“กลับมาแล้ว” ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างนอกเคารพสวีโย่ว เสิ่นเวยก็วางหนังสือในมือลง เพราะว่าอากาศร้อน ซ้ำยังอยู่ในห้อง นางสวมเสื้อแขนกว้างอยู่บ้านสีม่วงอ่อน บนศีรษะไร้เครื่องประดับ มีเพียงปิ่นหยกเขียวหนึ่งอันที่รวบผมขึ้น บนข้อมือสวมเพียงกำไลหยกหนึ่งชิ้น สีเขียวมรกตขับให้ข้อมือขาวๆ ของนางกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
สวีโย่วขานอืมหนึ่งคราจากนั้นจึงโบกมือไล่สาวใช้ในห้องออกไป เขาเดินมาถึงข้างกายเสิ่นเวยก็โอบนางเข้ามาในอ้อมอก ศีรษะวางลงบนบ่านางไม่เอ่ยปากสักคำ
แววตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ เกิดอะไรขึ้น ได้รับความไม่เป็นธรรมหรือว่าถูกปลุกเร้า “เป็นอะไรไป ไม่มีความสุขหรือ”
“อืม!” เสียงของสวีโย่วอุดอู้
เสิ่นเวยกะพริบตาปริบๆ ชั่วขณะก็กลายเป็นอะไรไปแล้ว มือที่ขาวดุจหยกเชยหน้าของสวีโย่ว “ใครทำให้ท่านไม่พอใจ มา บอกตัวข้าจวิ้นจู่มา ตัวข้าจวิ้นจู่จะระบายความแค้นแทนท่านเอง จะตีจนเขาหาฟันทั่วพื้นเลย!” คางเล็กๆ เชิดขึ้น กำเริบเสิบสานมากเป็นพิเศษ
แม้สวีโย่วจะรู้ว่าเสิ่นเวยหยอกให้เขาดีใจ แต่อารมณ์ที่ขุ่นมัวกลับดีขึ้นหลายส่วนเพราะเหตุนี้ มือใหญ่ๆ แตะจมูกของเสิ่นเวย พยักหน้ากล่าว “ได้ ข้าจะรอเวยเวยระบายความแค้นแทนข้า”
“ไปๆๆ ตัวข้าจวิ้นจู่กลับอยากเห็นว่าใครกันไม่ดูตาม้าตาเรือ” เสิ่นเวยแสร้งทำทีจะดึงสวีโย่วไปหาคนอย่างสุดชีวิต ถูกสวีโย่วออกแรกกดไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง “เวยเวย” เสียงของเขาเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด ซ้ำยังคล้ายปนความทุกข์ใจ
เสิ่นเวยเลิกคิ้ว เหนื่อยหรือ เป็นทุกข์หรือ หรือว่าหมอนี้ทำอะไรผิดต่อนางมา เสิ่นเวยกำลังจะโมโห ทันใดนั้นก็ปฏิเสธการคาดเดานี้ สวีโย่วปฏิบัติต่อนางเช่นไรพูดได้จริงๆ ว่าทะนุถนอมราวกับสิ่งล้ำค่า อีกทั้งช่วงเวลาส่วนใหญ่เขาก็เดินไปเดินมาอยู่ในสายตานาง ต่อให้คิดจะทำเรื่องไม่ดีก็ไม่มีเวลา!
ดูท่าแล้วจะเป็นเพราะเรื่องอื่น! เสิ่นเวยไม่ได้เร่งเขา เพียงแค่อยู่ในอ้อมอกเขาอย่างเชื่อฟัง อยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
นานอย่างยิ่ง สวีโย่วจึงทำลายความเงียบเอ่ยปากช้าๆ “วันนี้ข้าไปเยี่ยมท่านพี่ไท่จื่อมา เขาป่วยแล้ว ซ้ำยังไม่มียา สถานการณ์ไม่ดียิ่งนัก”
“ท่านพี่ไท่จื่อหรือ” เสิ่นเวยงุนงง นางจำได้ว่าไท่จื่อในราชสำนักคือบุตรคนที่สี่ของฝ่าบาท เด็กกว่าสวีโย่วหลายปี
สวีโย่วได้ยินก็รู้ว่าเสิ่นเวยเข้าใจผิดแล้ว กล่าวอธิบาย “ไม่ใช่ไท่จื่อองค์ปัจจุบัน เป็น เป็นไท่จื่อองค์ก่อน องค์ชายคนโตของเฉิงฮองเฮา” สวีโย่วใช้คำว่าองค์ก่อน เขาพูดคำว่าไท่จื่อผู้ถูกถอดยศคำนี้ไม่ออกจริงๆ
“อ้อ ท่านหมายถึงไท่จื่อองค์นั้นที่ถูกฝ่าบาทกักขังเมื่อสิบปีก่อนน่ะหรือ” ชั่วขณะเสิ่นเวยก็นึกถึงความรู้ทั่วไปที่อาจารย์ซูเคยบอกนาง นางรู้ว่าฝ่าบาทมีฮองเฮาองค์แรก อีกทั้งฮองเฮาผู้นี้ยังให้กำเนิดบุตรชายคนโตแก่เขาอีกด้วย แต่ว่าไท่จื่อองค์นั้นที่สวีโย่วบอก เมื่อสิบปีก่อน ในราชสำนักคล้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้น เฉิงฮองเฮาเสียชีวิตกะทันหัน ท่านไท่จื่อผู้นี้ก็ถูกฝ่าบาทกักขัง นับแต่นั้นมาราชสำนักก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเขาอีก เสิ่นเวยเองก็รู้เพียงแค่ว่ามีไท่จื่อผู้ถูกถอดยศผู้นี้อยู่ก็เท่านั้นเอง
“อืม” สวีโย่วพยักหน้า “เขาถูกฝ่าบาทกักขังไว้ที่ตำหนักโยวหมิง วันคืนไม่ดียิ่งนัก ร่างซูบผอมจนกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้ว”
แววตาเสิ่นเวยมีความเห็นใจแวบผ่าน กักขังน่ะหรือ วันคืนจะดีได้อย่างไร จากสวรรค์ตกลงมาสู่นรก ความแตกต่างนี้เป็นสิ่งที่คนไม่มีทางรับได้อย่างสิ้นเชิง บวกกับการยกย่องและย่ำยีของขันทีนางกำนัลชั้นล่าง สามารถทนมาได้สิบปีก็ไม่เลวแล้ว หากเป็นคนใจแคบหน่อย อารมณ์ร้อนหน่อย ก็คงจะทำตัวเองอัดอั้นตายไปนานแล้ว
“ท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างยิ่งกับท่านไท่จื่อผู้นี้หรือ” เสิ่นเวยค่อนข้างประหลาดใจจุดนี้ ต้องรู้ว่าตั้งแต่เล็กสวีโย่วก็ป่วยออดๆ แอดๆ ออกจากเรือนน้อยอย่างยิ่ง โตขึ้นหน่อยก็ไปรักษาอาการบนเขา หนึ่งปีก็อยู่ในเมืองหลวงไม่กี่วัน ไม่มีเพื่อนไม่ว่า แม้แต่พี่น้องในจวนยังเฉยชา จะไปสนิทกับท่านไท่จื่อผู้นี้ได้อย่างไร
นิ่งเงียบครู่หนึ่งสวีโย่วจึงกล่าว “ตั้งแต่เล็กข้าก็สุขภาพไม่ดี ก่อนอายุห้าปีแทบจะไม่ได้ออกจากเรือน ดื่มยาทั้งวัน แต่คล้ายไม่มีผลลัพธ์อะไร ข้าจำได้ว่าฤดูหนาวปีที่ข้าอายุห้าปี ข้าป่วยจนใกล้ตายแล้ว แต่คนที่เสด็จปู่เตรียมไว้ในจวนล้วนถูกหวังเฟยไล่ออกไป แม้แต่ยายหรูยังไม่อยู่เพราะเหตุนี้ ข้ากลิ้งตกลงมาจากเตียง…ท้ายที่สุดท่านพี่ไท่จื่อที่มาเล่นในจวนก็เกิดความสงสัยจึงวิ่งเข้ามาพบเข้า ข้าจึงรอดตาย และเป็นเพราะท่านพี่ไท่จื่อฟ้องเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพิโรธ ตำหนิเสด็จพ่อ จากนั้นจึงส่งข้าขึ้นเขาไปรักษาตัว”
