เช้าตรู่วันที่สองเสิ่นเวยลืมตาขึ้นมา สวีโย่วตื่นเรียบร้อยแล้ว กำลังเท้าศีรษะมองนางไม่ละสายตาอยู่
เสิ่นเวยกะพริบตาอย่างสะลึมสะลือ ยิ้มชั่วร้าย มือที่ขาวดั่งหยกเชยคางของสวีโย่วขึ้น “ปรนนิบัติได้ไม่เลว กลับไปข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างดี” ท่าทางเจ้าเล่ห์นั้นประหนึ่งออกมาจากบุตรหลานลูกคุณชายตามถนนใหญ่
“ปรนนิบัติได้ไม่เลวงั้นหรือ หืมม์” สวีโย่วหรี่ตาลงอย่างอันตราย มือใหญ่ๆ ก็ซุกซนขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยคนนี้กล้าหยอกล้อเขา กล้าหาญจริงๆ ต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว
ชั่วขณะเสิ่นเวยก็ร้องเสียงแหลมอย่างไร้เรี่ยวแรงมาก มือทั้งคู่บังหน้าอกตนไว้ หลบซ้ายหลบขวา แต่ไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้นมือของสวีโย่ว นางบิดตัวเป็นเกลียวอยู่บนเตียง ท้ายที่สุดก็กลิ้งเข้าไปในอ้อมอกของเสียโย่ว “สวีโย่ว ท่านมันอันธพาล รีบหยุดมือเดี๋ยวนี้” นางตะโกนอย่างหายใจหอบ
ดวงตาของนางใสกระจ่างราวกับน้ำ ทั้งยังแฝงรอยยิ้มที่นุ่มนวล ริมฝีปากของนางสีสดดุจบุปผาแรกแย้ม หอมรัญจวนจนทำให้คนหลงใหล นางอยู่ในอ้อมอกของเขา เงยหน้าขึ้นมองเขา สวยหยาดเยิ้ม แต่กลับบริสุทธิ์ เสมือนนางฟ้าตัวน้อยที่สับสนอยู่กลางลำธารในหุบเขา ทั้งยังเหมือนมารที่คลุมผ้าปิดหน้ายั่วยวนท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ชั่วขณะหัวใจของสวีโย่วก็อ่อนยวบประหนึ่งพืชน้ำ ร่างทั้งร่างกลายเป็นน้ำริมหาด “ได้ เชื่อฟังฮูหยิน” กอดหญิงงามอยู่ในอ้อมอก สวีโย่วรู้สึกว่าตนมีครบทุกอย่างแล้ว ไม่ขาดอะไรแล้ว
“บอกมา ท่านจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร” เสิ่นเวยชี้จมูกของสวีโย่วอย่างน่ารักไต่ถามเขาอย่างโหดเ**้ยม หากไม่ใช่ว่าเมื่อคืนผีทะเลตัวนี้เกิดสัญชาตญาณหมาป่าฉับพลัน ไม่แน่ว่านางอาจจะสืบข่าวอะไรได้บ้าง ความสูญเสียนี้มากยิ่งนัก ไม่ได้ ต้องให้มารตนนี้ชดใช้คืนมาให้นาง
เสิ่นเวยกระเง้ากระงอดจนในที่สุดก็ออดอ้อนให้สวีโย่วสบายอารมณ์ได้ มุมปากของสวีโย่วยกสูง กล่าวเตือน “นี่จะยากอะไร ข้างกายเด็กเดรัจฉานแซ่ฉินไม่ใช่ยังมีสุนัขรับใช้หลายตัวหรือไร จะปิดปากได้สนิทเพียงนั้นทุกคนเลยหรือ” ทำการลงโทษไต่ถาม เขาไม่เชื่อว่าจะยังงัดปากของเขาไม่ได้
