ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 243-2 สำรวจจวนเสนาบดีฉินอีกครั้ง

“คืนนี้เจ้าพาคนหลายคนแอบเข้าไปสืบดูในจวนเสนาบดีฉิน ดูว่าพบเห็นอะไรได้บ้างหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือไปสำรวจที่เรือนฉินมู่หราน ข้าไม่เชื่อว่าเขาสามารถเก็บหางทั้งหมดจนเกลี้ยงได้” เสิ่นเวยครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว

 

 

“เจ้าค่ะ ผู้น้อยทราบแล้ว” เสี่ยวตี๋ขานรับอย่างจริงจัง

 

 

เสิ่นเวยเงยหน้าถามต่อ “จางย่วนเหนียงผู้นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง ซ่อนให้ดีหน่อย ถูกท่านเสนาบดีฉินพบเข้าเป็นเรื่องเล็ก หากรั่วไหลออกไปพวกเราจะแย่เอา” อัครเสนาบดีของราชสำนัก ทำเรื่องไม่ดีในที่ลับ เพิ่มปัญหาให้เล็กน้อยก็พอแล้ว นางยังไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาชั่วคราว

 

 

เสี่ยวตี๋พยักหน้า กล่าวอย่างภูมิใจ “จวิ้นจู่วางใจเถิด ต่อให้ท่านเสนาบดีฉินพลิกเมืองหลวงก็หาคนไม่เจอ” ความมั่นใจในจุดนี้เสี่ยวตี๋ยังคงมี มิเช่นนั้นพวกเขาพลลับเหล่านี้ก็คงจะอยู่ไม่ได้แล้ว ถูกคนรื้อรังเก่าไปนานแล้ว

 

 

คืนนั้น เสิ่นเวยไม่ยอมนอนรอข่าวของเสี่ยวตี๋ตลอดคืน นางนั่งอยู่ใต้โคมไฟในมือถือหนังสือหนึ่งเล่ม เนิ่นนานก็ไม่เห็นเปิดสักหน้า เมื่อมองดูก็รู้ว่าความคิดไม่รู้ว่าลอยไปไหนแล้ว

 

 

สวีโย่วที่พิงหัวเตียงอยู่เคียดแค้นอย่างถึงที่สุด สายตาที่มองเสิ่นเวยคับแค้นราวกับดื่มน้ำส้มสายชูสิบจิน เห็นได้ชัดว่าภรรยาเขาใส่ใจบุตรสาวซิ่วไฉผู้นั้นทางฝั่งตะวันออกของเมืองมากกว่าเขา นี่ทำให้หัวใจดวงเล็กๆ ที่เปราะบางของเขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง เจ็บปวดมาก เจ็บปวดมากๆ กระทั่งเขาคิดว่าใช่จะคิดหาวิธีช่วยจ้าวผดุงธรรมผู้นั้นสักหน่อย จับคุณชายเล็กของเสนาบดีฉินเข้าไปอยู่ในคุก เรื่องนี้ไม่จบสิ้นภรรยาเขาก็จะทุกข์ใจ เมื่อภรรยาเขาทุกข์ใจไหนเลยจะยังมีเวลามาสนใจเขาอีก

 

 

ใช่ คุณชายเล็กแซ่ฉินน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ขัดวางไม่ให้เขากอดภรรยามากเกินไปแล้ว สวีโย่วตัดสินใจในใจด้วยความเคียดแค้น

 

 

นอกห้องมีเสียงฝีเท้าดัง เสิ่นเวยลุกพรวดขึ้นฉับพลัน เห็นหลีฮวาพาเสี่ยวตี๋เข้ามาอย่างรวดเร็ว นางสวมชุดท่องราตรี ดูท่าแล้วออกมาจากจวนเสนาบดีฉินก็ตรงมาทันที “เป็นอย่างไร สืบได้อะไรหรือไม่” เสิ่นเวยรีบกล่าวถาม

 

 

