ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 253-1 ห้องลับกักขังผู้ใด

ไท่จื่อไม่ฟังเสด็จแม่ของเขา ฟ้องร้องผิงจวิ้นอ๋องต่อหน้าเสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่การกระทำของสตรีหรอกหรือ เขาคือไท่จื่อ มุมมองต่อสภาพการณ์จะน้อยเพียงนี้หรือไร เช่นนั้นเสด็จพ่อจะมองเขาอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นผิงจวิ้นอ๋องก็เป็นญาติผู้พี่ของเขา เขาจะโง่พูดเรื่องเล็กน้อยของเขาต่อหน้าเสด็จพ่อได้อย่างไร

 

 

ฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่มีความตระหนักรู้นี้ นางคิดว่าบ้านฝั่งมารดาของตนได้รับความไม่เป็นธรรม พาให้ไท่จื่อเสียหน้าไปด้วย ต่อให้ผิงจวิ้นอ๋องจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แต่ก็เป็นเพียงหลานชาย หลานชายจะใกล้ชิดกว่าลูกชายได้อย่างไร

 

 

ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นจังหวะที่ฮ่องเต้ยงเซวียนเสด็จเข้ามาในตำหนักนางนางก็พูดเรื่องผิงจวิ้นอ๋องเชื่อถือไม่ค่อยได้นักหลายประโยคอย่างคล้ายหยอกล้อ ฮ่องเต้ยงเซวียนที่เดิมมีความสุขอย่างยิ่งก็ขมวดคิ้วในชั่วพริบตา ความคิดที่เดิมจะบรรทมในพระตำหนักคุนหนิงก็หมดไปทันที สะบัดมือของฮองเฮาเหนียงเหนียงยกเท้าเดินออกไป ทิ้งให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงโมโห แทบจะกัดจนฟันแตกเป็นเสี่ยง

 

 

ทุกๆ การกระทำของฮ่องเต้ยงเซวียนต่างก็ถูกวังหลังจับจ้อง ข่าวฮ่องเต้ยงเซวียนออกจากตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาเหนียงเหนียงกลางดึกดังไปถึงหูของเหยียนกุ้ยเฟยกับฉินซูเฟยและคนอื่นๆ ด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง

 

 

เหยียนกุ้ยเฟยเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ฉินซูเฟยก็ดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างมาก สั่งขันทีคนสนิทข้างกาย “พรุ่งนี้ไปสืบมา ดูสิว่าเป็นเพราะเรื่องอันใด” ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องใด ได้เห็นฝ่าบาทไม่ไว้หน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงแม้แต่นิดเดียว จิตใจนางก็สบายอารมณ์ยิ่งนัก

 

 

ทว่า เรื่องที่ทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงเดือดดาลยังตามมาทีหลัง เช้าตรู่วันเดียวกัน ฮ่องเต้ยงเซวียนชมเชยผิงจวิ้นอ๋องสวีโย่วต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั่วท้องพระโรง เมื่อออกว่าราชการเสร็จแล้ว บำเหน็จของฮ่องเต้ยงเซวียนก็มาถึงจวนผิงจวิ้นอ๋อง

 

 

เดิมทุกคนก็มีท่าทีเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องที่ผิงจวิ้นอ๋องมีเรื่องกับจวนเฉิงเอินกง นอกจากผู้ตรวจการเล็กๆ ที่ไม่รู้จักเปิดหูเปิดตาไม่กี่คนกระโดดออกไปยื่นมติไม่ไว้วางใจผิงจวิ้นอ๋องแล้ว คนที่เหลือต่างก็ปิดปากไม่พูด

 

 

ตอนนี้การกระทำนี้ของฮ่องเต้ยงเซวียนทุกคนยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก คนที่รอดูเรื่องสนุกก็รีบเก็บความคิด บ้านฝั่งมารดาของฮองเฮาเหนียงเหนียง บ้านตาของไท่จื่อแล้วอย่างไร ยังคงได้รับความโปรดปรานไม่เท่าผิงจวิ้นอ๋องด้วยซ้ำ!

