สายตาที่นิ่งขรึมของท่านเสนาบดีฉินจ้องมองต่งซื่อ รู้สึกเพียงหงุดหงิดใจ กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “พอแล้ว อย่าเสียเวลาเลย ให้หรานเอ๋อร์เดินทางเถิด เส้นทางนี้ก็ลำบากพี่ชายผู้คุมทั้งสองท่านแล้ว”
เจ้าหน้าที่ผู้คุมตัวฉินมู่หรานทั้งสองคนนั้นตกใจที่ได้รับความโปรดปราน นี่คือท่านเสนาบดีฉินเชียวนะ ปกติพวกเขาไหนเลยจะเห็นหน้าท่านเสนาบดีฉินได้ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ได้เห็น ท่านเสนาบดีฉินยังเป็นมิตรกับพวกเขาอีก พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นจนหน้าแดง ตบอกรับปาก “ท่านเสนาบดีวางใจ มีพวกข้าสองคนอยู่ ไม่อาจลำบากคุณชายน้อยตระกูลฉินแน่นอน” แม้ว่าจะลำบากพวกเขาเองก็ไม่อาจสร้างความลำบากให้ลูกรักของท่านเสนาบดีฉินได้!
แม้ฉินมู่หรานจะไม่ยินดีแต่ก็ต้องเดินทางตามเจ้าหน้าที่ไปอย่างอาลัยอาวรณ์ พ่อบ้านและเด็กรับใช้สี่คนโขกศีรษะให้ท่านเสนาบดีฉินแล้วก็กระชับผ้าห่อของบนหลังตามออกไป
กระทั่งเงาร่างของกลุ่มฉินมู่หรานหายไป ท่านเสนาบดีฉินจึงหันหลังกลับจวนด้วยความอาลัย นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อถูกสาวใช้พยุงขึ้นรถม้า เพราะว่าเสียใจมากเกินไป ทั้งสองแทบจะทรุด นี่ทำให้ฉินมู่หย่วนบุตรคนโตของท่านเสนาบดีฉินกังวลอย่างถึงที่สุด
แม้จะบอกว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ของฉินมู่หย่วนกับน้องชายผู้นี้ก็ไม่ค่อยลึกซึ้งจริงๆ ตอนที่น้องชายเขาเกิดเขาก็เป็นปัญญาชนเรียนหนังสือแล้ว ภายหลังน้องชายเขาถูกอุ้มไปเลี้ยงที่เรือนของท่านย่า ทั้งสองก็ยิ่งพบหน้ากันน้อยลง เขานิสัยไม่เหมือนน้องชายคนนี้ เขาชอบอ่านหนังสือ และชอบพัฒนาการเรียน น้องชายเขาเป็นคนชอบเที่ยวเล่น หยิบหนังสือขึ้นมาก็ปวดหัว เช่นนี้ความสนิทของคนทั้งสองก็น้อยลง นับประสาอะไรกับความผูกพันลึกซึ้ง หากไม่ใช่ว่าท่านแม่มักจะรำพึงรำพันถึงน้องชายของเขาข้างหูเขาบ่อยๆ เขาที่เป็นพี่ชายจะต้องดูแลน้อง วันนี้เขาก็คงไม่คิดแม้แต่จะมาแล้ว
ท่านเสนาบดีฉินกลับไปถึงจวนเสนาบดีอารมณ์ก็ยังคงดิ่ง นั่งอยู่ในห้องหนังสือคนเดียวอยู่นานจึงค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปยังศาลบรรพบุรุษ เห็นแผ่นหลังที่เดียวดายของท่านเสนาบดีฉิน จิตใจคนรับใช้ในจวนก็เต็มไปด้วยความเห็นใจ ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าแล้วอย่างไร ก็ยังปกป้องลูกชายคนเล็กไว้ไม่ได้
ตอนที่ข่าวดังไปถึงหูของนายหญิงผู้เฒ่าฉิน นางก็อดเสียงใจอีกรอบไม่ได้ ถอนหายใจกล่าวกับแม่นมข้างกาย “เหล่าต้าเองก็ไม่ง่าย หรานเอ๋อร์เป็นลูกที่เกิดตอนเขาอายุมากแล้ว แม้ปากจะไม่พูด แต่ในใจกลับเจ็บปวด เฮ้อ เขาอยู่ในศาลบรรพบุรุษคนเดียวไม่รู้ว่าจะเสียใจเพียงใด”
ในความจริงแล้วนายหญิงผู้เฒ่าคิดมากไปแล้วจริงๆ ผู้กระทำการณ์ใหญ่ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ท่านเสนาบดีฉินเสียใจเพียงแค่ชั่วครู่นั้น เมื่อเดินเข้าไปในศาลบรรพบุรุษริมฝีปากของเขาก็เม้มแน่นด้วยความเคยชิน
“ท่านเสนาบดี!” ผู้ดูแลศาลบรรพบุรุษเป็นชายชราหลังค่อมคนหนึ่ง ผมและหนวดขาวหมดแล้ว สวมชุดสีดำทั้งร่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าไม่ได้ซักมานานเพียงใด คนมองดูแล้วสกปรกมอมแมม แต่หากเจ้ามองท่าทางการเดินของเขาให้ดี กลับจะพบว่าขาทั้งคู่ของเขาแข็งแรง ไม่สอดคล้องกับความชราภายนอกของเขาอย่างสิ้นเชิง
ท่านเสนาบดีฉินขานอืมหนึ่งครา โบกมือ ชายชราผู้นั้นก็กระแอมเดินออกจากศาลบรรพบุรุษมานั่งลงข้างประตู
ท่านเสนาบดีฉินยืนอยู่ในศาลบรรพบุรุษ มองแท่นบูชาบรรพบุรุษอย่างนิ่งงันครู่ใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปหมนุแท่นบูชาของพ่อเขา ได้ยินเพียงเสียง ‘แกรก’ เบาๆ หนึ่งครั้ง ตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ก็เปิดปากอุโมงค์กว้างหนึ่งเมตรออกมา ท่านเสนาบดีฉินเหยียบบันไดเดินลงไปจากปากอุโมงค์ ข้างล่างเป็นห้องลับหนึ่งห้อง
“ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์ ไม่เจอกันนาน” เสียงที่แหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจอปัญหามาอีกแล้วหรือ” ในน้ำเสียงแฝงความดีใจ
ห้องลับใต้ดินนี้คาดไม่ถึงว่ามีคนผู้หนึ่งอยู่ เป็นชายชรา ผมขาวหนวดขาวหมดแล้ว รอยย่นบนใบหน้าก็ลึกราวกับใช้มีดกรีดเข้าไป ทำให้คนรู้สึกว่าเขาแก่มากๆ ดูจากที่เขาเรียกท่านเสนาบดีฉินว่าเสี่ยวเอ๋อร์ (เด็กน้อย) อายุของเขาก็น่าจะมากอย่างยิ่ง
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษหนึ่งตัว สองมือสองขาล้วนถูกโซ่ล่ามไว้ คิดจะขยับเล็กน้อยล้วนไม่ง่ายดาย
ทว่าชายชราผู้นี้กลับมีท่าทีสูงสง่า หลังตรงอย่างยิ่ง ประหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ รอบตัวมีพลังน่าเกรงขามที่ทำให้คนไม่อาจประมาทหนึ่งกลุ่มกระจายอยู่
“ไยถึงพูดเช่นนี้” ท่านเสนาบดีฉินเลิกคิ้ว ไม่โมโห
ชายชราผู้นั้นก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา เสียงแสบหูมากเป็นพิเศษ “ครั้งใดบ้างที่เจ้าฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์มาหาข้าโดยที่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าอารมณ์ไม่ดี ดูความผิดหวังบนหน้าเจ้าก็รู้แล้ว ราวกับพ่อตาย อ้อไม่ใช่สิ พ่อเจ้าตายไปนานแล้ว คงไม่ใช่ว่าบุตรชายตายหรอกนะ”
ท่านเสนาบดีฉินส่งลูกคนสุดท้องไปแล้ว ฟังคนเอ่ยถึงบุตรชายสองคำนี้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ความโกรธแวบผ่านใบหน้า แม้ว่าจะเร็วอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงถูกชายชราจับได้แล้ว
ชายชราหัวเราะร่าฮ่าๆ “ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์ คงจะไม่ถูกข้าทายถูกจริงๆ หรอกกระมัง บุตรคนไหนของเจ้าตายเล่า ข้าจำได้ว่าบุตรคนโตผู้นั้นของเจ้าปีนี้ก็น่าจะอายุได้ยี่สิบปีแล้ว ตอนเขายังเด็กข้ายังเคยเจอเขา เป็นคนฉลาดเฉียบแหลม คงไม่ใช่ว่าบุตรคนโตผู้นี้ของเจ้าเป็นอะไรไปหรอกนะ ฮ่าๆๆ เช่นนั้นก็ดีจริงๆ! ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์ ข้าเฝ้ารอให้เจ้าไร้ผู้สืบสกุลอยู่” ในดวงตาของชายชรามีรอยยิ้ม ทว่าปากกลับพูดวาจาที่โหดเ**้ยมที่สุด
แต่ท่านเสนาบดีฉินกลับไม่ขยับ “เช่นนั้นก็ขออภัยจริงๆ ต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว บุตรคนโตของข้ายังมีชีวิตอยู่ดี ทั้งยังเป็นคุณชายยอดเยี่ยมที่มีชื่อในเมืองหลวง ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทอย่างมาก แน่นอนว่าบุตรคนอื่นของข้าก็ล้วนมีชีวิตอยู่ดี มีจวนข้าอยู่ พวกเขาย่อมมีอนาคตที่งดงาม กลับเป็นท่าน!”