เด็กเดรัจฉานหรือ หากฉินมู่หรานเป็นเด็กเดรัจฉาน เช่นนั้นท่านเสนาบดีฉินย่อมต้องเป็นตาเฒ่าเดรัจฉาน ปากของมารแซ่สวีร้ายกาจจริงๆ เสิ่นเวยตกใจจนพูดไม่ออก แต่ว่าคำศัพท์คำนี้นางชอบจริงๆ
ฟังความคิดเห็นที่สวีโย่วเสนอ ดวงตาของเสิ่นเวยก็ลุกวาวในชั่วขณะ ตบหน้าผากด้วยความเสียดาย “จริงสิ เหตุใดข้าถึงคิดไม่ออกเล่า!” ตามการเคลื่อนไหวของนาง ภาพงดงามด้านหน้าก็เผยออกมาผืนใหญ่ สวีโย่วตักตวงบุญตาอย่างเต็มที่ ไม่มีความคิดจะเตือนเสิ่นเวยเลยแม้แต่นิดเดียว
ยังคงเป็นเสิ่นเวยเองที่พบว่าเหตุใดสายตาของมารแซ่สวีถึงได้ร้อนผ่าวเช่นนั้นจึงสังเกตได้ว่าโป๊แล้ว อดถลึงตาใส่เขาอย่างงอนง้อไม่ได้ ปิดภาพหน้าอกไว้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้สวีโย่วเสียดายอย่างถึงที่สุด
เสิ่นเวยได้ความคิดเห็นแล้วก็ลุกจากเตียงอย่างมีความสุข แม้สวีโย่วจะรู้สึกเสียดายแต่ก็ลุกขึ้นตาม แน่นอนว่าขั้นตอนการลุกจากเตียงก็ไม่ได้ราบรื่นเพียงนั้น ส่วนสำคัญคือสวีโย่วมือบอน ยุแหย่เสิ่นเวยจนส่ายไปมา ท้ายที่สุดเสิ่นเวยทนไม่ไหวจึงไล่เขาออกไปเสีย
สวีโย่วเสนอความคิดเห็นดีๆ บวกกับพรุ่งนี้ก็จะย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ตอนนี้เสิ่นเวยมีความสุขยิ่งนัก สั่งให้เด็กรับใช้และเด็กในร้านทั้งหลายย้ายสินเดิมไปข้างนอกด้วยตัวเอง ขบวนที่ใหญ่โตมโหฬารทำให้บ่าวรับใช้จวนอ๋องพากันอิจฉาตาร้อน สินเดิมของจวิ้นจู่เยอะจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้ใจป้ำเพียงนั้น สามารถทำงานให้นายที่ใจกว้างเช่นนี้ได้ช่างเป็นวาสนาอย่างยิ่งจริงๆ!
การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้นายแต่ละเรือนย่อมต้องได้รับข่าวแล้ว
จิ้นอ๋องขมวดคิ้ว อ้าปากคิดจะพูดอะไร ท้ายที่สุดกลับโบกมือไม่ได้พูดอะไรแล้ว
สีหน้าพระชายาจิ้นอ๋องเต็มไปด้วยความรังเกียจ “รอไม่ได้เพียงนี้เลยหรือ สินเดิมวางไว้ในจวนอ๋องใครจะยังขโมยของนางได้ ใจแคบยิ่งนัก รู้ไปที่ไหนก็อายไปถึงนั่น”
ซื่อจื่อฮูหยินอู๋ซื่อได้รับความเมตตาจากเสิ่นเวย ฟังสาวใช้เอ่ยถึงสินเดิมของฮูหยินใหญ่ว่ามากมายเพียงใดด้วยความอิจฉา ก็เพียงแค่เลิกคิ้ว ไม่พูดจาจิกกัดเลยแม้แต้ประโยคเดียว ส่วนในใจจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้
ฮูหยินสามหูซื่อลูบท้องน้อยๆ ปากอมบ๊วยแห้งเปรี้ยวๆ คำพูดที่พูดออกมาก็เจ็บแสบ “ใครให้นางเป็นจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยตัวพระองค์เองเล่า ซ้ำยังมีมารดาที่มีสินเดิมมหาศาล เหอะ เดิมทียังคิดว่าในท้องข้าคลอดออกมาแล้วจะได้ผลประโยชน์สักหน่อย ไม่คิดว่านางจะไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลย เจ้าน่ะ ไม่มีวาสนาเสียเลย” นางมองท้องน้อยๆ ของตัวเอง
สาวใช้ที่รับข้างกายย่อมพูดจากยกยอปอปั้น พูดจนใบหน้าหูซื่อเต็มไปด้วยความพอใจ
คุณชายสี่สวีฉั่งที่ไม่เคยอยู่ในจวนมาก่อนนั่งไขว่ห้างอิจฉา “พี่ใหญ่มีวาสนาจริงๆ แค่สินเดิมส่วนนี้ต่อให้พี่สะใภ้ใหญ่จะขี่เหร่อัปลักษณ์ก็คุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้นพี่สะใภ้ใหญ่ยังสวยราวกับนางฟ้า”
เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างกายกล่าวประจบทันที “ไยคุณชายสี่จะต้องอิจฉาคุณชายใหญ่ด้วยเล่า ว่าที่ฮูหยินสี่มีฐานะเดิมอยู่ในจวนเสนาบดีฉิน สินเดิมจักต้องไม่น้อยแน่นอน”
“นางหรือ” สวีฉั่งหัวเราะเยาะหนึ่งครา ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ว่าที่ภรรยาผู้นี้ของเขาบอกว่ามีฐานะเดิมในจวนเสนาบดีฉิน อันที่จริงก็เป็นเพียงบุตรสาวบ้านสามก็เท่านั้น เพียงแค่มีฐานะเป็นบุตรภรรยาเอก ว่าที่พ่อตาของเขาเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญ จะมอบของดีอะไรได้ ยังคิดจะเทียบกับพี่สะใภ้ใหญ่
เหตุใดเสด็จแม่ถึงหมั้นหมายคู่หมั้นผู้นี้ให้เขา แม้เขาจะเป็นลูกคุณชาย แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่ใช่เห็นแก่ซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองความสัมพันธ์ชั้นนี้ ซ้ำฉินอิงอิงผู้นั้นก็หน้าตาดี มิเช่นนั้นแล้วต่อให้พูดจนปากแฉะเขาก็ไม่ยอมแต่งหรอก!
เขาอยู่คนเดียวเป็นอิสระยิ่งนัก อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีใครบังคับ ดียิ่งนัก! ใครจะทนแต่งงานได้ เอาสตรีผู้หนึ่งมาอยู่ข้างกายบ่นนั่นบ่นนี่ น่ารำคาญจะตายไป หากฉินอิงอิงผู้นั้นรู้จักวางตัว เขากลับสามารถให้ความเคารพนางได้หลายส่วน หากเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการขี้หึงขี้หวง เหอะ ข้าก็มีวิธีจัดการเจ้าเช่นกัน!
ส่วนบุตรชายบุตรสาวอนุภรรยาที่เหลือในจวนจิ้นอ๋องจะคิดเช่นไร นั่นก็ยิ่งไม่สำคัญแล้ว
สินเดิมหามออกไปจากจวนจิ้นอ๋อง มุ่งหน้าไปยังจวนผิงจวิ้นอ๋อง แม้จะไม่ได้ตีฆ้องตีกลอง แต่ก็ยังคงดึงดูดคนเดินถนนนับไม่ถ้วนให้มุงดู “ตระกูลใดสู่ขออีกแล้ว สินเดิมนี้แทบจะเทียบจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นั้นของจวนจงอู่โหวได้แล้ว”