 

 

สีหน้าของไท่จื่อย่ำแย่อย่างมาก แม้เสด็จพ่อของเขาจะไม่เอ่ยถึงความผิดของจวนเฉิงเอินกงแม้แต่ประโยคเดียว และยังไม่ได้ลงโทษอะไร แต่เขาปูนบำเหน็จให้ผิงจวิ้นอ๋องมหาศาลไม่ใช่การแสดงท่าทีแล้วหรือ

 

 

โดยเฉพาะไท่จื่อที่รู้ว่าเรื่องนี้ยังเป็นฝีมือของเสด็จแม่เขา ก็ยิ่งลำบากใจ บ้านตาเป็นตัวถ่วงเขา เสด็จแม่ยังสร้างปัญหาเพิ่มอีก ไท่จื่อเช่นเขาก็โชคร้ายอย่างมากจริงๆ

 

 

ออกว่าราชการเสร็จแล้วเขาก็ไปขอโทษต่อหน้าฮ่องเต้ยงเซวียนแทนเสด็จแม่ของเขา ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่ได้โมโห เขามองลูกชายที่เขาเลี้ยงมากับมือผู้นี้ กล่าวอย่างเรียบง่าย “เจ้าคือเจ้า เสด็จแม่เจ้าก็คือเสด็จแม่เจ้า เจ้าเป็นมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่เล็กก็ได้รับการสั่งสอนจากขุนนางและปราชญ์ชื่อดังหนึ่งกลุ่ม ยังไม่เข้าใจแม้แต่หลักการเช่นนี้หรือ ไท่สื่อเจ้าจงจำไว้ เป็นผู้ปกครองต้องมีจิตใจที่โอบอุ้มใต้หล้า ไม่อาจเลือกข้างแต่คนที่สนิทกับตน ใจแคบเหมือนไส้ไก่”

 

 

ผู้ตรวจการที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจผิงจวิ้นอ๋องไม่กี่คนนั้นก็น่าขำจริงๆ เจ้าจะยื่นมติไม่ไว้วางใจ ก็ต้องหาโทษที่ถูกต้องตามกฎหมายมามิใช่หรือ ใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน เหอๆ พวกเขายังกล้าพูดจริงๆ

 

 

ผิงจวิ้นอ๋องเป็นคนโหยหาอำนาจหรือ แม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครนี้ยังเป็นตนที่ยืนกรานยัดให้เขา แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือ เขายังต้องแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอีกหรือ ไม่ต้องพูดถึงสินเดิมสิบลี้นั่นของคุณหนูสี่แซ่เสิ่น เพียงแค่สินเดิมของต้วนซื่อแม่แท้ๆ ของผิงจวิ้นอ๋องก็เพียงพอให้ใช้จ่ายไปสามชาติแล้ว

 

 

คนอื่นไม่รู้ฐานะของต้วนซื่อ แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนผู้เป็นฮ่องเต้ย่อมรู้ดี ฮ่องเต้องค์ก่อนตอนที่ยังทรงพระเยาว์มีหญิงงามหวานใจที่รักที่สุดผู้หนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองไม่อาจลงเอยกันได้ สุดท้ายหญิงผู้นั้นก็แต่งงานกับคนอื่นตามสามีออกไปอยู่อย่างสันโดษ ภายหลังไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หญิงผู้นั้นและสามีเสียชีวิตทั้งคู่ เหลือเพียงลูกสาวก็คือต้วนซื่อ ก่อนตายหญิงผู้นั้นฝากฝังลูกสาวไว้ให้ฮ่องเต้องค์ก่อนดูแล

 

 

ฮ่องเต้องค์ก่อนเสียพระทัยอย่างยิ่ง ดูแลต้วนซื่อเหมือนลูกสาวแท้ๆ ตามคำสัญญา ตอนที่นางออกเรือนสินเดิมที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเตรียมให้อย่างน้อยก็ครึ่งท้องพระคลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ในมือของผิงจวิ้นอ๋อง เขาไม่มีอะไรทำหรือถึงต้องแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน

 

 

เหอะ ไม่มีผู้ตรวจการโจวดูแลกรมตรวจการราชสำนักไม่ได้เลยจริงๆ! ตอนนี้ฮ่องเต้ยงเซวียนคิดถึงผู้ตรวจการโจวที่ถูกเขาส่งไปขังอยู่ทางตอนเหนืออย่างถึงที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าคดีของแม่ทัพอันเขาตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว

 

 

สบสายตาที่แฝงความนัยของเสด็จพ่อเหงื่อของไท่จื่อก็ไหลออกมา เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไร ไม่พอใจเขาแล้ว หรือว่ารังเกียจที่เขาใจกว้างไม่พอ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็เพียงพอให้เขาอกสั่นขวัญแขวนได้ทั้งสิ้น อดเกลียดชีเว่ยตัวสร้างหายนะอีกครั้งไม่ได้

 

 

