื่องที่ตนรู้ เรื่องที่ยังไม่ถูกเปิดโปงออกมาเหล่านั้นใช่จะยังมีอีกหรือไม่ เมื่อคิดถึงทหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเขาชิงลั่ว ฮ่องเต้ยงเซวียนก็รู้สึกกระวนกระวาย ชั่วขณะไม่อาจสงบจิตใจได้
“ขุนนางคิดว่าเรื่องนี้ใช่เกี่ยวข้องกับ…หรือไม่” ฮ่องเต้ยงเซวียนใช้มือทำท่านทาง
นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเป็นผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องในปีนั้นเช่นกัน ได้ยินดังนั้นชั่วขณะในใจก็หวาดกลัว ใคร่ครวญครู่หนึ่งกลับกล่าว “ฝ่าบาท เกรงว่าท่านจะหวาดระแวงเกินไป กระหม่อมคิดว่านี่ไม่เหมือนฝีมือของคนผู้นั้น” อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรที่สุด รักทหารดั่งลูก ไม่มีทางใช้วิธีเห็นแก่ตัวมาปั้นเรื่องสังหารแม่ทัพเช่นนี้แน่นอน
เพื่อยืนยันความคิดเขาจึงกล่าว “สี่ปีก่อนกระหม่อมยังอยู่ที่ซีเจียงได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจอย่างถึงที่สุด กระหม่อมไปมาหาสู่กับแม่ทัพอันหลายครั้ง เขามีนิสัยตรงไปตรงมา รักและดูแลทหารใต้บังคับบัญชาอย่างดีที่สุด ไม่น่าจะทำเรื่องทุจริตเงินกองทัพได้”
การตายของแม่ทัพอันเป็นความเสียใจในใจของนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่น เขาอายุน้อยกว่านายท่านผู้เฒ่าโหวเกือบยี่สิบปี ในด้านการทหารก็ค่อนข้างมีฝีมือ ทั้งสองยังเคยร่วมมือกันหนึ่งครั้ง นายท่านผู้เฒ่าโหวชื่นชมเขาอย่างถึงที่สุด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับเขา นายท่านผู้เฒ่าโหวก็คิดด้วยสัญชาตญาณว่ามีคนวางแผนใส่ร้าย แต่เขาอยู่ซีเจียง กว่าจะส่งคนไปสืบข่าว เรื่องนี้ก็จบลงแล้ว แม้แต่สายเลือดของแม่ทัพอันก็ไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว
“เป็นเราที่คิดพลาดไป” ฮ่องเต้ยงเซวียนใคร่ครวญคำพูดของนายท่านผู้เฒ่าโหว รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก แม้จะยืนอยู่ในจุดตรงข้าม แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนก็จำใจต้องยอมรับว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของอ๋องเคียงบ่า เขาไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าเช่นนั้น
ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือของอ๋องเคียงบ่า เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเป็นใครสักคนในราชสำนัก คนรู้จักนี้ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนยิ่งโมโห เงินเดือนมหาศาลของเขาที่เลี้ยงพวกเขา พวกเขากลับตอบแทนเขาเช่นนี้หรือ “สืบ สืบให้เราจนถึงที่สุด เราอยากดูว่าใครหน้าไหนที่มันกำเริบเสิบสานเช่นนี้”
เผชิญหน้ากับไฟโกรธของฮ่องเต้ยงเซวียนนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นก็นิ่งเงียบ สืบคดีแม่ทัพอันที่นอกด่านนี้เบื้องหน้ามีผู้ตรวจการโจว เบื้องหลังยังมีกรมอาญา ศาลต้าหลี่กับสำนักตรวจตรา ราชครูรัชทายาทเช่นเขามีหน้าที่หลักคืออบรมไท่จื่อ ฝ่าบาทไม่เรียก เขาก็ไม่ต้องลุยน้ำขุ่นเที่ยวนี้
สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นขุนนางก็คือเชื่อฟัง เชื่อฟังใครน่ะหรือ ใครนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นเขาก็ต้องเชื่อฟังคนผู้นั้น คิดถึงข่าวที่เวยเอ๋อร์สั่งคนส่งกลับมา เขาทั้งโกรธทั้งหมดแรง ไม่ต้องพูดถึงเขาที่จงรักภัคดีต่อฝ่าบาท เพียงแค่สถานการณ์ในตอนนี้ ฝ่าบาทยังอยู่ในช่วงอายุที่ดีที่สุด จะทนให้ขุนนางเบื้องล่างเป็นปฏิปักษ์แต่เนิ่นๆ ได้อย่างไร
ลูกที่โง่เขลาของเขาผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าไปสนิทสนมกับจางจี้ ไม่หัดดูเสียบ้างว่าเขาเป็นคนของใคร องค์ชายรองปฏิบัติต่อเขาดีหลายครั้งเขาทราบ ล้วนถูกเขาปฏิเสธอย่างสุภาพไปแล้ว จวนจงอู่โหวตั้งตระหง่านไม่โค่นล้มเป็นเพราะอาศัยคุณูปการทางทหาร จงรักภัคดีต่อฝ่าบาท เขาไม่ได้อยากลงเรือนลำขององค์ชายองค์ใด
แผนการของจางจี้คำนวณไว้ดีอย่างยิ่ง เตรียมจะเปิดทางจากนายท่านสามจวนจงอู่โหวเสิ่นหงเซวียน จากนั้นก็ลากนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นมาลงเรือรบขององค์ชายรอง