เสี่ยวตี๋ส่ายหน้า สีหน้าบนใบหน้าผิดปกติเล็กน้อย “จวิ้นจู่ พวกข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้เรือนหลักเลย เพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นานก็เกือบจะถูกพบเห็น จวิ้นจู่ จวนเสนาบดีฉินผิดปกติ คราวก่อนตอนที่พวกเราไป การป้องกันของจวนเสนาบดีฉินไม่ได้เข้มงวดเท่านี้”

 

 

เสิ่นเวยไม่เห็นด้วย “คราวก่อนคงจะถูกพวกเราบุกจวนจึงเพิ่มการตรวจตราที่เข้มงวดขึ้นกระมัง” เปลี่ยนเป็นนางก็จะทำเช่นนี้เหมือนกัน ในบ้านตนคนอื่นอยากมากก็มา อยากไปก็ไป จะได้อย่างไรกัน

 

 

เสี่ยวตี๋ยังคงขมวดคิ้วมุ่น “จวิ้นจู่ ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ความสามารถของพวกเราท่านก็ทราบ แม้แต่พวกเรายังแทบจะออกมาไม่ได้ เห็นได้ว่าการป้องกันของจวนเสนาบดีเข้มงวดเพียงใด ต่อให้ท่านเสนาบดีฉินจะเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักก็ไม่น่ามีกำลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น! เขากำลังป้องกันใครอยู่” เสี่ยวตี๋พูดข้อสงสัยของตัวเองออกมา

 

 

ได้ยินคำพูดของเสี่ยวตี๋ เสิ่นเวยก็อดให้ความสนใจไม่ได้ “การป้องกันของจวนเสนาบดีฉินเข้มงวดเพียงนั้นเชียวหรือ” คราวก่อนนางแอบเข้าไปในห้องหนังสือของท่านเสนาบดีฉินได้ง่ายอย่างยิ่ง! ต่อให้จะเพิ่มความกวดขันในภายหลัง แต่ก็ไม่น่าถึงขนาดที่เสี่ยวตี๋ยังแทบจะตกหลุมพราง! คนอื่นนางไม่รู้ แต่วิชาตัวเบาของเสี่ยวตี๋เรียกได้ว่าเป็นปีศาจร้ายจริงๆ

 

 

เสี่ยวตี๋พยักหน้า “จริงแท้แน่นอน” นึกถึงความเสี่ยงก่อนหน้านี้ เสี่ยวตี๋ยังคงหวาดกลัวอยู่เลย

 

 

คราวนี้เสิ่นเวยเริ่มสนใจมากขึ้นแล้ว กำชับเสี่ยวตี๋ “เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ” หากจริงอย่างที่เสี่ยวตี๋ว่า เช่นนั้นนางก็ต้องไปดูให้เห็นสักหน่อย

 

 

เสี่ยวตี๋อ้าปากคิดจะพูดอะไรต่อ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรจึงจากไป เงาร่างของนางหายไปตรงหน้าประตู เสิ่นเวยก็พุ่งไปข้างหน้าสวีโย่ว เอ่ยชวนด้วยท่าทีจริงจัง “คุณชายใหญ่ ท่านจวิ้นอ๋อง พระจันทร์คืนนี้สวยเพียงนั้น พวกเราออกไปเดินเล่นกันหน่อยเถอะ”

 

 

สวีโย่วหัวเราะเยาะหนึ่งครา ชี้ข้างนอก บอกเป็นนัยให้นางดู เด็กคนนี้ยังหลับตาพูดคำบอดได้จริงๆ ยังกล้าบอกว่าพระจันทร์สวยเพียงนั้น เห็นชัดๆ ว่าข้างนอกมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงจันทร์มิใช่หรือไร

 

 

เสิ่นเวยหันหน้ามองนอกหน้าต่าง จากนั้นก็กล่าวอย่างแน่นิ่ง “อ้อ เมื่อครู่พระจันทร์ยังอยู่ ตอนนี้คงหลบเขากลีบเมฆไปแล้ว อีกประเดี๋ยวน่าจะออกมา”

 

 

ยังกล้าพูดจริงๆ วันนี้เป็นวันที่มีเมฆมาก อย่างว่าแต่ดวงจันทร์ บนฟ้าไม่มีแม้แต่ดวงดาว แววตาสวีโย่วปรากฎรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยปาก

 

 

เสิ่นเวยโน้มตั้วไปข้างหน้า “ตอบมา ไป หรือไม่ไป” เสิ่นเวยยิ้มสวยยิ่งนัก!

