ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 233-2 สั่งสอนจางจ่างสื่อ

 

 

วันนี้จางจี้กับเสิ่นหงเซวียนเพิ่งจะก้าวเข้าหอไท่ไป๋ เสิ่นเวยก็ได้รับข่าวทันที เหตุใดถึงเร็วเพียงนั้นน่ะหรือ ก็เพราะว่านางไม่วางใจพ่อนางคนสมองกลวงผู้นั้น ท่านปู่อายุมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงมากเพียงนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นบิดาเจ้าของร่างกายนี้ของนาง หากเกิดเรื่องหายนะอะไรขึ้นมา สร้างปัญหาให้ท่านปู่เป็นเรื่องเล็ก แต่น้องชายของนางเจวี๋ยเอ๋อร์ยังเล็ก ไม่อาจเสียที่พึ่งเช่นจวนจงอู่โหวนี้ไปได้

 

 

หากไม่ใช่ทำเพื่อสองคนนี้ นางจะสนหรือว่าพ่อนางจะเป็นจะตาย ด้วยเหตุนี้วันนั้นหลังกลับไปแล้วนางจึงให้คนไปสะกดรอยตามพ่อนาง ไม่เพียงแต่พ่อนาง แม้แต่ท่านลุงใหญ่ท่านลุงรองของนาง กระทั่งข้างกายพี่รองและคนอื่นๆ นางก็สั่งคนไปดูเช่นกัน

 

 

เสิ่นเวยโมโหแล้ว ท่านปู่เคยตักเตือนแล้ว ไม่คิดว่าพ่อนางจะยังไปมาหาสู่กับจางจี้อยู่อีก สมองคนผู้นี้ไปอยู่ที่ก้นหรือไร ยังมีจางจี้ เจ้ามีความสามารถนักก็ไปพยายามกับปู่ข้าสิ เก็บลูกพลับนิ่มมาบีบ ซ้ำยังบีบแล้วบีบอีก บีบจนติดแล้วใช่หรือไม่ คนชั่วไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องถูกกรรมตามสนอง วันนี้หากกูไหน่ไนไม่สั่งสอนเจ้าข้าก็คงไม่แซ่เสิ่น

 

 

สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยมีท่าทางโมโหกัดฟันกรอดเป็นพักๆ รู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง จึงถาม “ใครยั่วโมโหเจ้าเข้าแล้ว”

 

 

“นอกจากพ่อที่โง่ของข้าจะยังมีใครอีก” เสิ่นเวยกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี เหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “ยังมีลูกผู้น้องตัวดีของท่านด้วย”

 

 

สวีโย่วเข้าใจในทันที คราวก่อนราชบัณฑิตเจียงส่งจดหมายมาน้องสี่แซ่เสิ่นไม่ได้ปิดบังเขาแม้แต่นิดเดียว องค์ชายรองผู้นั้นก็เป็นลูกผู้น้องของเขาจริงๆ แม้ว่าทั้งสองจะไม่สนิทกันก็ตาม

 

 

“เจ้าคิดจะทำอย่างไร” สวีโย่วกล่าวด้วยสีหน้าเหยเกเล็กน้อย จิตใจลูกผู้น้องคนนี้ของเขาก็รีบร้อนเกินไปแล้วหรือไม่ ฝ่าบาทยังอยู่ในช่วงอายุที่ดีที่สุดเขาก็นั่งไม่ติดแล้วหรือ แต่ว่าเขาไม่หาเรื่องใครดันมาหาเรื่องนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่น ไม่รู้หรือว่าเขามีหลานสาวที่ถือหางทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่คนหนึ่ง

 

 

เห็นท่าทางนี้น้องสี่ของเขากำลังโกรธแล้ว ใครบางคนจะต้องซวย! สวีโย่วจุดเทียนให้องค์ชายรองเงียบๆ ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“ไป ท่านไปหอไท่ไป๋เป็นเพื่อนข้าเที่ยวหนึ่ง” เสิ่นเวยกล่าว

 

 

จางจี้ใช่หรือไม่ จ่างสื่อจวนองค์ชายรองใช่หรือไม่ เสือไม่คำรามคาดไม่ถึงว่าเจ้าเห็นจวนจงอู่โหวของข้าเป็นแมวป่วย ดูสิว่ากูไหน่ไนจะจัดการเจ้าอย่างไร!