เสมือนกำลังย้อนความทรงจำ หยุดครู่หนึ่งสวีโย่วจึงกล่าวต่อ “ท่านพี่ไท่จื่อโตกว่าข้าสามปี อาจเพราะเห็นข้าน่าสงสาร ท่านพี่ไท่จื่อจึงดีต่อข้ายิ่งนัก ทุกปีข้ากลับมาจากเขาเขาก็จะวิ่งมาหาข้า เล่าเรื่องในวังให้ข้าฟัง ซ้ำยังนำบำเหน็จจำนวนมากที่เขาได้มาให้ข้า”
เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เด็กที่ไร้ที่พึ่งพิงโดดเดี่ยวเดียวดายคนหนึ่ง มีคนใส่ใจดูแลเขาเช่นนี้ เป็นดั่งดวงอาทิตย์หนึ่งดวงที่อบอุ่นที่สุดในใจเขาไม่ใช่หรือ ที่แท้แล้วตอนยังเด็กสวีโย่วก็มีประสบการณ์เช่นนี้ น่าสงสารจริงๆ! มิน่าเล่าเขาถึงไม่มีความผูกพันใดๆ กับคนในจวนจิ้นอ๋อง เสิ่นเวยแขวะท่านจิ้นอ๋องพ่อที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ในใจอีกครั้ง พระชายาเป็นแม่เลี้ยง แต่จวิ้นอ๋องเป็นถึงพ่อแท้ๆ! เมินเฉยลูกชายเช่นนี้ได้ พอแล้วจริงๆ!
“เช่นนั้นสิบปีก่อนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดฝ่าบาทถึงกักขังท่านไท่จื่อเล่า” เสิ่นเวยเอ่ยความสงสัยในใจตนออกมา ว่ากันตามเหตุผล ถอดยศไท่จื่อถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตอนนี้ท่านไท่จื่อผู้นี้ก็อายุสิบห้าปีแล้ว ศึกษารับราชการแล้ว อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินว่ามีการกระทำที่ขาดคุณธรรมใดๆ เหตุใดถึงถอดยศง่ายๆ เล่า แล้วเฉิงฮองเฮาผู้นั้นเสียชีวิตกะทันหันจริงๆ หรือ เหตุใดทุกคนถึงเลี่ยงที่จะพูดเรื่องเหล่านี้เล่า
คำถามเหล่านี้วกวนอยู่ในหัวใจเสิ่นเวย ทำให้นางไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง
ความนิ่งเงียบเข้าปกคลุมครู่ใหญ่อีกครั้ง สวีโย่วกล่าว “ราชวงศ์นี้มีอ๋องเคียงบ่าผู้หนึ่งเจ้ารู้ใช่หรือไม่”
เสิ่นเวยพยักหน้า “ใช่อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ที่ทรยศราชวงศ์นำทหารออกไปหรือไม่ เรื่องนี้ข้าทราบ เหตุผลที่พวกเราเลื่อนฤกษ์แต่งงานออกไปก็เพราะท่านไปสืบเรื่องอ๋องเคียงบ่าผู้นี้ไม่ใช่หรือ หรือว่าเรื่องเมื่อสิบปีก่อนเกี่ยวพันกับอ๋องเคียงบ่าผู้นี้ด้วย” อ๋องเคียงบ่านามว่าเฉิงอี้ เฉิงฮองเฮาก็แซ่เฉิง หรือว่า? เสิ่นเวยเบิกตาโตมองสวีโย่ว
สบสายตาของเสิ่นเวย สวีโย่วก็พยักหน้า “ถูกต้อง เฉิงฮองเฮาคือบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องเคียงบ่าเฉิงอวี้”
เสิ่นเวยได้ยินดังนั้น คิ้วก็ขมวด “เพราะเหตุนี้หรือ จิตใจของฝ่าบาทน่าจะไม่แคบขนาดนั้นกระมัง ไม่ใช่สิ เฉิงอี้ก่อกบฏต่อราชวงศ์ก่อนหน้านั้นอีกไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทยังพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เฉิงฮองเฮาที่มีความสัมพันธ์กับอ๋องเคียงบ่าและไท่จื่อบุตรของนางไม่ใช่หรือ เหตุใดหลายปีให้หลังถึงได้รื้อบัญชีเก่าเล่า หรือว่าตอนนั้นล้วนทำเพื่อตั้งเป็นอนุสรณ์ให้คนอื่นดู เช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่เอาถ่านเกินไปแล้ว!” สละภรรยาคนแรกกับบุตรคนโตของตนเพื่อราชสำนัก เสิ่นเวยไม่ชอบคนประเภทนี้ที่สุดเลย ถึงว่าท่านจิ้นอ๋องเป็นพ่อไม่ได้เรื่อง ที่แท้แล้วฝ่าบาทก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย สมกับที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันจริงๆ
เห็นความเหยียดหยามที่ไม่มีการปกปิดบนใบหน้าเสิ่นเวย มุมปากของสวีโย่วก็กระตุก มีเพียงน้องสี่ของเขาที่กล้าพูดว่าฝ่าบาทไม่เอาถ่านอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” สวีโย่วกล่าว “ฝ่าบาทกับเฉิงฮองเฮาแต่งงานกันตั้งแต่ยังอายุน้อย ความผูกพันลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ แม้ว่าอ๋องเคียงบ่าจะก่อกบฏต่อราชวงศ์ หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็ยังแบกความกดดันพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ภรรยาและบุตรคนโตเป็นฮองเฮาและไท่จื่อ สิบปีก่อน ในราชสำนักเกิดเรื่องขึ้น จานซื่อจวนจานซื่อตำหนักบูรพาเปิดโปงต่อราชสำนักว่าท่านพี่ไท่จื่อสมรู้ร่วมคิดกับเฉิงอี้ พยายามยึดอำนาจชิงบัลลังก์ ทั้งยังถวายจดหมายที่ติดต่อกันระหว่างท่านพี่ไท่จื่อและเฉิงอี้ ลายมือนั้นคาดไม่ถึงว่าเป็นของจริง ท่านพี่ไท่จื่อหมดหนทางแก้ตัว ฝ่าบาททรงพิโรธ ขุนนางในราชสำนักตกตะลึง ท่านพี่ไท่จื่อกับเฉิงฮองเฮาต่างก็ถูกกักบริเวณ เฉิงฮองเฮาฆ่าตัวตายเพื่อที่จะขอให้ฝ่าบาทไว้ชีวิตไท่จื่อ”
“จานซื่อจวนจานซื่อผู้นั้นเล่า” เสิ่นเวยใช้เวลาไม่นานก็หาจุดสำคัญได้
สวีโย่วกล่าว “ตายแล้ว ชนเสาตายในพระตำหนักจินหลวน ณ ตอนนั้น”
“วิธีนี้ไม่ได้เหนือชั้นเลยจริงๆ” แต่มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด บนใบหน้าของเสิ่นเวยปรากฎความเหยียดหยัน “ท่านพี่ไท่จื่อของท่านถูกใส่ร้ายสินะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” สวีโย่วตกตะลึง “ตอนที่เรื่องเกิดข้าอายุเพียงสิบสองปี ซ้ำยังไม่อยู่ในเมืองหลวง กว่าข้าจะกลับมาจากเขาใช้วิธีทั้งหมดที่มีจึงได้พบหน้าท่านพี่ไท่จื่อ เขาก็บอกว่าเขาไม่เคยติดต่อกับอ๋องเคียงบ่าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไม่เคยเขียนจดหมายเหล่านั้น ส่วนข้าก็เชื่อว่าท่านพี่ไท่จื่อถูกใส่ร้าย แต่ข้าเชื่อแล้วจะมีประโยชน์อันใด เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่เชื่อ ฝ่าบาทไม่เชื่อ”
“ใครบอกว่าฝ่าบาทไม่เชื่อ” เสิ่นเวยกลอกตา กล่าว “หากเขาไม่เชื่อ ท่านพี่ไท่จื่อของท่านคงไม่ถูกกักขัง แต่คงจะถูกลดขั้นเป็นสามัญชนเนรเทศออกไปแล้ว เขาอาจจะไม่เชื่อตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีสมอง หลังเรื่องเกิดจะไม่สงสัยได้อย่างไร ต่อให้จะไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่ก็คงมีสักสี่ห้าส่วนกระมัง” เสิ่นเวยวิเคราะห์
“เหตุใดเล่า” สวีโย่วถาม “อีกทั้งเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านพี่ไท่จื่อถูกใส่ร้าย” แม้แต่ราชครูที่เคยสอนไท่จื่อยังไม่กล้าพูดแทนท่านพี่ไท่จื่อเลย เหตุใดน้องสี่ที่ไม่เคบพบหน้าท่านพี่ไท่จื่อถึงเชื่อว่าเขาถูกใส่ร้ายเล่า
“นี่ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ไม่ใช่หรือ ท่านพี่ไท่จื่อของท่านเป็นไท่จื่อแล้ว ขอเพียงแต่อดทนรอต่อไป ไม่เกิดความผิดพลาดใหญ่หลวง ไม่ช้าไม่เร็วบัลลังก์ก็ต้องเป็นของเขา เขาจะรวมหัวก่อกบฏชิงบัลลังก์ทำไม อีกทั้งท่านเองก็บอกว่า อ๋องเคียงบ่าผู้นั้นเป็นเพียงพ่อบุญธรรมของเฉิงฮองเฮา ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ตอนที่ท่านพี่ไท่จื่อของท่านยังเล็กมากๆ ก็หนีไปแล้ว ท่านพี่ไท่จื่อของท่านน้ำเขาสมองถึงจะร่วมมือกับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดทั้งยังไม่มีความผูกพันใดๆ เช่นนี้” เสิ่นเวยชายตามองสวีโย่ว
“ตอนนั้นท่านพี่ไท่จื่อของท่านอายุเท่าไรแล้ว สิบห้าแล้วใช่หรือไม่ เพิ่งจะแต่งงาน หากเขาอายุสิบสาม สิบสี่ปียังมีความเป็นไปได้ที่จะร้อนใจจึงเลือกก่อกบฏชิงบัลลังก์ สิบห้าปี ฮ่าๆ มือใหม่ที่เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าราชสำนัก กำลังถกแขนเสื้อเตรียมจะสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ให้ฝ่าบาทเห็นความสามารถของเขา เขาจะคิดก่อกบฏหรือ…
…ยังมีจานซื่อผู้นั้น เหตุใดเขาถึงตายแล้วเล่า ไม่ใช่ตายแล้วไม่อาจให้การได้หรอกหรือ ใครจะรู้ว่าคำพูดของเขาเป็นจริงหรือเป็นเท็จ คนผู้นี้เกรงว่าจะเป็นม้ามืดของใครกระมัง อย่างไรเสียเขาก็เป็นจานซื่อตำหนักบูรพา ชีวิตครอบครัวล้วนผูกอยู่กับตัวไท่จื่อ ไท่จื่อขึ้นครองบัลลังก์แล้วจะขาดชื่อเสียงเงินทองของเขาได้อย่างไร แต่เขาดันก้าวออกมาเปิดโปงว่าไท่จื่อก่อกบฏกับผู้อื่น คนผู้นี้ไม่มีสมองหรือไร ต่อให้ไท่จื่อสมคบคิดกับผู้อื่นจริงๆ การตอบสนองโดยทั่วไปของผู้ที่เป็นจานซื่อตำหนักบูรพาเช่นเขาไม่ช่วยปกปิด ก็ควรออกห่างไท่จื่อช้าๆ เขากลับไม่ทำ ไม่เพียงแต่เปิดโปงออกมาต่อหน้าขุนนางทั้งหมด ซ้ำยังชนเสาฆ่าตัวตาย หากไม่ได้รับคำสั่งมาแล้วจะเป็นอะไร”
สีหน้าบนใบหน้าของเสิ่นเวยสดใสเป็นอย่างยิ่ง! “จุ๊ๆๆ จานซื่อผู้นั้นติดตามอยู่ข้างกายท่านพี่ไท่จื่อท่านมานานมาก คงเป็นคนที่เขาไว้ใจยิ่งนักใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นสิ่งที่เขาพูดใครจะเชื่อเล่า ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแผนการที่พุ่งเป้าไปยังท่านพี่ไท่จื่อของท่านวางมาหลายปีแล้ว เกรงว่าคงเริ่มตั้งแต่อ๋องเคียงบ่าก่อกบฏต่อราชวงศ์กระมัง จุๆ แผนการที่นานถึงเพียงนี้ ท่านพี่ไท่จื่อของท่านจะแพ้ก็ไม่แปลก!”