สายตาของเขาสาดยิงอยู่บนใบหน้าของชายชรา เหยียดหยามอย่างถึงที่สุด “กลับเป็นบุคคลที่เคยเรียกลมฝนได้เช่นท่านตกต่ำจนถูกขังอยู่ในที่แคบๆ เพียงนี้ ราวกับหนูในท่อน้ำ ต่อให้ข้าปล่อยท่านออกไป ยังจะมีคนจำได้อีกหรือว่าท่านเป็นใคร”
“ถุ้ย!” ชายชราแค้นเสียงหนักๆ หนึ่งครา “ข้าดูคนไม่ออกจึงมีจุดจบเช่นนี้ ข้ารู้แล้ว แต่ธรรมะชนะอธรรม คนชั่วช้าเช่นเจ้าไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้ เจ้าปิดบังฝ่าบาทได้ชั่วคราว แต่หางจิ้งจอกของเจ้าไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องโผล่ออกมา ฝ่าบาทไม่อาจปล่อยเจ้าไปแน่”
“เช่นนั้นท่านก็ต้องเปิดตามองให้ชัดๆ ฝ่าบาทหรือ เหอะ เขาสวีเซิ่นเป็นใครกัน เพียงแค่โชคดีมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น ใต้หล้านี้คนที่ควรสมน้ำหน้าก็คือตระกูลสวีมิใช่หรือ” วาจาที่ท่านเสนาบดีฉินพูดออกมาเนรคุณอย่างถึงที่สุด
“อะไรกัน เจ้ายังวางแผนจะยึดอำนาจก่อกบฏอีกหรือ” ในดวงตาชายชรามีความดุดันแวบผ่าน “อ้อ นึกออกแล้ว เจ้ายังมีบุตรสาวคนหนึ่งที่ให้กำเนิดองค์ชายแก่ฝ่าบาท เจ้าต้องการจะประคองหลานชายของเจ้าให้ขึ้นเป็นหุ่นเชิดหรือ ฮ่าๆ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่า ครอบครัวฝั่งภรรยาที่กุมอำนาจล้นฟ้าแต่ละยุคแต่ละสมัยมีจุดจบที่ดีหรือไม่”
ทว่าท่านเสนาบดีฉินกลับยิ้มไม่พูด สายตาที่มองชายชราสงสารประหนึ่งเห็นมด “ท่านวางใจ ในเมื่อข้ารับอำนาจในมือท่านมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยังจำครั้นจุดธูปสาบานได้สามส่วน ข้าจะไม่ฆ่าท่าน ข้าจะปล่อยให้ท่านดูว่าตระกูลฉินของข้าจะไต่ขึ้นยอดผาแห่งอำนาจอย่างไร”
พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดครู่หนึ่ง คล้ายจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ ยังมีอีกเรื่องที่ลืมบอกท่าน กำลังพลหลายพันคนนั้นบนเขาชิงลั่วไม่เหลือแล้ว เฮ้อ ไม่คิดว่าจมูกของฝ่าบาทจะดมกลิ่นได้ว่องไวอย่างยิ่ง ข้าเพียงแค่ออกมือกับตาเฒ่าเสิ่นผิงยวนครั้งเดียวเขาก็สังเกตเห็นร่องรอยได้แล้ว ไม่เหลือแล้วก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่หวังว่าคนไม่กี่พันคนนั้นจะทำสำเร็จได้”
“ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้า!” ดวงตาของชายชราเบิกกว้างฉับพลัน มือเท้าดิ้นพล่าน ดึงโซ่เสียงดังครืดๆ “เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า จะต้องไม่ตายดี”
ท่านเสนาบดีฉินหัวเราะฮ่าๆ ชื่นชมความโกรธของชายชรา กล่าวอย่างไม่สนใจ “ตายดีตายไม่ดีข้าไม่รู้ อย่างไรเสียข้าก็ต้องตายหลังท่าน” พูดจบก็หัวเราะร่าเดินวางก้ามออกไป
เมื่อท่านเสนาบดีฉินออกไป ความโกรธบนใบหน้าชายชราก็หายไปทันที เขามองทิศทางที่แผ่นหลังของท่านเสนาบดีฉินหายไป ในใจก็เสียใจอย่างถึงที่สุด นี่คือลูกสนัขจิ้งจอก ถอดแบบออกมาจากบิดาของเขาสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น เขายังไม่เอาไพ่ลับของเขาออกมาเลย! ศีรษะของชายชราเงยขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฎสีหน้างงงวย
ถูกขังอยู่ในห้องลับที่มืดมิดไร้แสดงอาทิตย์นี้มานานเพียงใดแล้ว แปดปี? สิบปี? หรือว่าสิบห้าปีแล้ว ตัวเขาเองยังจำไม่ได้ หากไม่ใช้ว่าอาศัยความสามารถในการอดทนที่น่าตกใจ เขาก็คงจะตายไปนานแล้ว
ในเมื่อตายไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะพยายามมีชีวิตอยู่ มีชีวิตรอวันที่จะได้ฆ่าศัตรูด้วยมือตนเอง
สวีโย่วผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครผู้นี้ยุ่งสุดขีด เสิ่นเวยเองก็ไม่ได้ว่าง พาเถาฮวาไปทารุณกองทหารเด็กกับเหล่าทหารคุ้มกันจวนหนึ่งรอบ กองทหารเด็กต่างก็ถูกทารุณจนชินแล้ว ยิ่งทารุณก็ยิ่งกล้าหาญ ยิ่งทารุณก็ยิ่งมีกำลังวังชา ไม่กี่วันสั้นๆ ก็พัฒนาจนยอดเยี่ยมแล้ว
ความสามารถในการรับของเหล่าทหารคุ้มกันจวนด้อยกว่ามาก ถูกกองทหารเด็กทารุณก็ไม่เท่าไร อย่างไรเสียนั่นก็เป็นลูกหมาป่าหนึ่งกลุ่ม แต่ถูกจวิ้นจู่เหนียงเหนียงที่หวานหยาดเยิ้มของพวกเขาตีจนไม่มีแรงตอบโต้ หนึ่งคนต่อสู้กับพวกเขาหนึ่งกลุ่มนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ็บใจนัก อยากตายไปเสียเดี๋ยวนี้!
เรื่องที่ทำให้พวกเขาอยากตายยิ่งกว่าก็คือ เด็กผู้หญิงที่มองดูแล้วผอมๆ โง่ๆ ผู้นั้น คาดไม่ถึงว่าใช้มือเดียวก็โยนพวกเขาออกไปได้ทันที หลังจากนั้นก็หิ้วเด็กรับใช้ผู้หนึ่งที่สามารถใช้กลอุบายได้หลายอย่างออกมา ในจวนผิงจวิ้นอ๋องแห่งนี้เป็นคนประเภทใดกันแน่
ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าสีหน้าที่แฝงความนัยนั่นของหัวหน้าโอวหยางคืออะไร ต่างก็บ่นในใจ ให้ตายเถอะ หัวหน้าโอวหยางช่างหลอกลวงจริงๆ จวิ้นจู่ไหนเลยจะเป็นยุทธ์แค่สองสามท่า เป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือต่างหากเล่า! ไม่แปลกใจที่เป็นคุณหนูจากจวนจงอู่โหว มิน่าเล่าท่านจวิ้นอ๋องถึงได้ถูกนางจับไว้ในกำมือได้ ตั้งแต่นี้ไป ต่างก็สงบจิตใจอยู่ในจวนผิงจวิ้นอ๋อง นอบน้อมถ่อมตัว เคารพรอบคอบ
วันนี้เสิ่นเวยกลับจากสนามแสดงวิทยายุทธมาถึงเรือน เพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เห็นเถาจือเข้ามารายงาน “จวิ้นจู่ แม่นมซือประจำกายหวังเฟยมาขอพบเจ้าค่ะ”
แม่นมซือหรือ นางมาทำไม คิ้วของเสิ่นเวยเลิกขึ้น ความคิดแรกที่แวบผ่านมาในสมองก็คือจิ้นหวังเฟยจะเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว
ตั้งแต่ที่ย้ายมาจวนผิงจวิ้นอ๋องก็เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว เสิ่นเวยไม่กลับไปจวนจิ้นอ๋องแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรเสียนางก็พูดชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว วันแรกและวันที่สิบห้าของเดือนจะเคารพหรือไม่ต้องดูอารมณ์ ประจวบเหมาะที่ช่วงนี้นางอารมณ์ไม่เลว จึงไม่ได้ไปหาพระชายาจิ้นอ๋องให้กระทบอารมณ์เล่น
ในเมื่อแม่นมซือมาหาถึงที่แล้ว ไม่พบก็ไม่ค่อยดีนัก เสิ่นเวยจึงกล่าว “เรียกนางเข้ามาเถอะ”