 

 

สวีโย่วย่อมต้องรับปากอย่างไม่รีรอ ต่อให้น้องสี่ของเขาอยากฆ่าคนเขาก็จะต้องตามไปยื่นดาบให้ข้างๆ สามีภรรยาร่วมแรงร่วมใจ ใครให้เขาหวงแหนน้องสี่แซ่เสิ่นเล่า

 

 

หอไท่ไป๋เป็นกิจการขององค์ชายรอง เรื่องนี้มีเพียงคนไม่กี่คนที่รู้ เพราะว่ามีสวีโย่วหัวหน้าภารกิจลับที่ใหญ่ที่สุดในต้ายงผู้นี้อยู่ เสิ่นเวยย่อมต้องรู้ มิน่าเล่าจางจี้ถึงกล้านัดพบพ่อนางที่นี่อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย

 

 

ผู้จักการหอไท่ไป๋ย่อมรู้จักสวีโย่ว เมื่อเห็นเขาพาภรรยาเข้ามา ก็ตกใจวิ่งเข้ามาอย่างกระตือรือร้นทันที “ผู้น้อยเคารพผิงจวิ้นอ๋อง ท่านนี้คือจวิ้นจู่เหนียงเหนียงใช่หรือไม่ ผู้น้อยขอคารวะ วันนี้ท่านทั้งสองมาเยี่ยมเยียน ร้านเล็กๆ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ!” บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มไมตรีจิต “เชิญ ท่านทั้งสองเชิญที่ห้องส่วนตัวชั้นบนขอรับ”

 

 

เสิ่นเวยกวาดสายตามองคนผู้นี้ปราดหนึ่งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กลับเป็นคนที่ปราดเปรียวจริงๆ!

 

 

“นำทางไป” สวีโย่วเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าเมินเฉย

 

 

ขึ้นไปถึงชั้นสองก็เห็นห้องส่วนตัว เสิ่นเวยตรงไปยังห้องข้างที่พ่อนางอยู่ทันที ผู้จัดการเห็นแล้วก็ร้อนใจ “จวิ้นจู่เหนียงเหนียงจะไปไหนหรือ ห้องข้างนั้นมีแขกแล้วขอรับ”

 

 

เสิ่นเวยหันหน้า เชิดคางสูง “ทำไม ตัวข้าจวิ้นจู่จะทำอะไรยังต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ” เบนสายตา “ข้ารู้ว่ามีแขก หากไม่มีแขกข้าก็คงไม่ไปหรอก”

 

 

“ผู้…ผู้น้อย…” ผู้จัดการอ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก เขารู้ว่าในห้องข้างห้องนั้นคือจางจ่างสื่อกับบิดาของจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นี้ คงไม่ใช่ว่าจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นี้ไม่ได้มากินข้าวแต่มาหาเรื่องหรอกกระมัง

 

 

สวีโย่วกวาดสายตามองผู้จัดการที่เหงื่อแตกอย่างเย็นชา “สงบจิตใจทำงานของเจ้าให้ดี ไม่ใช่ต้องแนะนำอาหารของหอไท่ไป๋ให้ตัวข้าจวิ้นอ๋องหรอกหรือ พูดต่อเถิด” หนึ่งประโยคดึงผู้จัดการกลับมาที่เดิม

 

 

เสิ่นเวยเหลือบมองสวีโย่วด้วยความพอใจ มุมปากยกขึ้นเดินไปยังห้องข้างห้องนั้นต่อ

 

 