 

 

“ไป ไปแน่นอน ภรรยาสั่งสามีตาม เวยเวยไปไหนข้าย่อมไปด้วย” สวีโย่วกล่าวอย่างมีเหตุมีผล ทว่าในใจกลับบ่น ไม่ไปได้ด้วยหรือ มือจิกอยู่บนลำคอแล้วยังกล้าไม่ไปหรือ

 

 

ช่างเป็นเด็กน้อยนิสัยเสียจริงๆ ออดอ้อนหน่อยจะตายหรือไร จะต้องใช้อำนาจข่มขู่ให้ได้ แต่ว่าเขาก็ยังชอบอยู่ดี

 

 

ในเมื่อจะไปสำรวจจวนเสนาบดี เสิ่นเวยกับสวีโย่วต่างก็เปลี่ยนไปสวมชุดท่องราตรี เพื่อป้องกันอันตรายเกิดขึ้น เสิ่นเวยยังทำหน้ากากสองอัน โยนให้สวีโย่วหนึ่งอัน ตนใส่หนึ่งอัน สวีโย่วมองดู หน้ากากของตนเป็นหัวหมู ปากอ้ากว้างอย่างยิ่ง น่าเกลียดยิ่งนัก! จากนั้นจึงมองหน้ากากในมือภรรยา เป็นจิ้งจอกน้อยที่สะสวย

 

 

ชั่วขณะในใจก็รู้สึกไม่เท่าเทียม เสิ่นเวยปรายตามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านเป็นบุรุษจะใส่อันสวยๆ ไปทำไม ดึงดูดสายตาหรือ”

 

 

ได้ยินประโยคแรกสวีโย่วไม่พอใจอย่างยิ่ง บุรุษจะใส่อันสวยๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ไม่ใช่เพราะว่าเขาหน้าตาดีเด็กคนนี้ถึงได้ยอมแต่งงานกับเขาหรอกหรือ แต่เมื่อได้ยินประโยคหลังสวีโย่วก็ไม่โกรธทันที ดึงดูดสายตาอะไร เขาไหนเลยจะกล้า

 

 

เดินเล่นไปตามทางจนถึงจวนเสนาบดีฉิน มีสวีโย่วยอดฝีมือที่สุดแห่งยุคผู้นี้อยู่ เสิ่นเวยย่อมไม่ยินยอมเปลืองแรง ยื่นมือออกไปทันที สวีโย่วก็โอบเอวนางตามคำสั่ง เท้าแตะเล็กน้อย ก็ลอยเข้าไปในกำแพงสูงประหนึ่งใบไม้ร่วง เท้าแตะลงอีกครั้งก็อยู่บนหลังคาแล้ว

 

 

พวกเขาเองก็ไม่รีบไปเรือนฉินมู่หราน แต่รออยู่บนหลังคาก่อน เป็นดังคาด ไม่นานนักก็เห็นว่าตรงภูเขาจำลองมีเงาดำเคลื่อนไหวเล็กน้อย พวกเขายังคงอดทนรอต่อไป สวีโย่วตบมือของเสิ่นเวย ชี้ต้นไม้ใหญ่ที่ก่อตัวเป็นภูเขาจำลองเฝ้าสังเกตสถานการณ์บอกเป็นนัยให้นางดู

 

 

เสิ่นเวยจ้องมองเข้าไป กิ่งไม้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นไร้ลมพัดแต่กลับขยับเล็กน้อย ดูท่าแล้วบนต้นไม้นั้นคงจะมีคนอยู่

 

 