ข้างๆ มีคนดูถูก “เทียบเท่าอะไรกัน นี่ก็คือสินเดิมของจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นั้นอย่างไรเล่า”
คนผู้นั้นที่พูดก่อนหน้าไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดถึงหามออกมาแล้วเล่า คงไม่ใช่ว่าหย่า…”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกคนปิดปาก เหลือบซ้ายแลขวา กล่าวเสียงเบา “พี่ชายผู้นี้อยากตายหรือไร ไม่เห็นหรือว่าสินเดิมนั่นกำลังหามไปจวนผิงจวิ้นอ๋อง คุณชายใหญ่ผู้นั้นในจวนจิ้นอ๋องได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นอ๋อง ผิงจวิ้นอ๋อง ฝ่าบาทพระราชทานสวนชิงหยวนให้ใช้เป็นจวนของผิงจวิ้นอ๋อง หลังจากนี้ผิงจวิ้นอ๋องกับจวิ้นจู่เหนียงเหนียงก็ต้องอยู่ที่จวนผิงจวิ้นอ๋อง สินเดิมย่อมต้องย้ายเข้าไป จะวางไว้ในจวนจิ้นอ๋องทำไมกัน”
“ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” คนผู้นั้นประสานมือกล่าว
บริเวณริมหน้าต่างชั้นสองของเหลาสุราข้างถนน ราชบัณฑิตเจียงเฉินและเซี่ยเฟยของสำนักราชบัณฑิตเองก็กำลังมองดูข้างนอกอย่างสนอกสนใจ
“ขบวนสินสอดสิบลี้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เซียวเฟยตกใจจนพูดไม่ออก ฟังว่าบุตรสาวที่มีสินเดิมมหาศาลเช่นนี้นอกจากจวนแม่ทัพใหญ่ตระกูลหร่วนเมื่อยี่สิบปีก่อน ก็มีจวนจงอู่โหวนี่แหละ อีกทั้งนี่ยังเป็นแม่ลูกกันอีกด้วย
“พี่เซี่ยอิจฉาแล้วหรือ สนใจแล้วหรือ ในราชสำนักมีใต้เท้าหลายท่านที่ยื่นกิ่งเชื่อมสัมพันธ์ให้พี่เซี่ย พี่เซี่ยไม่ลองพิจารณาดูบ้างหรือ แม้สินเดิมของคุณหนูตระกูลพวกเขาจะเทียบจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ท่านนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยกระมัง พี่เซี่ยยังไม่รีบแต่งภรรยา กลับบ้านไปจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเงียบเหงาทั้งห้อง” เจียงเฉินขยิบตากล่าวหยอกล้อ
เซี่ยเฟยปรายตา โต้กลับอย่างไม่ลังเล “คนที่จับจ้องมองทั่นฮวาเช่นเจ้าในราชสำนักก็มีไม่น้อยเช่นกัน เจ้าไม่สนใจใครบ้างหรือ” ใบเสนอราคาของทั่นฮวาผู้นี้ขายดีกว่าเขามาก เดือนก่อนยังมีแม่นางมาไล่ตามเขาอยู่ที่หน้าประตูสำนักราชบัณฑิตอยู่เลย
เจียงเฉินยิ้มน้อยๆ กล่าวด้วยเหตุและผล “คำสั่งของพ่อแม่ วาจาของแม่สื่อ เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานใช่จะตัดสินใจคนเดียวได้อย่างไร” ที่สำคัญเขายังไม่อยากมีครอบครัวจริงๆ!
เซี่ยเฟยแค่นเสียงหนึ่งครา เจ้าก็รู้ว่าเรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานไม่อาจตัดสินใจคนเดียวได้ แล้วข้าเป็นคนไม่รู้ธรรมเนียมเหล่านั้นหรือไร พูดถึงคำสั่งของพ่อแม่ ชั่วขณะเซี่ยเฟยก็นึกถึงบ้านเก่าของเจียงเฉิน “ข้าจำได้ว่าบ้านเก่าพี่เจียงอยู่ที่ผิงหยางใช่หรือไม่ ภูมิลำเนาเดิมของตระกูลเสิ่นจวนจงอู่โหวก็คล้ายอยู่ที่นั่นด้วยใช่หรือไม่”
หัวใจของเจียงเฉินเต้นขึ้นมาทันที กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ถูกต้อง ข้าเป็นคนบ้านเดียวกันกับนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นผู้นั้น เขาเป็นบุคคลสำคัญในตำนานนั้นของพวกข้า เพียงแต่ผิงหยางกว้างใหญ่ บ้านพวกข้าอยู่ในอำเภอผิงหยาง ห่างจากบ้านเดิมตระกูลเสิ่นตั้งร้อยกว่าลี้ ทำไมหรือ พี่เซี่ยสนใจตระกูลเสิ่นหรือ”
เซี่ยเฟยคีบกับข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างสุภาพ กลืนลงไปแล้วจึงกล่าว “จงอู่โหวเมื่อก่อน ราชครูเสิ่นในวันนี้ จากเด็กหนุ่มตัวคนเดียวมาจนถึงประตูโหวที่มีชื่อเสียงอำนาจในวันนี้ ใครบ้างจะไม่สนใจ ไม่ปิดบังพี่เจียง หากจะพูดถึงคนที่ข้าเลื่อมใสที่สุด นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นท่านนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งคนในนั้น”
“นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเป็นวีรชนคนกล้า จงรักภัคดีต่อแคว้น ใครบ้างไม่เลื่อมใส” เจียงเฉินเอ่ยชมหนึ่งประโยค วางใจลง
ทว่าเซี่ยเฟยฝั่งตรงข้ามยังคงกล่าวต่อ “ไม่ใช่ว่ากันว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้เติบโตที่บ้านเดิมตระกูลเสิ่นหรอกหรือ ตอนที่พี่เจียงอยู่บ้านเก่าไม่เคยเห็นโฉมหน้าของจวิ้นจู่ผู้นี้หรือ”
คำพูดที่ดูคล้ายไม่สนใจกลับทำให้หัวใจของเจียงเฉินเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับตกใจอย่างถึงที่สุด “เหตุใดพี่เซี่ยถึงมีความคิดเหลวไหลเช่นนี้ คุณหนูจวนโหวกลับบ้านเดิมจะป่าวประกาศออกไปทั่วได้อย่างไร อีกทั้งคุณหนูสูงศักดิ์แต่ไหนแต่ไรก็อยู่แต่เรือนใน ไหนเลยจะให้ชายอื่นได้ยลโฉมได้ พี่เซี่ยกำลังมองข้าน้อยเป็นคนเสเพลหรือไร” เจียงเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ทว่าเซี่ยเฟยกลับยิ้มแย้มหัวเราะฮ่าๆ “ดูพี่เจียงจริงจังไปได้ ข้าก็แค่ล้อเล่นมิใช่หรือ”
เจียงเฉินกลับปั้นหน้าตาย กล่าวอย่างตั้งใจ “เรื่องเช่นนี้สามารถพูดเล่นตามอำเภอใจได้หรือ ข้าน้อยเป็นบุรุษ สำหรับคนอื่นอย่างมากก็เป็นเพียงข่าวลือ แต่สำหรับสตรีแล้วนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวของกับศักดิ์ศรีของสตรี อีกทั้งสามีของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นยังเป็นจวิ้นอ๋อง พี่เซี่ยไม่ใช่ใส่ร้ายข้าหรอกหรือ”
เซี่ยเฟยรีบปลอบขวัญ “เอาล่ะๆๆ ข้าพลั้งปากไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว”
เจียงเฉินแค่นเสียงหนึ่งครา ทำทีไม่สนใจ ทว่าในใจกลับระมัดระวังขึ้นมา ตัดสินใจแล้วว่าหากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจะไม่ติดต่อกับเสิ่นเวยอีก
เห็นสินเดิมถูกหามออกไปทีละคานๆ ความรู้สึกของเสิ่นเวยก็เกินกว่าจะใช้คำว่ามีความสุขมาอธิบายได้
ในขณะที่สินเดิมหาบออกไปเกือบหมดแล้ว หวาเยียนข้างกายพระชายาจิ้นอ๋องก็เข้ามาบอกว่าพระชายาเชิญตัว เสิ่นเวยประหลาดใจ ตอนนี้พระชายาจิ้นอ๋องจะเรียกนางทำไม หรือเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องจึงเรียกนางไปสั่งเสียหลายประโยค
ช่างเถอะ ช่างเถอะ อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็ย้ายออกไปแล้ว ตอนนี้นางอารมณ์ดี ให้เกียรติไปเยี่ยมเสียหน่อย