“ท่านพ่อคิดว่าลูกอยากพูด อยากยุ่งหรือไร หากไม่ใช่เห็นว่าท่านปู่อายุมากแล้ว หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่น้องเจวี๋ย ข้าก็ไม่สนว่าท่านจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรอก! ท่านพ่อ ท่านสร้างความลำบากใจให้ท่านปู่น้อยหน่อยได้หรือไม่ ชิงบัลลังก์เรื่องใหญ่เช่นนี้ท่านคิดว่าท่านมีสมองคิดแผนการได้หรือ ลูกพูดกับท่านตรงๆ องค์ชายรองอยากดึงท่านปู่เข้าเป็นพวก ถูกท่านปู่ปฏิเสธแล้ว ดังนั้นเขาจึงมาหาท่าน หากท่านไม่เชื่อ ยังอยากดื่มสุราพูดคุยกับมิตรสหายของท่าน ก็ได้ มาๆๆ พวกเรามาตัดความสัมพันธ์กันก่อน ขอเพียงแค่ท่านไม่ใช่นายท่านสามแห่งจวนจงอู่โหว ท่านจะไปไหนก็เรื่องของท่าน แต่ว่าหลุดออกจากตำแหน่งนี้แล้ว เขาจะรู้หรือไม่ว่าท่านเป็นใคร! ท่านพ่อ หรือว่าท่านต้องให้หายนะมาอยู่ตรงหน้าก่อนจึงจะสำนึกได้”
ถูกลูกสาวพูดฉีกหน้าเช่นนี้ เสิ่นหงเซวียนจะยังมีหน้าอยู่ได้อย่างไร อยากจะมุดแผ่นดินหนีอย่างยิ่งเสียจริงๆ
นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวต่อ “เวยเอ๋อร์พูดถูกต้อง ลูกหลานมีวาสนาของลูกหลานเอง พ่อแก่แล้ว พูดอะไรไปก็ไม่มีใครฟัง ไม่ไหวจริงๆ ก็แยกบ้านเถิด หากเจ้าเผชิญหายนะก็เป็นเพียงแค่ตระกูลเจ้าที่เผชิญหน้า ไม่อาจโยงมาถึงจวนโหวได้”
เสิ่นหงเซวียนได้ฟังก็ลนลานแล้ว โถมตัวคุกเข่าลง “ท่านพ่อโปรดระงับโทสะ ลูกสำนึกผิดแล้ว พ่อแม่ยังอยู่ จะแยกบ้านได้อย่างไร ข้างนอกจักต้องก่นด่านินทาลูกลับหลังว่าอกตัญญูเป็นแน่!” ตอนนี้บ้านสามไม่มีแม้แต่นายหญิงโดยชอบธรรม แยกบ้านแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร อยู่ในจวนตนไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องร้อยแปดพันเก้า สบายใจยิ่งนัก เสิ่นหงเซวียนไม่อยากแยกบ้านเลยแม้แต่นิดเดียว
ทว่านายท่านผู้เฒ่าโหวกลับกล่าว “ต้นไม้ใหญ่แตกกิ่ง นี่เป็นหลักทำนองคลองธรรม เจ้าวางใจเป็นข้าเองที่ตัดสินใจแยก ข้างนอกไม่อาจพูดถึงเจ้าได้”
เสิ่นหงเซวียนย่อมต้องคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน แยกบ้านเขาก็เป็นเพียงบ้านสามตระกูลเสิ่น ความสัมพันธ์กับจวนจงอู่โหวก็ห่างไกลอีกชั้น เขายังไม่โง่ถึงขั้นนั้น
เสิ่นเวยคิดว่าพ่อนางก่อกรรมใดไว้กรรมนั้นย่อมตามสนอง แต่นึกถึงน้องเจวี๋ย ยังจำใจต้องเอ่ยปากขอร้อง “ท่านปู่ ในเมื่อท่านพ่อสำนึกผิดแล้ว ท่านก็ให้โอกาสเขาอีกครั้งเถิด! ไม่เห็นแก่ท่านพ่อ ท่านก็ต้องเห็นแก่หลานและน้องเจวี๋ยหน่อยหรือไม่ มีอะไรท่านก็พูดกับท่านพ่อดีๆ แม้เขาจะไม่ฉลาดนัก ท่านก็แยกย่อยอธิบายให้เขาฟังทีละเล็กทีละน้อย เขายังคงเข้าใจได้ ท่านค่อยๆ พูด หลานไปเคารพท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ที่เรือนในก่อน”
เรื่องที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว ที่ควรระบายก็ระบายหมดแล้ว พ่อนางคุกเข่าเช่นนั้นอยู่ตรงนั้นนางเห็นแล้วบาดตายิ่งนัก ออกมาเสียดีกว่า
สวีโย่วเดินเอ้อระเหยไปตามทาง ในจวนต่างก็รู้ว่าคนผู้นี้คือท่านเขยสี่ พากันทำความเคารพอย่างนอบน้อม
หลิวรุ่ยฟังที่ออกมาจากเรือนเหลียนอีเห็นเงาร่างสูงสง่าชื่นชมทิวทัศน์อย่างสบายใจมาแต่ไกลๆ เห็นโฉมหน้าที่งดงามโดดเด่นใบนั้น ในดวงตานางก็มีความหลงใหลกะพริบผ่าน หากตนสามารถแต่งสามีที่โดดเด่นเช่นนี้ได้ ต่อให้อายุขัยจะสั้นก็ยินดี
“พี่เขยสี่!” หลิวรุ่ยฟังทำความเคารพอย่างอ่อนหวานนอบน้อม ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเขินอายของเด็กสาว บนใบหน้าที่ก้มลงน้อยๆ เต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อ หัวใจหนึ่งดวงเต้นตึกตักไม่หยุด
ไหนเลยจะรู้ว่าสวีโย่วเดินตรงผ่านนางไป ไม่มองนางแม้แต่ปราดเดียว
หลิวรุ่ยฟังประหนึ่งตกลงในถ้ำน้ำแข็ง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าล้วนเย็นยะเยือก รอยยิ้มบนใบหน้าก็แข็งทื่อ นางมองแผ่นหลังที่จากไปไกลของสวีโย่วด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า นานอย่างยิ่ง จึงกัดริมฝีปากวิ่งกลับเรือนของตน เมื่อสายลมพัด น้ำตาของนางก็ไหลลงมาไม่หยุด วินาทีนี้นางตัดสินใจแล้ว จะต้องแต่งเข้าตระกูลสูงส่ง จะต้องทำให้คนที่ดูถูกนางเหล่านั้นได้เห็นจงได้
อันที่จริงหลิวรุ่ยฟังเข้าใจสวีโย่วผิดไปจริงๆ เขาไม่ได้มีเจตนาดูถูกนางอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่หลานสาวสองคนนั้นของพระชายาจิ้นอ๋องทำให้ในใจเขามีเงามืด นอกจากน้องสี่ของเขาแล้ว ไม่ว่าสตรีคนใดก็ตามล้วนแต่เป็นนางมารปีศาจร้าย เขาล้วนแต่เคารพอยู่ห่างๆ
เสิ่นเวยเคารพท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่เสร็จแล้วก็ไปหาสวีโย่วที่เรือนเฟิงหวา เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเรื่องนี้ แม้นางจะออกเรือนแล้ว แต่อานุภาพก็ยังคงอยู่ คนรับใช้ที่ประจบประแจงนางยังมีอยู่เยอะ
เสิ่นเวยกลับไม่ได้โกรธมาก หลิวรุ่ยฟังเป็นคนฉลาดมีแผนสูง คนเช่นนี้ส่วนใหญ่มีเป้าหมายชัดเจน บอกว่านางยั่วยวนสวีโย่วกลับเป็นไปไม่ได้นัก คาดว่าคงจะเป็นอารมณ์แรกรักของเด็กสาว ใครให้สวีโย่วมีหน้าตาเป็นอัปมงคลเช่นนั้นเล่า ครั้นนางเห็นเขาครั้งแรกก็ยังตกตะลึงเลยมิใช่หรือ
ตอนที่เสิ่นเวยเห็นสวีโย่วก็มองประเมิณเขาตั้งแต่บนลงล่างหน้าไปหลังหนึ่งรอบ มองจนสวีโย่วขนลุก “ทำไมหรือ มีอะไรผิดปกติ”
เสิ่นเวยไม่ตอบ มือที่เรียวยาวบีบหน้าของสวีโย่ว “ไม่มีอะไรเพียงแต่หน้าตาดีเช่นนี้ไปเพื่ออะไร ดึงดูดสตรีอื่น” โชคดีที่สวีโย่วเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้ มิเช่นนั้นจะต้องมีหญิงโง่แมงเม่าบินเข้ากองไฟมากน้อยเพียงใด ต้องนำปัญหามาให้นางมากน้อยเพียงใด
สวีโย่วงุนงง ทันใดนั้นในแววตาก็ปรากฏความหยอกล้อ “เวยเวยก็ชอบหน้าใบนี้ของข้ามิใช่หรือ”
เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านรู้ก็ดีแล้ว!” จากนั้นก็แค่นเสียงหนึ่งครา “ดึงดูดสตรีอื่นให้น้อยหน่อย มิเช่นนั้นข้าจะทำลายใบหน้าที่งามล่มเมืองนี้ของท่าน” มือเล็กๆ ของเสิ่นเวยลูบไล้อยู่บนใบหน้าของสวีโย่ว
มุมปากสวีโย่วกระตุกเล็กน้อย งามล่มเมืองหมายถึงสตรีมิใช่หรือไร แต่ว่าเห็นประกายในดวงตาน้องสี่ของเขาแล้ว เขาก็เลือกที่จะปิดปากอย่างชาญฉลาด กล่าวเพียง “เจ้าตัดใจได้หรือ”
“ท่านแน่ใจหรือว่าข้าชอบใบหน้านี้ของท่าน” เสิ่นเวยออกแรงที่มือ ชั่วขณะก็บีบกรามของสวีโย่วไว้ ประหนึ่งบุตรหลานลูกคุณชาย “กล้านักท่านก็ลองดู ดูสิว่าข้าจะตัดใจได้หรือไม่”
สวีโย่วยื่นมือคว้าอุ้งมือที่อยู่ไม่สุขของเสิ่นเวย กุมและลูบไล้อยู่ในมือ ออกแรงเล็กน้อยก็ดึงเสิ่นเวยเข้ามาอยู่ในอ้อมอก แนบชิดหูนางแล้วกระซิบ “เวยเวยวางใจ ข้าขี้ขลาดยิ่งนัก ไม่กล้าเจ้าชู้ประตูดินหรอก”
เสิ่นเวยถูกลมหายใจของเขาเป่าจนจักจี้ เอียงหน้าหลบอย่างอดไม่ได้ แค่นเสียงสองคราเป็นการคัดค้าน แต่อยู่ในหูสวีโย่วแล้วกลับไม่มีอานุภาพอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าริมฝีปากที่ร้อนผ่าวของเขาแนบอยู่บนลำคอของนางแล้ว
สวีโย่วจูบอยู่เนิ่นนานจึงปล่อยเสิ่นเวยออก สายตาของเขาปรายผ่านเตียงใหญ่หลังนั้นในห้องด้านใน ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย ตั้งแต่คืนนั้นที่ปีนกำแพงจวนจงอู่โหวมาเยือนห้องนอนเสิ่นเวยยามดึก ในใจเขาก็มีความคิดคลุมเครือ เขาคิด เมื่อไรจะได้สุขสมกับน้องสี่ของเขาบนเตียงใหญ่หลังนั้น รสชาตินั้นจักต้องดีงามที่สุดแน่นอน คราวก่อนกลับบ้านสีหน้าน้องสี่ของเขาเหนื่อยล้า วันนี้ดูท่าแล้วก็ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีนักเช่นกัน
สวีโย่วเสียดายนัก! คิดแล้วคิดอีก เขาก็กระซิบข้างหูเสิ่นเวยหลายประโยค
ใบหน้าของเสิ่นเวยร้อนผ่าวทันที หันหน้ามองสายตาของเขาก็ทั้งตกใจทั้งแปลกใจ หมอนี่ต่างหากที่ทะลุมิติมา มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงได้ใจกล้ายิ่งกว่านาง ยังคิดจะทำบนเตียงนางให้นห้องนอนของนาง ที่แท้แล้วมารสวีก็ชอบเรื่องแบบนี้! มิน่าเล่าคนที่เย็นชาถึงได้ซ่อนเก็บอารมณ์ไว้ข้างใน
ฮ่าๆ คุณชายใหญ่สวีเป็นคนเก็บอารมณ์เก่งดีๆ นี่เอง! เสิ่นเวยประหนึ่งค้นพบความลับอะไรเข้าแล้ว ดวงตาเป็นประกาย มีความสุขยิ่งนัก
มื้อเที่ยงทานร่วมกับนายท่านผู้เฒ่าโหว ตอนที่เสิ่นเวยกับสวีโย่วเข้ามาพ่อนางไม่อยู่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าอับอายจนไปหลบอยู่ที่ไหนแล้ว หรือว่าอัดอั้นตันใจจนไปหาที่ดื่มสุราขจัดความทุกข์ใจ
เสิ่นเวยยักไหล่ บอกเป็นนัยว่าไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว! พ่อผู้นี้ก็คือพวกโง่เขลา นอกจากจะสร้างปัญญาเป็นตัวถ่วงของนางแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นางต้องการเพียงปู่และน้องชายก็พอแล้ว
เสิ่นเวยสะกิดสวีโย่ว บอกเป็นนัยให้เขารินสุราให้ท่านปู่ ตัวนางเองก็ดื่มสุราหลายแก้วเป็นเพื่อนท่านปู่
เห็นผมขาวหงอกของปู่นางแล้ว เสิ่นเวยก็รู้สึกเหนื่อยแทนเขาจริงๆ “ท่านปู่ ท่านเองก็ไม่ต้องทุกข์ใจไป พ่อข้าโง่หน่อย หรือว่าท่านส่งบ่าวรับใช้ฉลาดๆ สักคนหนึ่งให้เขา อืม ข้างกายท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองส่งไปด้วยสักคนก็ดีเหมือนกัน เลี่ยงไม่ให้ติท่านว่าเลือกที่รักมักที่ชัง”
นายท่านผู้เฒ่าโหวมองหลานสาวปราดหนึ่ง หัวเราะเยาะกล่าว “เจ้าคิดว่าบ่าวรับใช้ที่ฉลาดเช่นนี้หาง่ายเหมือนหยิบผักกาดขาวหรือไร”
เสิ่นเวยยักไหล่ กล่าวอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย “หากท่านหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ก็ให้หลานเขยท่านรับใช้ชั่วคราวเสีย ใช่หรือไม่ท่านพี่” นางหันหน้ามองสวีโย่ว ความคกุคามในดวงตาทำให้คนไม่อาจมองข้ามได้
สวีโย่วรีบแสดงท่าที “เวยเวยพูดถูก บางเรื่องท่านปู่เพียงแค่กำชับก็พอแล้ว” ทว่ามือใต้โต๊ะกลับลูบขาเสิ่นเวยหนึ่งครา
นายท่านผู้เฒ่าโหวย่อมเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของหลานคู่นี้อยู่ในสายตา ในใจรู้สึกชื่นใจอย่างถึงที่สุด ลูกชายไม่ได้เรื่อง โชคดีที่เขายังมีหลานสาวที่ดี!