เมื่อเสิ่นเวยเข้าไปใกล้ เด็กรับใช้หน้าประตูก็ขัดขวางทันที “ฮูหยินท่านนี้เดินผิดทางแล้วหรือไม่”

 

 

มุมปากเสิ่นเวยกระตุก เย่ว์กุ้ยก้าวไปข้างหน้า แย้มยิ้มดั่งบุปผา “พี่ชายน้อยผู้นี้ จวิ้นจู่ของข้าไม่ได้มาเดินผิดทาง นายท่านของพวกข้ากำลังดื่มสุรากับจางจ่างสื่ออยู่ข้างในมิใช่หรือ จวิ้นจู่ของพวกเรากตัญญู นี่ไม่ใช่ว่ามาเคารพหรอกหรือไร”

 

 

ปากกล่าวอธิบาย มือก็ไม่ได้ว่าง บิดแขนของเด็กรับใช้ผลักไปอีกฝั่งหนึ่งทันที หมุนตัวถีบประตูห้องเปิดออก “จวิ้นจู่ เชิญ!”

 

 

เสิ่นเวยยืดตัวตรง ก้าวเท้าเดินเข้าไปประหนึ่งราชินีทะนงตน

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ย่อมต้องรบกวนเสิ่นหงเซวียนกับจางจี้ที่กำลังดื่มสุราสนทนากันอยู่ “ใครกันบังอาจเช่นนี้” จางจี้หันหน้าตะโกนถามหนึ่งครา เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาเป็นสตรีอายุน้อย ก็อดตกใจไม่ได้

 

 

เสิ่นหงเซวียนเองก็ตกใจสุดขีด “เวยเอ๋อร์ เหตุใดถึงเป็นเจ้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

 

 

เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ กล่าวเสียงเบา “ลูกกับท่านพี่ออกมาเดินเล่น เดินมาถึงละแวกนี้ก็เหนื่อย ท่านพี่บอกว่าหอไท่ไป๋เป็นกิจการขององค์ชายรอง ต่างก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน จึงขึ้นมาพักเท้าเสียหน่อย บังเอิญเห็นท่านพ่ออยู่ที่นี่ จึงเข้ามาเคารพ”

 

 

ไม่รอให้เสิ่นหงเซวียนพูดนางก็กล่าวต่อ “ท่านพ่อ ใต้เท้าท่านนี้คือใคร ดูบุคลิกสูงสง่า จักต้องเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่สักคนในราชสำนักแน่เลยใช่หรือไม่ ท่านพ่อไปมาหาสู่ด้วยจะต้องมีผลประโยชน์เป็นแน่ ท่านปู่รู้ว่าท่านก้าวหน้าเช่นนี้จะต้องดีใจอย่างถึงที่สุดแน่นอน” บนใบหน้าของเสิ่นเวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สีหน้าท่าทางมีความชื่นชม คล้ายกับดีใจแทนพ่อนางอย่างยิ่ง

 

 

ทว่าสีหน้าของเสิ่นหงเซวียนกลับอึดอัดเล็กน้อย เกิดความหวาดระแวงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ แม้เขาจะไม่เข้าใจลูกสาวคนนี้มากนัก แต่กลับรู้สึกได้รางๆ ว่าตอนนี้ลูกสาวไม่ค่อยพอใจ เพราะว่านางไม่เคยแสดงความเคารพเช่นนี้ต่อหน้าเขามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นนี้อีก

 

 

เขาไอเบาๆ หนึ่งคราอย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เวยเอ๋อร์ คนผู้นี้คือจางจ่างสื่อแห่งจวนองค์ชายรอง เป็นสหายของพ่อ”

 

 

บนใบหน้าของเสิ่นเวยปรากฏความประหลาดใจหลายส่วน “ที่แท้แล้วก็เป็นจ่างสื่อจวนองค์ชายรองนี่เอง! มิน่าเล่าถึงได้พูดคุยถูกคอกับท่านพ่อ” หันหน้ามองพ่อนาง “เอ๋ ก่อนหน้านี้เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงมาก่อน ในเมื่อเป็นสหาย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรู้จักกันมาหลายปีแล้วใช่หรือไม่ ไม่นึกว่าลูกจะไม่รู้ว่าท่านพ่อมีสหายผู้นี้ด้วย” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่พอใจ

 

 

คราวนี้อย่างว่าแต่เสิ่นหงเซวียน แม้แต่สีหน้าของจางจี้เองก็อึดอัดเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนประสานมือกล่าว “ท่านผู้นี้ก็คือจยาฮุ่ยจวิ้นจู่บุตรสาวที่รักของพี่เสิ่นใช่หรือไม่ ผู้ชราขอคารวะ เรียนให้จวิ้นจู่ทราบ แม้ผู้ชรากับพี่เสิ่นจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็เลื่อมใสในการวางตัวและความสามารถของพี่เสิ่นมากเป็นพิเศษ”

 

 

“ใช่ๆๆ พ่อกับพี่จางเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ” เสิ่นหงเซวียนรีบกล่าวคล้อยตาม

 

 

เสิ่นเวยหลุดหัวเราะหนึ่งครา “จะไม่เข้ากันได้อย่างไร ท่านพ่อท่านติดนิสัยปัญญาชน ตรงไปตรงมาเกินไปจริงจังเกินไป ยังไม่ค่อยเหมาะกับแวดวงขุนนางจริงๆ ลูกเป็นห่วงอยู่เสมอว่าท่านอยู่ข้างนอกจะผิดใจคนอื่น ยังคงเป็นท่านปู่ที่บอกว่าท่านอยู่ในกรมพิธีการ ไม่ได้มีหน้าที่สำคัญมากนัก เหล่าผู้มีประสบการณ์กลุ่มนั้นเพียงแค่เห็นแก่หน้าของท่านปู่จึงไม่กล้าขุดหลุมวางกับดักท่าน มีตำแหน่งว่างให้ท่านก็ยังดีกว่ายั่วโมโหเขาเหมือนอย่างท่านลุงรอง คราวก่อนฝ่าบาทจะเลื่อนตำแหน่งให้ท่าน ท่านปู่รีบปฏิเสธ มีหัวมากเท่าใดก็ต้องสวมหมวกมากเท่านั้น บอกว่านิสัยของท่านไม่เหมาะจะรับตำแหน่งขุนนางชั้นสูง ลำดับสี่ก็ถือว่าฝ่าบาททรงพระกรุณามากเป็นพิเศษแล้ว เลื่อนขึ้นอีกจะทำให้การงานเสียหาย…

 

 

…ฝ่าบาทยังทอดถอนใจ ชื่นชมว่าท่านปู่มีคุณธรรมสูงส่ง บอกว่าหากขุนนางบุ๋บู๊ทั่วราชสำนักรู้สำนึกเช่นท่านปู่ ไยจะต้องกังวลอีกว่าดินแดนต้ายงจะไม่เจริญ ท่านปู่ก็บอกว่า นี่เป็นความเห็นแก่ตัวของคนเป็นพ่อเช่นเขา ลูกชายไม่มีความสามารถเช่นนั้นก็อยู่อย่างสงบดีกว่า อย่าขวนขวายความทะเยอทะยานอะไรนั่นเลย สงบเสงี่ยมเจียมตัวก็สามารถร่ำรวยมีเกียรติได้ ไม่ถึงกับต้องหาเรื่องใส่ตัว จางจ่างสื่อ ท่านว่าท่านปู่ของข้าพูดถูกหรือไม่”

 

 

เสิ่นเวยชายตามองจางจี้ ในดวงตามีประกายที่ไร้ต้นสายปลายเหตุกะพริบวาบ จางจี้เห็นแล้วในใจก็อดเต้นไม่ได้ จวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นี้พูดแฝงความนัย!

 

 

อย่างไรเสียจางจี้ก็สุขุม ต่อให้ในใจจะตกใจ แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้ม “คำพูดของราชครูเสิ่นย่อมรู้ชัดเห็นแจ้ง ความประพฤติของราชครูเสิ่นพวกข้าไม่อาจเทียบได้ สู้ไม่ได้จริงๆ!”

 

 

เสิ่นเวยยิ้มอีกครั้ง “จางจ่างสื่อเฉียบแหลมจริงๆ มิน่าเล่าถึงพูดคุยถูกคอกับท่านพ่อข้า ท่านพ่อข้าชอบความสวยงามที่สุด หลงใหลในกวีภาพวาดพู่กัน ในภายหน้าหากองค์ชายรองต้องออกไปประจำพื้นที่ในศักดินา เป็นฟานอ๋อง ก็ถือว่าสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าทิ้งผลประโยชน์มากมายไว้ให้หรือ เป็นจ่างสื่อจวนองค์ชายรอง ต้องเชื่อฟังเจ้านายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่างแล้วไม่มีอะไรทำไม่ศึกษาบทกวีแล้วจะไปทำอะไรได้”

 

 

เสิ่นเวยแทบจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ในภายหน้าองค์ชายรองต้องออกไปประจำพื้นที่ ราชสำนักไม่หวังให้เขามีความสามารถมีอนาคต จางจ่างสื่อเจ้าก็ไม่ต้องวิ่งเต้นกระโดดไปมา กลับบ้านไปศึกษาบทกวีบทประพันธ์ก็พอ

 

 

“จวิ้นจู่พูดถูกอย่างยิ่ง” ในใจจางอี้อึดอัดอย่างมาก แต่ใบหน้ากลับไม่เผยอารมณ์เลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

นี่ทำให้เสิ่นเวยด่าเขาว่าจิ้งจอกเฒ่าในใจอย่างเคียดแค้น เมื่อเทียบกับพ่อนาง อารมณ์ก็ยิ่งไม่ดี คนอื่นเป็นพ่อคนปกป้องบุตรสาว แต่บ้านนางกลับไม่ใช่ ยังต้องให้นางผู้เป็นบุตรสาวมาจัดการปัญหาวุ่นวายแทนพ่อ

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ แววตานางก็มีความเย็นเยียบกะพริบผ่าน “ท่านพ่อ ลูกฟังว่าเมื่อคืนท่านปู่ถูกลมหนาว เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ค่อยดีนัก ลูกกำลังเตรียมจะกลับไปเยี่ยมเขา ท่านจะกลับไปพร้อมกันกับลูกเลย หรือว่าท่านจะพูดคุยกับจางจ่างสื่อต่อ สองคนดื่มสุรากันจะไปสนุกอะไร ข้าจะทิ้งสาวใช้ไว้ที่นี่ถือการินสุราแทนพวกท่าน”

 

 

“อะไรนะ ท่านพ่อไม่สบายหรือ” เสิ่นหงเซวียนลุกขึ้นยืนทันที “เหตุใดพ่อถึงไม่รู้เล่า”

 

 

เสิ่นเวยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ใบหน้าชราภาพของเสิ่นหงเซวียนก็แดงทันที กล่าวกับจางจี้ “พี่จาง พ่อข้าไม่สบาย พวกเราค่อยพบกันวันหลังเถิด” บนใบหน้ามีความกังวล

 

 

จางจี้เองก็มีท่าทางกังวลเช่นกัน “พี่เสิ่นรีบกลับไปดีกว่า สุขภาพราชครูเสิ่นสำคัญ”

 

 

เสิ่นหงเซวียนประสานมือให้เขา “ขอบคุณพี่จางที่เข้าใจ”

 

 

เสิ่นเวยกับพ่อนางเดินไปข้างนอกพร้อมกัน เดินไปได้สองก้าวเสิ่นเวยก็พลันหันหน้ากลับมา มองจางจี้อย่างแน่นิ่งครู่หนึ่ง แย้มยิ้ม จากนั้นจึงเดินไปข้างนอกต่อ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset