เสิ่นเวยทานข้าวกับนายท่านผู้เฒ่าโหวเสร็จแล้ว จากนั้นก็ไล่สวีโย่วไปข้างๆ ตนกระซิบกระซาบกับท่านปู่ในห้องในช่วงครึ่งบ่าย ทว่าตอนที่เสิ่นเวยออกมา บนใบหน้าของนายท่านผู้เฒ่าโหวก็มีรอยยิ้ม นี่ทำให้คนรับใช้ในเรือนต่างก็สงสัยว่าคุณหนูสี่พูดอะไรกับนายท่านผู้เฒ่าโหว
อันที่จริงเสิ่นเวยเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เอ่ยเตือนปู่นางว่าอย่าลืมไปแถลงต่อหน้าฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายรองก็เป็นบุตรของเขา ผู้เป็นลูกได้รับความไม่เป็นธรรมที่นี่ ก็ต้องไปฟ้องบิดาว่าได้รับความไม่เป็นธรรมมิใช่หรือ
จากนั้นก็ไปร้องทุกข์กับฝ่าบาทบ่อยๆ บุตรในบ้านไม่ได้ความ ไร้ทายาทสืบทอด ชีวิตผ่านไปด้วยความลำบาก ไม่สู้ลงสนามรบฆ่าศัตรูยังมีความสุขมากกว่า
จิตใจมนุษย์มีความรู้สึก แม้ฝ่าบาทจะเป็นจักรพรรดิ แต่เขาก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เป็นบิดาเช่นกัน ตามอายุของเหล่าองค์ชายที่ค่อยๆ โตขึ้น เขาน่าจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อดี
เสิ่นเวยโบกมือลาปู่นางด้วยความอาลัยอาวรณ์ รถม้าเพิ่งจะจอดอยู่หน้าประตูใหญ่จวนจิ้นอ๋อง พ่อบ้านเจี่ยงปั๋วก็ยืดพุงอ้วนๆ นั่นวิ่งเข้ามาแล้ว มือหนึ่งปาดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวอย่างรีบร้อน “จวิ้นอ๋อง จวิ้นจู่ ท่านกลับมาแล้ว! พระชายาหาท่านอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว”
เสิ่นเวยกับสวีโย่วสบตากันปราดหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน หลังจากฉีกหน้าเมื่อคราวก่อน พระชายาจิ้นอ๋องก็สงบนิ่งไปเจ็ดแปดวันแล้ว นางน่าจะพักฟื้นรักษาตัว ไร้กำลังวังชา ตอนนี้ร้อนใจหาพวกเขา ดูท่าคงจะหายป่วยแล้วกระมัง
“กลับไปที่เรือนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” สวีโย่วเม้มปาก กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา
เสิ่นเวยพยักหน้า อย่างไรเสียก็รอมาครึ่งวันแล้ว รออีกชั่วครู่คงไม่เป็นไรหรอก อีกทั้งยังฉีกหน้ากันไปแล้ว นางอย่าได้คิดว่าตนจะเรียกก็มา จะไล่ก็ไปอีก ให้นางรอไปเถอะ
สวีโย่วกับเสิ่นเวยเดินกลับเรือนของพวกเขาอย่างเอ้อระเหย ส่วนฝั่งพระชายาจิ้นอ๋องก็ร้อนใจจนควันออกหูแล้ว “ไปดู ไปดู คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่กลับมาแล้วหรือยัง ออกจวนไปทั้งวันแล้วยังไม่กลับมาอีก ทำตัวอย่างกับอะไรดี ทั้งเมืองหลวงไม่มีเจ้าสาวตระกูลใดวิ่งวุ่นไปทั่ว ไป ไปรอที่หน้าประตูใหญ่” น้ำเสียงของพระชายาจิ้นอ๋องไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
จิ้นอ๋องที่นั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ ก็อดขรึมเคร่งไม่ได้ อารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก แม้จะบอกว่าน้ำเสียงของพระชายาจิ้นอ๋องไม่ค่อยดี แต่ที่พูดกลับถูก สตรีน่ะ ควรจะอยู่รับใช้สามีอบรมบุตรในเรือนหลังเงียบๆ วันทั้งวันวิ่งอยู่นอกจวนอย่างกับอะไรดี ศักดิ์ศรีจวนจิ้นอ๋องยังต้องการอยู่อีกหรือไม่
เสิ่นซื่อผู้นี้ เห็นตอนแรกยังเป็นคนดี ผ่านไปไม่กี่วันก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ คงไม่ได้เสแสร้งอย่างที่พระชายาพูดจริงๆ ใช่หรือไม่
“มาแล้ว มาแล้ว คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” มีสาวใช้เล็กเข้ามารายงาน
พระชายาจิ้นอ๋องนั่งตัวตรงทันที ชะโงกหน้ามองออกไปข้างนอก “มาถึงไหนแล้ว อยู่ไหน”
สบสายตาของพระชายาจิ้นอ๋อง สาวใช้ผู้รายงานก็อดหดตัวไม่ได้ “หน้า…หน้าประตูใหญ่เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่มาถึงหน้าประตูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
อารมณ์โกรธของพระชายาจิ้นอ๋องแทบจะพุ่งขึ้นมา ถลึงตากล่าวกับสาวใช้อย่างหงุดหงิด “ยังไม่รีบไปเร่งอีก ยืนบื้ออยู่ตรงนี้ทำไม ตาไม่มีแวว”
สาวใช้ตัวสั่นสับเท้าวิ่งออกไป พระชายาจิ้นอ๋องระบายอารมณ์แล้วก็เอนตัวพิงเก้าอี้ ท่าทางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด
เสิ่นเวยกับสวีโย่วเท้าเพิ่งจะก้าวเข้าเรือน สาวใช้ของพระชายาจิ้นอ๋องก็มาถึงแล้ว เสิ่นเวยได้ยินสาวใช้ถ่ายทอดคำพูดของพระชายาจิ้นอ๋อง คิ้วก็เลิกขึ้น ไม่พูดอะไรทั้งสิ้นก็เข้าห้องด้านในไปแล้ว
สาวใช้ยืนอยู่ด้วยใบหน้าวิตกกังวลทั้งใบ ไม่รู้เหมือนกันว่าฮูหยินใหญ่หมายความว่าอย่างไร ลั่วเหมยลอบมองพี่สาวหลายคนล้วนไม่มีเจตนาจะสนใจสาวใช้ผู้นี้ จากนั้นจึงมองเครื่องแต่งกายที่สาวใช้ผู้นี้สวมอยู่ ก็เข้าใจในทันที นางล้วงกระเป๋าเงินใบเล็กออกมาจาก**บเงิน ยกยิ้มยัดเข้าไปในมือของสาวใช้ผู้นี้ “ทำพี่สาวลำบากแล้ว มาๆๆ กินขนมดื่มชาพักสักหน่อย” จับแขนของนางลากคนไปยังห้องข้างแล้ว
สาวใช้ผู้นี้ไหนเลยจะมีกระจิตกระใจกินขนมดื่มชาอยู่อีก แต่เผชิญหน้ากับน้ำใจไมตรีของลั่วเหมยก็ไม่กล้าปฏิเสธ อีกทั้งในมือยังถือกระเป๋าเงินของผู้อื่นอยู่ จึงทำได้เพียงอดทนรอ ทว่าดวงตากลับจ้องมองไปข้างนอกนิ่งๆ แม้ลั่วเหมยจะพูดกับนางก็ยังใจลอย
เพียงแค่ครู่เดียวลั่วเหมยก็ล้วงคำพูดออกมาจากปากสาวใช้ได้ “ฮูหยินสามแพ้ท้องพระชายาจิ้นอ๋องจึงมาเชิญพวกข้าไปงั้นหรือ” เสิ่นเวยรู้สึกแปลกใจในชั่วขณะ หูซื่อแพ้ท้องเกี่ยวอะไรกับพวกเขา หรือว่าพระชายาจิ้นอ๋องยังคิดว่าเป็นฝีมือนาง เหอๆ จินตนาการกว้างไกลเกินไปแล้วกระมัง
ลั่วเหมยพยักหน้า บอกข่าวที่ได้ยินมาจากปากสาวใช้อย่างจริงจัง “เจ้าค่ะ สาวใช้ผู้นั้นพูดเช่นนี้ บอกว่าเมื่อเช้าทานอาหารเช้าเสร็จออกไปเดินเล่น กลับมาก็รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว”
เสิ่นเวยคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงกล่าว “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน”
ลั่วเหมยทำความเคารพแล้วจึงถอยออกไป เสิ่นเวยล้างหน้าเปลี่ยนชุดอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ดื่มชาหอมหนึ่งแก้ว แล้วจึงออกไปอย่างช้าๆ
สาวใช้ที่รออยู่ในห้องข้างเพิ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอก “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ พระชายายังรออยู่ พวกเรารีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
เสิ่นเวยยังไม่ทันพูด เถาจือก็ปั้นหน้าตาย กล่าวตำหนิ “ฮูหยินใหญ่อะไรกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนก็ให้เปลี่ยนไปเรียกว่าจวิ้นจู่แล้ว จำไว้ ในเรือนแห่งนี้มีเพียงจวิ้นจู่กับจวิ้นอ๋องเท่านั้น”
แม้สาวใช้ผู้นั้นจะเป็นสาวใช้ชั้นรอง แต่ก็ไม่ได้รับความโปรดปราน หากได้รับความโปรดปรานไหนเลยจะถูกผลักออกมาวิ่งทำงานเที่ยวนี้ พระชายากับฮูหยินใหญ่ อ้อไม่สิ กับจวิ้นจู่ทะเลาะกันแล้ว คนฝั่งพระชายามาที่นี่ย่อมไม่ได้รับการต้อนรับแน่นอน
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ จวิ้นจู่เหนียงเหนียง บ่าวทราบแล้ว” สาวใช้ตกใจกลัวจนหน้าถอดสี ขาทั้งคู่สั่นระริก
ทว่าเสิ่นเวยกลับมองเถาจืออย่างไม่พอใจปราดหนึ่ง “เรียกอะไรก็เหมือนกันมิใช่หรือ” จากนั้นก็ปลอบสาวใช้ “ไม่ต้องกลัวไป พี่เถาจือของเจ้าเป็นคนปากร้ายใจดี นางเองก็กลัวว่าข้าที่เป็นนายจะถูกคนดูถูก ไม่ได้ตั้งใจจะว่าเจ้า ดูสิทำเจ้ากลัวหมดแล้ว เถาจือ ยังไม่รีบเอาปิ่นฉานซือที่เจ้าได้มาใหม่ไปชดเชยให้น้องผู้นี้อีก”
เถาจือแค่นเสียงหนึ่งครา “จวิ้นจู่ท่านใจดีเกินไปแล้ว นี่ถึงได้ถูกคนขี่คอรังแก บ่าวว่า ในจวนอ๋องนอกจากท่านอ๋อง พระชายากับท่านจวิ้นอ๋อง ลำดับของท่านก็สูงที่สุดแล้ว ท่านสนใจแต่เพียงวางมาดหลังตรงก็พอ ดูสิว่าบ่าวคนไหนยังกล้าดูถูกท่านอีก” แม้ปากจะบ่น แต่มือกลับส่งปิ่นฉานซืออันนั้นเข้าไปให้ “น้องไม่ต้องถือสา ข้าก็มีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ เอ้า ปิ่นอันนี้ถือว่าชดใช้ให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ไม่…ไม่เป็นไร พี่เถาจือเองก็เกรงใจกันเกินไปแล้ว” สาวใช้โบกมือถี่อย่างลนลาน ไหนเลยจะกล้ารับปิ่นปักผมของเถาจือ
ทว่าเถาจือกลับยัดไว้ในมือนางแล้ว “บอกว่าให้เจ้าก็ให้เจ้า เก็บไว้เถอะ! ข้าเถาจือไม่ใช่คนพูดอย่างทำอย่าง”
สาวใช้ผู้นั้นมองปิ่นปักผมงามประณีตที่ถูกยัดเข้ามาในมือ ไม่กล้าเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง ปิ่นปักผมที่งดงามเช่นนี้ให้นางเช่นนี้เลยหรือ นางเองก็เคยเห็นปิ่นปักผมที่งดงามเช่นนี้บนศีรษะของพี่หวาเยียนเช่นกัน นางอยากซ่อนปิ่นปักผมอันนี้ตามจิตใต้สำนึก
เสิ่นเวยเห็นท่าที มุมปากก็ยกขึ้นเบาๆ กวาดตามองเถาจือปราดหนึ่ง เถาจือก็กล่าวอย่างหงุดหงิดอีกครั้งทันที “ยังไม่รีบนำทางไปอีก ประเดี๋ยวชักช้าแล้วจะมีใครนินทาอีก”
สาวใช้ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติอย่างสิ้นเชิง รีบกล่าวคล้อยตาม “ใช่ๆๆ จวิ้นจู่เชิญท่าน” บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ท่าทีกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว สวีโย่วก็เข้ามาแล้ว คราวนี้สาวใช้ผู้นั้นปราดเปรียวแล้ว ทำความเคารพอย่างจริงจังแล้วกล่าว “บ่าวคารวะจวิ้นอ๋อง เคารพจวิ้นอ๋อง”
สวีโย่วกล่าวอืมหนึ่งครา จูงมือเสิ่นเวยเดินไปข้างนอก “ไปเถอะ ฮูหยิน อย่าปล่อยให้พระชายารอจนร้อนใจเลย”
พระชายาจิ้นอ๋องในเรือนหลักสาปแช่งสองคนนี้ในใจพันรอบร้อยรอบแล้ว แม้แต่สาวใช้ที่ไปเชิญคนผู้นั้นก็หนีไม่พ้น “ไปดูสิว่าเสี่ยวหรงสาวใช้คนนั้นใช่ตกน้ำแล้วหรือไม่ เชิญคนยังทำได้ไม่ดี ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก”
หวาเยียนเพิ่งเตรียมจะส่งคนไปเชิญอีก ก็เห็นคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่เข้ามาแล้ว
“เคารพเสด็จพ่อและพระชายา” เสิ่นเวยกล่าวอย่างอ่อนข้อ สวีโย่วก็ยิ่งเรียบง่าย เพียงแค่ประสานมือตามอำเภอใจ แม้แต่พูดยังขี้เกียจจะพูด
สีหน้าจิ้นอ๋องกับพระชายาจิ้นอ๋องย่อมไม่ดีแน่นอน แต่นึกถึงเรื่องที่ต้องพูดหลังจากนี้ ก็ยังคงกัดฟันอดทนต่อไป
พระชายาจิ้นอ๋องยังไม่ทันเอ่ยปาก จิ้นอ๋องก็พูดขึ้นก่อน “ไปไหนกันมาทั้งวัน ในจวนอยู่ไม่ได้ใช่หรือไม่ มีเรื่องอยากตามพวกเจ้าก็ไม่มีที่ให้ตาม”
พระชายาจิ้นอ๋องเองก็กล่าวคล้อยตาม “เสด็จพ่อของพวกเจ้าพูดถูก โดยเฉพาะภรรยาโย่วเอ๋อร์ แต่งเข้าจวนอ๋องไม่เหมือนอยู่ในชนบท เป็นสตรีแต่งงานแล้ววันๆ จะห่วงแต่ไปวิ่งเล่นข้างนอกจวนได้อย่างไร อย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้!”
“ทูลเสด็จพ่อและพระชายา ลูกไม่ได้ห่วงแต่ไปวิ่งเล่นข้างนอกจวนทั้งวัน ตั้งแต่ที่ลูกแต่งเข้ามาก็เกือบหนึ่งเดือนแล้ว วันนี้เพิ่งจะออกจากจวนเป็นครั้งที่สอง อีกทั้งยังมีจิ้นอ๋องไปด้วย ลูกไม่ได้ประพฤติผิดในคุณธรรมของสตรีออกไปวิ่งเล่นข้างนอกคนเดียวอย่างที่พระชายาพูด” เสิ่นเวยกล่าวด้วยความชัดเจนแจ่มแจ้ง
สวีโย่วเองก็กล่าวอย่างหงุดหงิดใจ “ทำไมเล่า เสด็จพ่อกับพระชายาเรียกลูกเข้ามาก็เพื่อสั่งสอนลูกหรือ ตั้งแต่เล็กลูกก็สุขภาพไม่ดีไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงเหมือนน้องรองน้องสามน้องสี่ แม้ว่าจะอยู่ในเมืองหลวงแต่กลับไม่เคยเดินชมเมืองดีๆ กว่าจะแต่งภรรยามีความสุขได้ ให้เสิ่นซื่อออกจากจวนไปเดินเล่นเป็นเพื่อนแล้วอย่างไร ไปขวางหูขวางตาใครเข้าอีกแล้ว ข้าไปใช้เงินเขาหรือไร มิใช่ยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องหรือไร”
มองพระชายาจิ้นอ๋องด้วยสายตาไม่พอใจ “พระชายาหายดีแล้วหรือ งานสมรสของน้องสี่ยังทำให้ท่านทุกข์ใจไม่พอหรือไร ยังมีเวลาว่างมาจับตาดูพวกข้าสามีภรรยาอีก ลูกพูดได้หรือไม่ว่าซาบซึ้งยิ่งนัก” ความเหยียดหยามในดวงตาของเขาชัดเจนเพียงนั้น
จิ้นอ๋องกับพระชายาจิ้นอ๋องจุกอกทั้งคู่ โดยเฉพาะพระชายาจิ้นอ๋อง ถูกโต้เถียงเช่นนี้ต่อหน้า จะกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงได้อย่างไร แถมเสิ่นซื่อผู้นั้นยังชิงพูดก่อนนาง “พระชายาอย่าได้โกรธเคือง จิ้นอ๋องของพวกเราก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้ ท่านอยู่ในจวนเดียวกับเขามายี่สิบกว่าปีแล้ว ยังจะไม่เข้าใจได้หรือ”
เจ้าว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะโมโหหรือไม่ หรือว่าจะไม่โมโห