ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบวาบ นี่มันละครฉากไหน เมื่อครู่นางเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง สาวใช้ผู้นั้นตั้งใจคว่ำน้ำชาหกใส่ชุดของฉินอิงอิง หากไม่มีคำสั่งจากนายเบื้องบน สาวใช้ไม่กล้าทำเองโดยพลการอย่างแน่นอน พระชายาจิ้นอ๋องคิดจะทำอะไร หรือว่าฉวยโอกาสให้ฉินอิงอิงได้พบหน้าสวีฉั่งระหว่างที่นางไปเปลี่ยนชุด จำเป็นต้องเล่นใหญ่เพียงนี้เลยหรือ
ขณะที่เสิ่นเวยกำลังคิด ก็ได้ยินพระชายาจิ้นอ๋องเรียกนาง เสิ่นเวยได้สติกลับมาทันที “พระชายามีอะไรหรือเพคะ”
พระชายาจิ้นอ๋องเองก็เห็นว่าเสิ่นเวยใจลอยแล้ว ในก็ไม่ค่อยพอใจนัก แต่คิดแล้วก็ยังคงอดทนไว้ กล่าวด้วยท่าทีอ่อนโยน “ข้าจะถามเจ้าว่าข้อเสนอของข้าคราวก่อนเจ้าลองพิจารณาดูแล้วหรือยัง”
“ขอเสนออะไรเพคะ” เสิ่นเวยงงงัน
“ย่อมเป็นข้อเสนอแต่งอนุให้คุณชายใหญ่อย่างไรเล่า! หากเจ้าไม่ชอบอี๋ฮุ่ย นี่ไม่ใช่ว่ายังมีอี๋จยาหรอกหรือ” เสียงของพระชายาจิ้นอ๋องสูงขึ้นสามส่วนอย่างอดไม่ได้
คราวนี้เสิ่นเวยก็เข้าใจแล้ว อ้อ ที่แท้แล้วพระชายาจิ้นอ๋องก็อ้อมใหญ่เพียงนี้บีบให้ฉินอิงอิงออกไปก็เพื่อพุ่งเป้ามาที่นาง! “คราวก่อนลูกปฏิเสธไปแล้วมิใช่หรือ กลับไปข้าก็ถามท่านจวิ้นอ๋องของเราแล้ว เขาไม่เห็นด้วยกันการแต่งอนุภรรยาอะไร” เสิ่นเวยกล่าวอย่างเรียบง่าย
คิ้วของพระชายาจิ้นอ๋องขมวดมุ่น กล่าวตำหนิ “เหลวไหล แต่งภรรยาเป็นเรื่องของสตรีผู้เป็นนาย บุรุษเช่นเขาจะเข้าใจอะไร เสิ่นซื่อ ไม่ใช่ข้าว่าเจ้า เป็นสตรีต้องมีคุณธรรมเมตตา เจ้าไม่อาจตั้งครรภ์ ยังไม่อนุญาตให้คนอื่นมาผลิดอกออกผลให้คุณชายใหญ่อีกหรือ”
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะออกมาหนึ่งครา นางแต่งงานกับสวีโย่วยังไม่ถึงสามเดือนเลย พระชายาจิ้นอ๋องดูจากไหนว่านางตั้งครรภ์ไม่ได้ หูซื่อสะใภ้สุดรักผู้นั้นของนางก็แต่งเข้ามาปีกว่าจึงจะตั้งท้องได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดพอถึงตานางสมองของพระชายาจิ้นอ๋องถึงได้ผิดปกติแล้วเล่า ก่อนหน้านี้ยังพูดจามีเหตุผลกับฉินอิงอิงอย่างยิ่งอยู่เลยมิใช่หรือ น่าหงุดหงิดนัก!
“อันที่จริง ตัวข้าจวิ้นจู่ไม่อาจเทียบกับพระชายาได้ อย่างปีนั้น พระชายาท่านแต่งเข้ามาในจวนจิ้นอ๋องไม่ถึงสิบเดือนก็คลอดองค์ชายรองท่านซื่อจื่อแล้ว แต่ว่า ข้าเคยได้ยินการคลอดก่อนกำหนดเจ็ดเดือน แต่ยังไม่เคยได้ยินจริงๆ ว่ามีการคลอดก่อนกำหนดห้าหกเดือน อีกทั้งองค์ชายรองยังมีสุขภาพแข็งแรงมากเป็นพิเศษ น่าแปลกจริงๆ” เสิ่นเวยอ้าปากก็กล่าวเสียดสี เกือบจะพูดว่าสวีเยี่ยเป็นบุตรที่เกิดจากชู้แล้ว
สีหน้าคนทั้งหมดภายในห้องต่างก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทีตกใจ พระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งหน้าซีดเผือด ทั่วทั้งร่างสั่นระริก แววตามีความเดือดดาลที่ดุร้ายยิงออกมา อยากจะฉีกเสิ่นเวยออกเสียตอนนี้ “เสิ่นซื่อ เจ้ามันคนอกตัญญูเนรคุณ”
ซ่งอี๋จยาที่อยู่ใกล้นางที่สุดเข้ามาพยุงพระชายาจิ้นอ๋องทันที “ท่านอาท่านอย่าบันดาลโทสะ สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ” จากนั้นจึงหันหน้ากล่าวกับเสิ่นเวย “พี่สะใภ้ใหญ่ ดูสิท่านทำท่านอาโกรธแล้ว”
หูซื่อหลังจากที่ตกตะลึงแววตาหางคิ้วก็เต็มไปด้วยความยินดีบนความทุกข์ผู้อื่น “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ใช่ข้าที่เป็นน้องสะใภ้จะว่าท่าน แต่ท่านพูดเช่นนี้กับเสด็จแม่ได้อย่างไร หากเสด็จแม่โมโหจนเป็นอะไรไป ก็จะเป็นอุปสรรคกับชื่อเสียงของท่านด้วย!”
มีเพียงฮูหยินซื่อจื่อที่ถือผ้าเช็ดหน้าไม่เอ่ยปาก แต่สายตาที่มองเสิ่นเวยมีความไม่พอใจแฝงอยู่ พี่สะใภ้ใหญ่มีปากเสียงกับแม่สามี ทว่ากลับเอาสามีนางเป็นข้ออ้าง อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่สุดจะทนเพียงนั้น นี่จะให้นางดีใจได้อย่างไร
ทว่ามุมปากของเสิ่นเวยกลับยกสูง ไม่ใส่ใจคำว่ากล่าวของพวกนางอย่างสิ้นเชิง สายตากวาดมองซ่งอี๋จยากับหูซื่อด้วยความเฉยเมย “ลุกผู้น้องตระกูลซ่ง นี่เรื่องในตระกูลจวนอ๋อง มีที่ให้แขกเช่นเจ้าพูดด้วยหรือ เข้ามาเป็นอนุภรรยาให้คุณชายใหญ่ของพวกเราเช่นนี้ ใช่เจ้าแต่งไม่ออกหรือไม่ ฝ่าบาทอนุญาตแล้วหรือ จวนราชนิกุลอนุญาตแล้วหรือ”
เห็นสีหน้าอับอายแทบตายของซ่งอี๋จยา เสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “หากข้ามีความสุข สามีของข้าก็คือท่านจวิ้นอ๋อง หากข้าไม่มีความสุข สามีของข้าก็เป็นเพียงอี๋ปิน รู้หรือไม่ว่าอี๋ปินหมายถึงอะไร บอกให้ก็ได้ ก็แค่ข้าทาสของจวิ้นจู่ก็เท่านั้นเอง” เสิ่นเวยอธิบายอย่างอารมณ์ดี ได้ยินเสียงสูดหายใจในห้องสำเร็จ
ทุกคนรู้สึกเพียงเสิ่นเวยกล้ามากเกินไปแล้ว อี๋ปิน นางกล้าพูดว่าบุตรคนโตของจวนจิ้นอ๋อง ผิงจวิ้นอ๋องผู้ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยตัวพระองค์เองว่าเป็นอี๋ปินได้อย่างไร ไม่ว่าจะอย่างไรคุณชายใหญ่ก็เป็นคนในราชนิกุล สูงศักดิ์ไม่เท่าจวิ้นจู่ไร้ประโยชน์ที่นอกคอกผู้นี้หรอก
เสิ่นเวยมองหูซื่ออีกครั้ง “น้องสะใภ้สามลืมบทเรียนก่อนหน้านี้แล้วหรือ ครรภ์นี้ของเจ้าปลอดภัยแล้วหรือ จุๆ หากข้าเป็นเจ้า คงจะหาที่นอนพักอย่างสงบไปนานแล้ว วิ่งเต้นไปมาเช่นนี้ เจ้านี่ไม่รู้จักจำเสียเลย!” ประโยคสุดท้ายที่แฝงคำขู่ทำให้เส้นเลือดบนใบหน้าหูซื่อหายเรียบ
พระชายาจิ้นอ๋องเห็นเสิ่นเวยเหมเกริมยิ่งขึ้น ก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ตบพนักเก้าอี้อย่างแรง ตะโกนเสียงแหลม “เสิ่นซื่อ เจ้ายังมีมารยาทอยู่หรือไม่ ผู้ใหญ่ให้อย่าปฏิเสธ วันนี้ข้าต้องเป็นผู้ตัดสิน อี๋จยายาโถ่วจะต้องเป็นอนุภรรยาของคุณชายใหญ่ให้ได้ อีกประเดี๋ยวเจ้าก็เอานางกลับไปด้วย อีกสองวันก็เลือกฤกษ์จัดการเรื่องนี้เสีย”
บนใบหน้าซ่งอี๋จยามีความดีใจแวบผ่าน ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
เสิ่นเวยไม่โมโหเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่มองหน้าพระชายาจิ้นอ๋อง กล่าวอย่างตั้งใจ “ให้อภัยที่ข้ามิบังอาจทำตาม” ยังมีหน้ามายัดเยียดให้คุณชายใหญ่อีก นางคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าหรือไร
“เจ้า เจ้าอกตัญญู!” มือที่จับพนักเก้าอี้ของพระชายาจิ้นอ๋องมีเส้นเลือดดำปูดนูน ดูท่าแล้วคงจะโมโหสุดขีด
เสิ่นเวยยังคงมีท่าทางสบายๆ “อกตัญญูหรือ แม่เลี้ยงเช่นท่านวันๆ เอาแต่ยัดเยียดคนให้เรือนหลังของลูกเลี้ยง ข้ายังไม่บอกว่าท่านไร้เมตตาเลย ข้าว่านะพระชายาชีวิตของท่านใช่ว่างเกินไปหรือไม่ ว่าที่ลูกสะใภ้คนเล็กที่มาเป็นแขกท่านก็ยังไม่ลืมที่จะคิดวางแผนกับข้า”
ชายตามองซ่งอี๋จยาที่ตกใจจนแทบจะยืนไม่อยู่ปราดหนึ่ง “ไม่ใช่ว่ากันไว้หรือว่า เลือกภรรยาเลือกความดีเลือกอนุเลือกความงาม พระชายาหน้าตาหลานสาวผู้นี้ของท่านแม้แต่ตัวข้าจวิ้นจู่ยังเทียบไม่ได้ ท่านยังหวังดียัดเยียดให้คุณชายใหญ่ของพวกเรา คิดว่าจวนผิงจวิ้นอ๋องของพวกเราเป็นถังขยะหรือ”
จวิ้นพระชายารู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด ร่างหงายไปข้างหลัง ล้มลงบนเก้าอี้
“ท่านอา!”
“เสด็จแม่!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกัน แม้แต่หูซื่อยังพยุงท้องล้อมเข้ามา มีเพียงเสิ่นเวยที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้จิบชาอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่าทางสบายอารมณ์ ประหนึ่งพระชายาจิ้นอ๋องไม่ได้ถูกนางยั่วโมโห
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านพูดให้น้อยลงบ้างเถิด” อู๋ซื่ออดพูดกับเสิ่นเวยไม่ได้ “ยืนบื้อทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเชิญหมอมาอีก”
ในตอนนี้เอง พระชายาจิ้นอ๋องบนเก้าอี้ก็ฟื้นขึ้นแล้ว โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง กล่าว “ไม่ต้อง!” จากนั้นจึงยื่นมือไปผลักซ่งอี๋จยาที่ขวางหน้านางอยู่ มองเสิ่นเวยนิ่งๆ กล่าวหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ “เจ้าจะยั่วโมโหข้าให้ตายหรือไร”
เสิ่นเวยสบสายตากับนาง ไม่อ่อนข้อแม้แต่นิดเดียว “มิบังอาจ! ขอเพียงแค่พระชายาไม่สร้างความลำบากใจให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน ไม่คิดจะยัดเยียดคนไว้ข้างกายคุณชายใหญ่เช่นนี้ ตัวข้าจวิ้นจู่ย่อมหวังให้พระชายามีชีวิตไปอีกพันปีหมื่นปี ส่วนคุณชายรองที่ท่านคลอดก่อนกำหนดห้าหกเดือน ก็เพราะท่านคอลดคุณชายรองก่อนที่จะเข้ามาในจวนอ๋องก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
“พูดเช่นนี้ อนุคนนี้เจ้าจะไม่เอาใช่หรือไม่” พระชายาจิ้นอ๋องโมโหอย่างถึงที่สุดแต่กลับสงบนิ่ง สายตาเย็นเยียบ เสียงเย็นยะเยือก ประหนึ่งเกร็ดน้ำแข็ง
“ไม่เอา” เสิ่นเวยไม่อ้อมค้อมอย่างสิ้นเชิง เบนสายตาออกไป มุมปากปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย “ในเมื่อพระชายาทุกข์ใจที่พึ่งพิงของหลานสาวฝั่งมารดาเพียงนี้ เช่นนั้นตัวข้าจวิ้นจู่ก็จะช่วงแบ่งเบาภาระพระชายา หาที่ที่เหมาะสมให้นางแทน เถาฮวา พาคุณหนูอี๋จยาผู้นี้ไป”
เถาฮวากระโดดขึ้นมาข้างหน้าทันที การเคลื่อนไหวเร็วอย่างยิ่ง เสียงร้องตกใจของซ่งอี๋จยาเพิ่งจะออกจากปากก็ถูกเถาฮวาคว้าเสื้อไว้แล้ว กำไว้ในมือราวกับกำลูกไก่ ขอความดีความชอบจากเสิ่นเวยด้วยความดีใจ “คุณหนู พวกเราจะไปไหน” หลังจากครั้งนั้นที่เสิ่นเวยพูดเอาไว้ เถาฮวาก็เปลี่ยนกลับมาใช้คำเรียกเดิม นางยังคงรู้สึกว่าเรียกคุณหนูดีกว่า จวิ้นจู่จะต้องเรียกเหมือนคนอื่น ส่วนข้างกายเสิ่นเวย คนที่ยังเรียกนางว่าคุณหนูก็มีเพียงเถาฮวาคนเดียว
คนทั้งหมดก็ถูกสถานการณ์กะทันหันนี้ทำให้มึนงง ได้สติกลับมา เสียงของพระชายาจิ้นอ๋องก็แทบจะทำห้องถล่มลงมาได้ “เสิ่นซื่อเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าจะพาอี๋จยาไปไหน”
เสิ่นเวยหยุดฝีเท้า หันกลับมาช้าๆ กะพริบตาอย่างทะเล้น เผยรอยยิ้มที่หยาดเยิ้มออกมา “ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่า หาที่พึ่งพิงที่ดีให้นาง! ตัวข้าจวิ้นจู่จะพานางไปดูที่เรือนของเสด็จพ่อสักหน่อย” ในเมื่อจิ้นพระชายาจะยัดเยียดคนให้สวีโย่ว เช่นนั้นไม่สู้ยัดเยียดคนให้จิ้นอ๋องเสีย
พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นก็แทบจะเป็นลม ฝืนจิกฝ่ามือตนเองไม่ให้ตนหมดสติ “เร็ว รีบขวางพวกนางไว้!” รอยยิ้มนั้นของเสิ่นเวยในสายตาของพระชายาจิ้นอ๋องน่ากลัวยิ่งกว่าผีร้ายร้อยเท่า
เวรกรรม! จวนจิ้นอ๋องแต่งสะใภ้ที่ไม่มีขื่อไม่มีแปเช่นนี้เข้ามาได้อย่างไร หากรู้ก่อนว่าเสิ่นซื่อมีนิสัยเช่นนี้ นางคงจะเล่นลูกไม้อื่น ให้คนชั่วผู้นั้นแต่งภรรยาแต่เนิ่นๆ ก็ได้แล้ว สามคนนั้นที่หมั้นหมายก่อนหน้านี้ ไม่ว่าคนไหนก็ดีกว่าคนร้ายกาจผู้นี้หมื่นเท่า!
พระชายาจิ้นอ๋องเสียใจภายหลังยิ่งนัก!