เร็วอย่างยิ่งฉินซูเฟยก็รู้แล้วว่าฮองเฮายั่วโมโหฮ่องเต้ยงเซวียน มุมปากยกขึ้น กล่าวกับองค์ชายรองด้วยความเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด “เห็นแล้วหรือยัง นั่นก็คือคนโง่” นางบอกเป็นนัยไปยังทิศของตำหนักคุนหนิง คนที่ทำให้นางไม่ยินยอมก็คือคนที่โง่เพียงนี้แต่ตลอดมากลับกดอยู่บนหัวนาง

 

 

อารมณ์ที่กลัดกลุ้มขององค์ชายรองก็ดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่ได้มีเพียงบ้านตาของเขาที่เป็นตัวถ่วงแล้ว มีไท่จื่อรับโทษด้วย ความกดดันบนตัวเขาก็เบาลงไม่น้อยในชั่วพริบตา

 

 

“เสด็จแม่ ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ เสด็จพ่อปกป้องผิงจวิ้นอ๋องยิ่งนัก” องค์ชายรองฉวยโอกาสโน้มน้าวเสด็จแม่อีกครั้ง

 

 

ฉินซูเฟยที่กำลังอารมณ์ดีก็หมดอารมณ์ในชั่วขณะ โบกมือกล่าวอย่างหงุดหงิด “พอแล้ว พอแล้ว รู้แล้ว เจ้าคิดว่าแม่เจ้าเป็นคนโง่หรือ วางใจเถอะ ไม่เพิ่มภาระให้เจ้าหรอก”

 

 

หยุดครู่หนึ่งคล้ายนึกอะไรขึ้นได้จึงกล่าว “ภรรยาเจ้าไม่มีความคืบหน้าหรือ แต่งงานมานานเพียงนี้แล้ว เสด็จพ่อเจ้าให้ความสำคัญกับทายาท เจ้าเองก็ใส่ใจให้มากหน่อย อย่าเอาแต่ทุ่มเทให้งานทั้งวัน หากเจ้ามีบุตรชายได้ ก็ดียิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น”

 

 

ดวงตาองค์ชายรองกะพริบวาบ กลับไม่ได้คัดค้าน “เสด็จแม่วางใจ ลูกทราบแล้ว”

 

 

ทว่าฉินซูเฟยกลับเชิดคาง แค่นเสียงหนึ่งครา รู้แล้วมีประโยชน์บ้าอะไร บอกเขาแล้วว่าทายาทสำคัญ มีครั้งไหนบ้างที่ไม่ใช่ตอบปากรับคำอย่างขอไปที นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ในจวนเขายังไม่มีสักคนที่ตั้งท้อง อู๋ซื่อ คิดถึงลูกสะใภ้ผู้นั้นของนาง ซูเฟยก็อยากพูดอีกหลายประโยคอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงพ่อที่เป็นแม่ทัพผู้นั้นของลูกสะใภ้ นางอ้าปากแล้วก็ยังคงอดทนไว้

 

 

เสิ่นเวยพลิกดูบำเหน็จของฮ่องเต้ยงเซวียนรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็มองสวีโย่วแล้วกล่าว “ความรู้สึกของการมีคนหนุนหลังสบายใจจริงๆ”

 

 

มุมปากสวีโย่วกระตุกเล็กน้อย เรื่องนี้เขามีเหตุผลรู้หรือไม่ หากเขาสลับตำแหน่งกับชีเว่ย ต่อให้ฝ่าบาทจะโปรดปรานเขาก็ไม่อาจหนุนหลังเขาอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ได้

 

 

เสิ่นเวยกล่าวต่อ “ฟังว่าคบไฟอันที่สองกับอันที่สามของท่านก็จุดแล้วงั้นหรือ ทำเอาไก่อ่อนพวกนั้นร้องไห้หาพ่อหาแม่เลยทีเดียว”

 

 

สวีโย่วพยักหน้า “แม้จะบอกว่ากองปัญจทิศรักษานครเทียบกองทหารรักษาพระองค์กับค่ายใหญ่ซีซานไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจด้อยเกินไปได้ แม้แต่โจรกระจอกยังจับไม่ได้ ขายหน้ายิ่งนัก” อย่างไรเสียก็เป็นดินแดนของพวกเขาตระกูลสวี ในเมื่อเขาได้รับหน้าที่นี้แล้ว ก็ต้องทุ่มเทแรงบ้าง อีกทั้งกองปัญจทิศรักษานครก็ควรจะปรับปรุงได้แล้ว แม้แต่เด็กรับใช้ในจวนเขายังเทียบไม่ได้ หวังจะให้พวกเขาดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวงงั้นหรือ ฝันไปเถอะ