ตอนนี้ ริมฝีปากของเสิ่นเวยเม้มแน่น ทั่งร่างเตรียมป้องกันขึ้นมา กล่าวในใจว่าเสี่ยวตี๋ไม่ได้พูดเกินเลยอย่างสิ้นเชิง จวนเสนาบดีฉินไม่ต่างจากถ้ำพยัคฆ์วังมังกรเลย แต่ว่าต่อให้เป็นถ้ำพยัคฆ์วังมังกร คืนนี้นางก็ต้องบุกเข้าไป ท่ามกลางความดำมืดดวงตาหนึ่งคู่ของนางเปล่งประกายจนน่าตกใจ โลหิตทั่วร่างเดือดพล่านอย่างอดไม่ได้

 

 

มือของสวีโย่วที่วางอยู่บนเอวเสิ่นเวยตบเบาๆ เล็กน้อย กล่าวเสียงเบาข้างหูนาง “วางใจ เวยเวยวางใจ มีข้าอยู่”

 

 

เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ไม่ใช่ยังมีชายหนุ่มรูปงามแซ่สวีมารฝืนชะตาผู้นี้อยู่หรือ นางเองก็เพิ่งรู้ว่ามารตนนี้ฝึกยุทธ์วิเศษแห่งยุคทั้งภายในและภายนอกตั้งแต่เล็ก ยอดฝีมือสูงสุดแห่งยุทธภพที่ว่าเหล่านั้นอยู่ตรงหน้าเขาเทียบไม่ได้อย่างสิ้นเชิง หากไม่ใช่สารพิษในร่างกายเขากำเริบอยู่บ่อยๆ คราวก่อนเขาก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว

 

 

สวีโย่วพาเสิ่นเวยหลบหน่วยสว่างหน่วยมืดหน่วยเคลื่อนไหวภายในจวนเสนาบดีออกไปได้อย่างปราดเปรียว มาถึงเรือนของฉินมู่หรานตามแผนที่ที่สายลับบอกมา เพิ่งจะเจาะรูบนหน้าต่างห้องเขา เสิ่นเวยก็แทบจะโมโหตายแล้ว

 

 

ให้ตายเถอะ ในห้องกำลังแสดงฉากอนาจารอยู่ เสิ่นเวยหน้าแดงหูแดง สาปแช่งเงียบๆ ในใจ ฉินมู่หรานคนน่าไม่อายผู้นี้ ไม่ช้าไม่เร็วก็คงจะตายอยู่ในมือผู้หญิง พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เทพสวรรค์ ได้โปรดรีบสั่งฟ้าผ่าเขาให้ตายเสียทีเถอะ

 

 

อันที่จริงเสิ่นเวยอยากจะเข้าไปแทงกระบี่จบชีวิตเขาอย่างยิ่ง แต่คิดถึงผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ เสิ่นเวยก็ยังคงอดทนไว้

 

 

“เวยเวยคิดอะไรอยู่” สวีโย่วยืนอยู่ข้างหลังเสิ่นเวย

 

 

เสิ่นเวยตกใจเล็กน้อย แทบจะร้องอุทานออกมา มือใหญ่ๆ ของสวีโย่วปิดปากนางไว้ทันพอดี

 

 

เสิ่นเวยขยับไม่ได้ ทำได้เพียงใช้ศอกกระทุ้งเขา บอกเป็นนัยให้เขาปล่อย แต่สวีโย่วกลับยิ่งทวีความรุนแรง

 

 

เสิ่นเวยโมโหแทบตายแล้ว เพิ่งจะบอกว่าฉินมู่หรานหน้าไม่อาย คนผู้นี้ข้างหลังนางจึงจะเป็นคนที่หน้าไม่อายที่สุดในใต้หล้า

 

 

เสิ่นเวยดิ้นไม่หลุด เกิดไหวพริบขึ้นมาทันที ยกเท้าเหยียบลงบนเท้าเขา บดขยี้อย่างแรง แต่กลับไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

สวีโย่วรู้สึกถูกปลุกเร้าอย่างถึงที่สุด ยังจะสำรวจจวนเสนาบดีอะไรอีก รีบกลับจวนจึงจะถูก สวีโย่วอุ้มเสิ่นเวยขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แสดงกระบวนท่าที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าตอนเข้ามาวิ่งไปนอกจวนด้วยความรวดเร็ว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset