สวี่ซื่อเร่งฝีเท้ามายังเรือนซงเฮ่อ เสิ่นเสวี่ยล้างหน้าล้างตาใหม่อีกรอบแล้ว แต่ร่องรอยการร้องไห้ก็ยังคงเห็นได้ชัดเจน
“ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น อวี้ซื่อผู้นั้นก็โหดเ**้ยมจริงๆ” สวี่ซื่อเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเสิ่นเสวี่ย คิ้วก็ขมวดมุ่นขึ้นก่อน
เสิ่นเสวี่ยร้องเรียกท่านป้าสะใภ้ใหญ่หนึ่งคราจากนั้นก็สะอื้นไห้พูดไม่ออกแล้ว นางเบือนหน้าหนี ปล่อยให้น้ำตาไหลลงเงียบๆ
“อี่ชุ่ย เจ้ามาพูด แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใดฮูหยินหย่งหนิงโหวผู้นั้นถึงได้เกรี้ยวกราดใส่เสวี่ยเอ๋อร์ เพิ่งแต่งเข้าไปได้ไม่กี่เดือน เสวี่ยเอ๋อร์ก็ผอมลงไปมาก หากอยู่ต่อไปเช่นนี้จะไม่ถูกทรมานจนตายหรือไร” นายหญิงผู้เฒ่าตบพนักเก้าอี้ พูดอย่างเคียดแค้น
อี่ชุ่ยรีบกล่าวตอบ “นายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยิน ตั้งแต่คุณหนูแต่งเข้าจวนหย่งหนิงโหว ท่านเขยก็ปฏิบัติต่อคุณหนูดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มาปรึกษาหารือกับคุณหนู แม้ว่าฮูหยินจะเห็นคุณหนูไม่เข้าตานัก แต่เริ่มแรกก็ยังดี เพียงแค่พูดจาไม่เข้าหูเล็กน้อย ทำนองว่าสตรีที่แต่งเข้ามาตระกูลนั้นตระกูลนี้มีสินเดิมเท่าไร คุณหนูล้วนแต่กัดฟันอดทน ไม่กล้าบอกท่านเขย ผ่านไปเรื่อยๆ ฮูหยินน่าจะคิดว่าคุณหนูนิสัยดี จึงกำเริบเสิบสานขึ้นมา วันทั้งวันให้คุณหนูไปยืนปรนนิบัติอยู่ในห้องนาง ตั้งแต่เช้าตรู่จนกลางดึกจึงจะปล่อยคุณหนูกลับเรือน อีกทั้งนางยังแต่งตั้งสาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านเขยขึ้นเป็นอี๋เหนียง คุณหนูไม่เห็นด้วย นางก็เอะอะโวยวาย บอกว่าคุณหนูริษยา มิหนำซ้ำยังบอกว่าจวนโหวของพวกเราสั่งสอนมาอย่างไร คุณหนูเพียงแค่พูดสองประโยค นางก็ตำหนิว่าคุณหนูอกตัญญู ทั้งยังใส่ร้ายว่านางเถียงตนต่อหน้าท่านเขย ทำให้ท่านเขยเข้าใจคุณหนูผิด โชคดีที่ภายหลังทำความเข้าใจกันแล้ว ท่านเขยเองก็ขอโทษกับคุณหนูจากใจจริง…
…คุณหนูเห็นแก่หน้าของท่านเขยจึงอดทนทุกอย่าง เพียงแต่ครั้งนี้…” อี่ชุ่ยพูดอึกๆ อักๆ ขึ้นมา คล้ายกับว่าลำบากอย่างถึงที่สุด
“เจ้าพูดความจริงมาก็พอ นี่คือจวนของเรา ยังจะมีใครมาทำอะไรเจ้าได้อีก” สวี่ซื่อเองก็โมโหแล้ว ช่างเปิดโลกจริงๆ โหวฮูหยินงั้นหรือ ความจริงแล้วก็เป็นแค่แม่ยายอำมหิตในชนบทก็เท่านั้นเอง
อี่ชุ่ยรวบรวมความกล้าเล่าต่อไป
ที่แท้แล้วเรื่องในวันนี้ก็เกี่ยวข้องกับจ้าวเฟยเฟยลูกน้องสาวของอวี้ซื่ออย่างไม่น่าเชื่อ
ปีที่แล้ว จ้าวเฟยเฟยวิ่งมาหาที่พึ่ง เพื่อที่จะหาคู่หมั้นคู่หมายที่ดี
อวี้ซื่อปฏิบัติต่อหลานสาวผู้นี้ไม่เลวอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่ออกไปเป็นแขกก็จะพานางไปด้วย จ้าวเฟยเฟยอยู่ในช่วงวัยที่ควรหมั้นหมาย คนเองก็หน้าตาดี ดูท่าทางเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ย่อมต้องมีฮูหยินตระกูลต่างๆ เข้ามาถามไถ่
เมื่อได้ยินว่าแม่นางผู้นี้เป็นเพียงลูกน้องสาวของอวี้ซื่อ บิดาก็เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ไม่สำคัญ ฮูหยินที่ถามไถ่ส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจ ส่วนคนที่สนใจ ไม่เป็นบุตรชายในตระกูลที่ไม่ได้เรื่อง ก็เป็นบุตรอนุภรรยาที่อยากหมั้นหมายแต่ไม่มีอนาคต
จ้าวเฟยเฟยไม่ชอบ อวี้ซื่อก็ยิ่งไม่ชอบ จากมุมมองของนาง ลูกน้องสาวผู้นี้ของนางทั้งฉลาดทั้งปราดเปรียว ซ้ำหน้าตาก็โดดเด่น หน้าที่ของภรรยาก็ทำได้ นางยังหวังว่าลูกน้องสาวผู้นี้จะแต่งเข้าตระกูลสูงเพื่อเป็นแรงสนับสนุนแก่ลูกชายของนางได้
จ้าวเฟยเฟยสตรีผู้นี้อย่าว่าแต่อายุน้อย แต่ยังฉลาดเฉียบแหลม มองเห็นความเป็นจริงยิ่งกว่าป้านางเสียอีก นางรู้ว่าด้วยฐานะในตระกูลของนางคิดอยากจะแต่งสามีสูงศักดิ์เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง นางจึงจับจ้องลูกผู้พี่ของนาง…ซื่อจื่อจวนหยงหนิงโหวเว่ยจิ่นอวี้
นางวางแผนในใจไว้แล้ว แต่งกับบุตรอนุภรรยาถูกแม่เลี้ยงบีบบังคับทรมานเคียดแค้นไปตลอดชีวิต แต่งงานกับบุตรภรรยาหลวงที่ไม่ได้ความก็ต้องโมโหกับเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทั้งชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนี้ไม่สู้เป็นอยุภรรยาของลูกผู้พี่เสีย
ลูกผู้พี่หน้าตาโดดเด่น ซ้ำยังมีความรู้ความสามารถ จวนหย่งหนิงโหวมีเขาเป็นบุตรภรรยาหลวงเพียงคนเดียว ในภายหน้าจวนหย่งหนิงโหวทั้งหมดล้วนต้องตกเป็นของเขา
นางกับญาติผู้พี่เป็นลูกพี่ลูกน้อง มีความสัมพันธ์ขั้นนี้ นางจะต้องเป็นอนุภรรยาศักดิ์สูงได้แน่นอน แม้จะบอกว่าเป็นภรรยาเอกไม่ได้ก็น่าเสียดายเล็กน้อย แต่ฮูหยินหย่งหนิงโหวเป็นป้านาง อีกทั้งท่านป้ายังวางท่าทีชัดเจนว่าไม่ชอบภรรยาลูกผู้พี่ ถึงตอนนั้นก็จะต้องถือหางนางมิใช่หรือ ขอเพียงแค่นางสามารถมีบุตรก่อนภรรยาลูกผู้พี่ได้ อาศัยท่านป้า ไม่แน่ว่าจวนหย่งหนิงโหวแห่งนี้ก็จะตกอยู่ในมือลูกนางได้เช่นกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คุ้มค่า ด้วยเหตุนี้จ้างเฟยเฟยจึงเริ่มปฏิบัติการ วันนี้ปักผ้าเช็ดหน้าให้ลูกผู้นี้ พรุ่งนี้ส่งน้ำแกงบำรุงร่างกายให้ลูกผู้พี่ วันมะรืนเอาบทกลอนไปให้ลูกผู้พี่สอนที่ห้องหนังสือ
ทำเสิ่นเสวี่ยรังเกียจแทบแย่ นางเป็นภรรยา ไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาของจ้าวเฟยเฟย แพศยาน้อยผู้นั้นแทบจะแสดงอำนาจในเรือนนางอยู่แล้ว แม่สามีไม่ชอบนางเช่นนั้น ในนั้นก็มีฝีมือของลูกผู้น้องคนนี้ด้วยเช่นกัน
เสิ่นเสวี่ยเอ่ยเรื่องนี้กับสามีสองประโยคอย่างเป็นนัย เว่ยจิ้นอวี้ยังหัวเราะบอกว่านางคิดมากไปแล้ว บอกว่าเฟยเฟยยังเป็นเด็ก บอกว่าแม่เขากำลังดูคู่หมั้นให้นางอยู่
เสิ่นเสวี่ยอดโมโหไม่ได้ ยังเป็นเด็กงั้นหรือ เป็นหญิงสาวอายุสิบสี่แล้ว ในจวนใครบ้างมองเจตนาของญาติผู้น้องคนนี้ไม่ออก มีแค่แม่สามีกับสามีนางต่างหากที่ตาบอดทั้งคู่
บ่ายวันนี้กว่านางจะปลีกตัวออกมาจากเรือนแม่สามีได้ ตั้งใจต้มน้ำแกงบำรุงร่างกาย จากนั้นก็แต่งหน้าแต่งตัว เตรียมจะไปสร้างความประหลาดใจให้สามีที่ห้องหนังสือ
แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเห็นอะไร นางเห็นสามีของนางกำลังจับมือของจ้าวเฟยเฟยลูกผู้น้องคนนี้เขียนหนังสือ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นบาดจนดวงตานางเจ็บปวด ในใจบีบแน่น นางอยากจะหันหลังกลับไปจริงๆ อยากจะมองไม่เห็นฉากนี้เสียดีกว่า
แต่เมื่อย้อนคิดดู นางกับสามีจึงจะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้อง เหตุใดนางจะต้องใจฝ่อถอยออกไป ไม่ใช่จะเป็นการเสียเปรียบนังมารน้อยหน้าไม่อายผู้นี้หรือ
เข้าห้องมาแล้วเสิ่นเสวี่ยย่อมเห็นจ้าวเฟยเฟยไม่เข้าตา เพิ่งจะเสียดสีนางไปสองประโยค นังมารน้อยตนนั้นก็ร้องห่มร้องไห้บอกว่านางเกลียดตน ใส่ร้ายป้ายสีตน ตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงของนาง แม้แต่สามีก็ยังใช้สายตาไม่เห็นด้วยมองนาง
ทำให้เสิ่นเสวี่ยโมโหแทบแย่ นางต้องโทษนางหรือ หรือไม่ใช่ว่าลูกผู้น้องหน้าไม่อายผู้นี้วิ่งแจ้นเข้ามาในห้องหนังสือของบุรุษ ใช้ข้ออ้างสอนหนังสือบังหน้า เมื่อครู่ร่างกายนั้นแทรกเข้าไปในอ้อมอกสามีนางแล้ว ยังเป็นคุณหนูสูงศักดิ์อะไรอีก ใจกล้ายิ่งกว่าหญิงขับเพลงเหล่านั้นข้างนอกเสียอีก ขายหน้าคนยิ่งนัก
เสิ่นเสวี่ยโมโหจนพูดไม่ออก จ้าวเฟยเฟยผู้นั้นก็ต้องการให้นางโวยวายขึ้นมา จึงใส่ไฟพูดจายุยงเล็กน้อย ชั่วขณะเสิ่นเสวี่ยก็ลงมือผลักนางหนึ่งคราอย่างทนไม่ได้
คราวนี้ก็แย่แล้ว จ้าวเฟยเฟยร้องไห้วิ่งออกไป ผ่านไปไม่นานสาวใช้ข้างกายอวี้ซื่อแม่สามีผู้นั้นของนางก็มาเชิญนางไปแล้ว ซ้ำยังไม่ถามเหตุผลก็ฟังแต่ความข้างเดียวของจ้าวเฟยเฟย ตินางว่าไร้คุณธรรม แม้แต่ญาติก็ยอมรับไม่ได้ ไม่เห็นผู้เป็นแม่สามีผู้นี้อยู่ในสายตา
เสิ่นเสวี่ยอธิบายสองประโยอย่างอดไม่ได้ อวี้ซื่อผู้นั้นก็ไม่ฟังไม่พูด ซ้ำยังยกมือตบหน้านางคราหนึ่ง นางเองก็ถูกเลี้ยงมาอย่างตามอกตามใจ ไหนเลยจะเคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ได้รับความไม่เป็นธรรมซ้ำยังอัปยศอดสูอีกด้วย ส่วนตัวต้นเรื่องผู้นั้นกลับยืนอยู่หลังคนอื่นส่งสายตายั่วยุมาให้นาง ตอนนั้นสมองของเสิ่นเสวี่ยเกิดเสียงดังซ่าหนึ่งคราจากนั้นก็ขาวโพลน เบื้องหน้าดำมืดไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ก่อนตกอยู่ในความดำมืดนางยังได้ยินเสียงที่ประชดประชันของแม่สามีนาง ‘ทำผิดแล้วคิดว่าแสร้งเป็นลมจะหนีพ้นหรือ อย่าแม้แต่จะคิด’
ยังมีจ้าวเฟยเฟยที่พูดปลอบใจอย่างเสแสร้ง ‘ท่านป้า ลูกผู้พี่ ล้วนเป็นความผิดของเฟยเฟย หากพี่สะใภ้ยอมรับเฟยเฟยไม่ได้ เฟยเฟยกลับบ้านคงดีกว่า’
จากนั้นก็เป็นเสียงพูดจาปลอบขวัญของสามีผู้อ่อนโยนดั่งหยกผู้นั้นของนาง
สิ่งที่ทำให้เสิ่นเสวี่ยผิดหวังก็คือตอนที่นางฟื้นขึ้นมา ในห้องมีเพียงอี่ชุ่ยอี่หงสาวใช้ออกเรือนสองคนที่นางพามาจากบ้านฝั่งมารดา สามีของนางไม่มาดูนางแม้แต่ปราดเดียว นางเอ่ยถาม อี่ชุ่ยจึงกล่าวอย่างอึกๆ อักๆ ‘ท่านซื่อจื่ออยู่ในเรือนฮูหยินเจ้าค่ะ’ นางยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก
นางล้มกลับลงไปบนเตียงด้วยร่างทั้งร่างที่อ่อนแรง จ้องมองม่านเตียงด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ยินยอม เป็นเพราะจ้าวเฟยเฟยคนเดียว เป็นเพราะนังมารน้อยหน้าไม่อายผู้นี้ที่ล่อลวงสามีของนาง
ด้วยเหตุนี้ภายใต้ความโกรธนางจึงพาอี่ชุ่ยกลับบ้านฝั่งมารดา ส่วนอี่หง ย่อมต้องทิ้งไว้เฝ้าเรือน เลี่ยงไม่ให้ยามที่นางไม่อยู่ ปีศาจป้าหลานคู่นั้นมาขนของในเรือนนางออกไปจนหมด
“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน หน้าไม่อายเกินไปแล้วจริงๆ” นายหญิงผู้เฒ่าฟังจนหน้าเขียวจัด ไม่รู้กฎระเบียบจริงๆ ญาติผู้น้องที่ขออาศัยกับญาติเช่นเจ้าไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่เพียงแต่วางแผนล่อลวงญาติผู้พี่ ซ้ำยังเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน สมกับที่เป็นลูกน้องสาวตระกูลตกอับนั่น “เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว วันนี้เจ้าอยู่ในจวน หากจวนหย่งหนิงโหวไม่มาขอโทษถึงที่ล่ะก็ เหอะ!” ความหมายนั้นไม่พูดก็รู้ หันหน้าตำหนิลูกคนเล็กของตน “พ่อเจ้าก็เหมือนกัน หาคู่สมรสอะไรมาให้เจ้า ไร้กฎระเบียบเกินไปแล้ว”
นางลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าคู่สมรสนี้ไหนเลยจะเป็นเสิ่นหงเซวียนที่หามาให้เสิ่นเสวี่ย เห็นชัดๆ ว่าเป็นเสิ่นเสวี่ยที่ใช้อุบายแย่งชิงมา
บนใบหน้าของเสิ่นเสวี่ยมีความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กัดริมฝีปากไม่พูดจา
แม้ว่าโหวฮูหยินสวี่ซื่อจะรู้สึกว่าไม่อาจฟังความหลานสาวข้างเดียว แต่เบื้องลึกในใจนางก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องเช่นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องนี้ก็ถือเป็นข้อห้ามของนางจริงๆ คิดถึงตอนที่นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาในจวนจงอู่โหว บ้านฝั่งมารดาของแม่สามีก็มีลูกผู้น้องมาขอเป็นอนุภรรยาของสามี อุบายนั้นออกมาเรื่อยๆ ทำให้นางอัดอั้นจนมีแม้กระทั่งความคิดจะแขวนคอตาย ท้ายที่สุดแม้จะส่งลูกผู้น้องที่น่ารังเกียจผู้นั้นออกไปได้ แต่ในใจนางก็มีเงาดำทิ้งไว้ ทนเห็นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องมีความสัมพันธ์กันไม่ได้ที่สุด
“เสวี่ยเอ๋อร์สงบจิตใจอยู่ในจวนเถิด เรื่องนี้มีย่ากับป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยเหลือเจ้า กูไหน่ไนจวนจงอู่โหวของพวกเราเองก็ไม่อาจรังแกได้ง่ายเพียงนั้น” สวี่ซื่อเองก็ลุกขึ้นแสดงจุดยืน “เสวี่ยเอ๋อร์ยังไม่ทานข้าวเย็นใช่หรือไม่ ลั่วสยา รีบไปบอกครัวใหญ่ เตรียมอาหารดีๆ หนึ่งโต๊ะมาต้อนรับกูไหน่ไนห้าของพวกเรา”
เสิ่นเสวี่ยขอบคุณท่านป้าสะใภ้ใหญ่แล้ว กลับไปยังเรือนที่ตนเคยอยู่ก่อนออกเรือนภายใต้การพยุงของสาวใช้ นั่งอยู่ในห้องที่อยู่มาสิบกว่าปี นางกลับรู้สึกว่าของยังอยู่เหมือนเดิมแต่คนกลับไม่อยู่แล้ว จิตใจล่องลอย ตอนนี้นางเพิ่งจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่านางแต่งออกไปแล้วจะสามารถตัดความสัมพันธ์กับบ้านฝั่งมารดาได้ หากไม่ใช่ว่ามีบ้านฝั่งมารดาที่มีอำนาจ นางจะต้องไปที่ใด
เพราะว่าในใจนางเข้าใจ นางจึงยิ่งรู้สึกเลื่อนลอย!