 

 

เสิ่นเวยเองก็รู้สึกขายหน้า มีครั้งหนึ่งนางเคยเห็นกับตาตัวเองว่าเจ้าหน้าที่ของกรมปัญจทิศรักษานครจับคนไม่ได้แต่กลับถูกคนตี ยังคงเป็นนางที่สั่งคนเข้าไปช่วย นี่เองก็เป็นเหตุผลที่นางรู้สึกตกใจตั้งแต่แวบแรกที่ได้ยินว่าสวีโย่วได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร สามีที่หาญกล้าและใจดำอย่างถึงที่สุดของนางจะนำคนไร้ประโยชน์หนึ่งกลุ่มได้อย่างไร

 

 

วันนี้ตอนที่ฉินมู่หรานเดินทาง ท่านเสนาบดีฉินนำคนทั้งหมดในจวนมา พ่อบ้านหนึ่งคนเด็กรับใช้สี่คนที่ร่วมเดินทางไปพร้อมเขารอคำสั่งอยู่ข้างๆ แล้ว

 

 

เป็นถึงคุณชายน้อยของจวนเสนาบดี สวัสดิการของฉินมู่หรานดีอย่างยิ่งมาโดยตลอด ไม่เพียงแต่ไม่ต้องใส่เครื่องจองจำ ก่อนออกเดินทางยังอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ แม้แต่ผมก็ยังหวีอย่างเป็นระเบียบที่สุด

 

 

แต่นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อที่ลงมาจากรถยังคงเห็นตั้งแต่แวบแรกว่าเขาผอมลง จับแขนของเขาร้องไห้เงียบๆ ฉินมู่หรานเห็นแม่กับย่าเขา ก็เหมือเห็นผู้ช่วยชีวิต กอดคนทั้งสองอ้อนวอน “ท่านย่า ท่านแม่ ข้าอยากกลับจวน ข้าไม่อยากไปเจียงโจว ข้าเชื่อฟัง จะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว ท่านย่า ท่านให้ข้ากลับจวนเถิด” คืนวันเหล่านี้ในคุกเขานับว่าทนทุกข์ทรมานมาพอแล้ว แม้พ่อเขาจะเตรียมคนมาดูแล แต่ต่อให้จะดูแลนั่นก็เป็นห้องขัง เพียงแค่หนูที่ออกมาหาอาหารทุกคืนก็ทำให้เขากลัวจนอกสั่นขวัญหายแล้ว

 

 

หัวใจของนายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อแทบจะแตกร้าว “หลานสุดรัก หลานสุดรักของข้า!” นายหญิงผู้เฒ่าฉินลูบใบหน้าของฉินมู่หราน ในใจประหนึ่งถูกมีดกรีด

 

 

ส่วนต่งซื่อก็ร้องขอกับท่านเสนาบดีฉินอย่างอดไม่ได้แล้ว “ท่านเสนาบดี หรานเอ๋อร์ไม่ไปแล้วได้หรือไม่ เด็กรับใช้บ่าวรับใช้มากมายเช่นนี้ เลือกมาแทนหรานเอ๋อร์สักคนไม่ได้หรือ หากยังไม่พอ ในจวนก็มีบุตรหลานไม่น้อย พวกเรา ตระกูลพวกเราออกเงินให้มากหน่อย จะต้องหา…”

 

 

“หุบปาก” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกท่านเสนาบดีตะโกนห้าม หญิงโง่ เป็นหญิงโง่ที่สุดจริงๆ ภายใต้สายตาที่จับจ้องก็คิดจะให้บ่าวกับบุตรหลานในตระกูลมาแทนที่หรานเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่การส่งจุดอ่อนไปในมือผู้อื่นหรือ แผนที่เขาวางไว้อย่างดีถูกหญิงโง่ผู้นี้เอ่ยปากทำลายแล้ว

 

 

เดิมทีท่านเสนาบดีฉินยังมีความคิดเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ แต่เป็นระหว่างทาง ติดสินบนผู้คุมให้มากหน่อย ค่อยๆ เปลี่ยนตัวหรานเอ๋อร์ออกมาใครจะรู้

 

 

ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ถูกต่งซื่อหญิงโง่ผู้นี้เอ่ยปากเน่าๆ ทำลายแล้ว คนในที่ลับจะต้องจับจ้องไม่ให้คลาดสายตาเป็นแน่ หากคิดจะเปลี่ยนตัวหรานเอ๋อร์อีกก็ยากแล้ว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset