วันหยุดประจำสัปดาห์ สวีโย่วไม่เกาะแกะอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับตื่นแต่เช้าตรู่ ทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็เดินออกไปข้างนอกอย่างมีชีวิตชีวา เดินไปสองก้าวก็หันหน้ากลับมา มองเสิ่นเวยที่ขดตัวไม่เป็นรูปไม่เป็นร่างอย่างยิ่งอยู่บนเก้าอี้ไผ่ลาย มุมปากก็ยกขึ้น “จำไว้นะ คืนนี้ต้องชดเชยสองเท่า”
เสิ่นเวยโบกมืออย่างขบขำ “รู้แล้ว รู้แล้ว ไปเถอะ รีบไป” อยากจะตามไปดูคุณชายใหญ่มาดห้าวหาญเหลือเกิน! คิดๆ ดูแล้วก็อย่าราดน้ำมันบนกองไฟเลยดีกว่า
“ท่านจวิ้นอ๋อง ท่านมาแล้ว! ท่านอ๋องพระชายาและท่านซื่อจื่อต่างก็รออยู่” คนที่มาต้อนรับสวีโย่วด้วยตัวเองคือพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียน เขาโค้งตัวแย้มยิ้ม ท่าทางเคารพ
สวีโย่วพยักหน้าเล็กน้อย เดินมือไพล่หลังเข้าไปในเรือนของพระชายาจิ้นอ๋อง เมื่อคืนสั่งคนมาส่งข่าว ว่าวันนี้เขาจะกลับจวนทำหน้าที่ลูกกตัญญู มาเคารพพ่อเขา และถือโอกาสกระชับความสัมพันธ์กับน้องชายทั้งหลาย
“ท่านจวิ้นอ๋อง พวกนางไม่ต้องตามมาก็ได้กระมัง” พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนชี้สตรีวัยแรกแย้มสองกลุ่มที่ตามมาข้างหลัง ถามกลับอย่างดื้อรั้น
หนังตาของสวีโย่วไม่เหลือบขึ้นแม้แต่น้อย เสมือนว่าไม่ได้ยิน เจียงไป๋ยิ้มแย้มดึงพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนออกมาข้างๆ “ข้าจะบอกให้นะพ่อบ้านใหญ่ จิตใจของท่านเป็นกังวลเกินไปแล้วหรือกระมัง เหล่านี้ล้วนแต่เป็น ‘จิตใจกตัญญู’ ของนายท่านพวกเรา จะไม่ตามไปได้อย่างไร” เขาเพยิดคางชี้สตรีเหล่านั้นเล็กน้อย กล่าวอย่างแฝงความนัย “พวกเราต่างก็เป็นบ่าวรับใช้ ต้องรู้จักลำดับความสำคัญปฏิบัติตามกฎระเบียบ รู้ว่าเรื่องใดถามได้ เรื่องใดถามไม่ได้ ใช่หรือไม่ พ่อบ้านใหญ่” เขาใช้ศอกกระทุ้งพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเล็กน้อย ท่าทางสนิทสนม
พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนที่ถูกเจียงไป๋ลากออกมาแทบจะร้องไห้แล้ว ดูแนวรบนี้ของผิงจวิ้นอ๋องไหนเลยจะเป็นการมาเคารพอย่างเรียบง่าย ในใจเขาพะว้าพะวง แต่เมื่อสบสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเจียงไป๋ เขาอ้าปากแล้ว ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจ คำพูดขัดขวางก็ไม่กล้าพูดอีกต่อไป
บ่าวสองคนนี้ข้างกายผิงจวิ้นอ๋องคือหายนะ อย่ามองว่าเจียงไป๋ยิ้มแย้มอารมณ์ดีทั้งวัน แต่พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนกลับรู้ว่าเขาพลิกหน้าแล้วไร้ความปราณี คราวก่อนนายท่านใหญ่ตระกูลซ่งมาที่จวน บ่าวรับใช้คนหนึ่งข้างกายเขาไม่เคารพผิงจวิ้นอ๋องเล็กน้อย ก็ถูกเจียงไป๋ถีบกระดูกซี่โครงหักไปสามท่อนโยนออกจากประตูใหญ่ ท่านอ๋องโมโหแทบตาย ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ลงโทษเขามิใช่หรือ
“เสด็จพ่อ ไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่!” สวีโย่วกล่าวด้วยสีหน้าเมินเฉย หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้สวีเยี่ยและคนอื่นๆ
เดิมจิ้นอ๋องเห็นบุตรคนโตก็ยังดีใจหลายส่วน โดยเฉพาะลูกคนนี้ยังมาเคารพเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจบุตรคนโต แต่อย่างไรเสียบุตรคนโตก็มีความสามารถ นี่ทำให้ในใจเขาเองก็รู้สึกมีเกียรติ
ใครจะรู้พอบุตรคนโตเอ่ยปากก็ทักว่าไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่ อะไรคือไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่ ลูกอกตัญญูคนนี้ย้ายออกไปไม่กี่วันก็ทักเขาว่าไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่แล้วหรือ เขาย่อมไม่เจ็บป่วย สบายดีอย่างยิ่ง ทุกวันกินอิ่มนอนหลับ กำลังวังชายอดเยี่ยม
สวีโย่วไม่สนว่าในใจจิ้นอ๋องจะคิดเช่นไร สะบัดชุดคลุมนั่งลงบนเก้าอี้ มองพระชายาจิ้นอ๋อง กล่าวทักทาย พระชายาเองก็ไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่” ดูจากสีหน้าก็ยังไม่เลว ดูท่าแล้วจิตใจของเขาจะอ่อนไปเล็กน้อย! เขาไม่ควรส่งซ่งอี๋จยากับซ่งอี๋ฮุ่ยเข้าไปในเรือนของสวีเยี่ยกับสวีเหยียน แต่ควรจะโยนไปบนเตียงของเสด็จพ่อเขาแทน
“พูดจาอะไรกัน” จิ้นอ๋องสีหน้าเคร่งขรึม ตำหนิหนึ่งประโยคอย่างไม่พอใจ
ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับห้ามเขา “คุณชายใหญ่อุส่ามา มีอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ” จากนั้นก็ยิ้มกับสวีโย่ว “สบายดี ข้ากับเสด็จพ่อเจ้าสบายดียิ่งนัก จริงสิ เหตุใดภรรยาเจ้าถึงไม่กลับมาด้วยกันเล่า” ท่าทางเป็นห่วงอย่างมาก
สวีโย่วชายตามองนางปราดหนึ่ง ตอบไม่ตรงคำถาม “จริงสิ ฟังว่าลูกผู้น้องสองคนฝั่งมารดาพระชายาก็อยู่ เหตุใดจึงไม่เห็นเล่า”
เมื่อได้ยินสวีโย่วเอ่ยถึงซ่งอี๋จยากับซ่งอี๋ฮุ่ย สีหน้าคนหลายคนต่างก็ไม่ดีนัก เมื่อไม่กี่วันก่อนเรื่องวุ่นวายใจปีนขึ้นเตียงเรื่องนั้นไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่สวีเยี่ยกับสวีเหยียนแตะต้องตัวซ่งอี๋ฮุ่ยกับซ่งอี๋จยาแล้วกลับเป็นเรื่องจริง แม้ว่าพวกนางสองคนจะเป็นบุตรสาวอนุภรรยา แต่ก็ยังเป็นลูกผู้น้องของสวีเยี่ยกับสวีเหยียน ก็ต้องรับผิดชอบมิใช่หรือ ต่อให้อู๋ซื่อกับหูซื่อจะไม่ยินยอม ในเรือนของพวกนางต่างก็ต้องมีอนุภรรยาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน รอแค่เพียงเลือกฤกษ์ยกน้ำชา
มีเพียงสวีฉั่งที่กล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา “พี่ใหญ่ยังไม่รู้ใช่หรือไม่ อีกไม่ช้าลูกผู้น้องสองคนก็จะกลายเป็นคนในเรือนของพี่รองพี่สามแล้ว” เหตุใดเรื่องดีเช่นนี้จึงไม่ถึงตาเขาบ้าง โดยเฉพาะลูกผู้น้องอี๋จยา เรือนร่างนั่นมองปราดเดียวกระดูกในร่างกายก็อ่อนไปกว่าครึ่งแล้ว พี่สามโชคดียิ่งนัก!
สวีโย่วพยักหน้า “อืม นี่เป็นเรื่องดี! แต่ไหนแต่ไรพระชายาก็ยกย่องชมเชยบุคลิกนิสัยของลูกผู้น้องสองคน มีพวกนางสองคนปรนนิบัติข้างกายน้องรองน้องสาม พระชายาก็สามารถวางใจได้ไม่น้อย น้องสะใภ้สองคนก็ลดภาระลงได้ไม่น้อย กลับไม่ทำให้ความพยายามของข้าเสียแรงเปล่า” สวีโย่วยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่านี่คือฝีมือของเขา
“อะไรนะ พี่ใหญ่ ฝีมือท่านหรือ” สวีฉั่งที่สะกดอารมณ์ไม่อยู่กระโดดขึ้นมาทันที ตอนที่เกิดเรื่องแม้ว่าเขาจะไม่อยู่ในจวน แต่ภายหลังก็ได้ยินบ่าวในเรือนพูดถึง ที่แท้แล้วลูกผู้น้องสองคนไปปรากฎตัวอยู่บนเตียงของพี่รองพี่สามก็เป็นฝีมือของพี่ใหญ่นี่เอง! ช่าง ช่างลำเอียงเกินไปจริงๆ พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่ส่งให้ข้าสักคนบ้าง สายตาที่สวีฉั่งมองพี่ใหญ่เขามีความไม่พอใจปรากฎเด่นชัด
นอกจากสวีฉั่งคนโง่ผู้นี้แล้ว หลายคนที่เหลือก็หน้าเปลี่ยนสี
จิ้นอ๋องตบโต๊ะก่นด่า “เจ้าลูกอกตัญญูแท้จริงแล้วเจ้าทำอะไรกันแน่ เจ้าใช่ต้องยั่วโมโหข้าให้ตายจึงจะพอใจหรือไม่”
พระชายาจิ้นอ๋องกุมหน้าร้องไห้ “คุณชายใหญ่ทำเพื่ออะไรกัน น้องชายเจ้าไปก่อเรื่องให้เจ้าหรือ”
ริมฝีปากของสวีเหยียนเม้มแน่น ส่วนสวีเยี่ยก็มีสายตาซับซ้อนผิดปกติ “พี่ใหญ่ เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้!” แม้พวกเขาจะไม่สนิท แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นพี่น้องกัน!
ทว่าสวีโย่วกลับไขว่ห้างดื่มชาราวกับไม่ใช่คนบงการ เขาเกลี่ยฟองใบชาเบาๆ จิบช้าๆ หนึ่งอึก ขยับริมฝีปากเล็กน้อยแล้วจึงกล่าว “ทำเพื่ออะไรงั้นหรือ พระชายาไม่ใช่รู้ดีแก่ใจหรือ ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าลูกผู้น้องสองคนต่างก็เป็นผู้ที่เหมาะสม วางแผนเป็นร้อยเป็นพันคิดจะยัดเยียดพวกนางให้ข้ามิใช่หรือ ข้าสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ในด้านสตรีก็ต้องรอบคอบหน่อย เพื่อไม่ทำให้พระชายาผิดหวัง ข้าจึงคิดวิธีนี้ไม่ใช่หรือ น้องรองน้องสามก็เหมือนข้ามิใช่หรือ หรือจะบอกว่าพระชายาคิดแต่จะเตรียมให้ข้าล่วงหน้าจนลืมน้องรองกับน้องสามไปงั้นหรือ ให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ พระชายาจะทำอะไรต้องมีความยุติธรรม”
จากนั้นจึงมองสวีเยี่ยอย่างเฉยเมย “น้องรองว่าอย่างไรนะ เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้หรือ ที่พระตำหนักจินหลวนพี่ใหญ่ก็พูดชัดเจนอย่างยิ่งแล้วมิใช่หรือ พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าเป็นคนใจแคบ เมื่อครู่พระชายายังถามว่าเหตุใดนางถึงไม่มาด้วยกัน ป่วยแล้ว ตั้งแต่กลับจากจวนอ๋องไปก็ป่วย แน่นหน้าอก ดื่มยาอยู่หลายวันก็ยังไม่ดีขึ้น หากข้าไม่ช่วยนางระบายอารมณ์สักหน่อยหากนางอัดอั้นจนเป็นอะไรไป พี่ใหญ่พวกเจ้าคงจะกลายเป็นพ่อหม้าย พวกเราต่างก็เป็นพี่น้อง พวกเจ้าคงไม่อาจทนเห็นข้าโดดเดี่ยวเดียวดายได้กระมัง” สีหน้าของสวีโย่วจริงจังยิ่งนัก
“พระชายาก็บอกแล้ว บุรุษในสังคมนี้คนใดบ้างที่ไม่มีสามสี่ภรรยา เห็นได้ว่าพระชายาเห็นด้วยกับเรื่องนี้ หลายปีมานี้ข้าเองก็ไม่ได้ส่งของขวัญอะไรให้พวกท่าน ลูกผู้น้องสองคนก็ถือเป็นของขวัญใหญ่ที่พี่มอบให้พวกเจ้า รับไว้ดีๆ พี่ใหญ่พวกเจ้าสุขภาพไม่ดี ซ้ำยังกลัวภรรยา แต่งอนุแต่งอี๋เหนียงต่างๆ ถือว่าอย่าเลย หลังจากนี้พระชายาก็ไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องข้าแล้ว”
“เจ้าลูกอกตัญญูพูดอะไรของเจ้า เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไสหัวไปให้ไกล ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก” จิ้นอ๋องออกแรงขว้างแก้วลงพื้น โมโหเลือดขึ้นหน้า ชี้สวีโย่วก่นด่าใหญ่ “เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่ามาแสดงความกตัญญูต่อข้า ข้าว่าจิตใจกตัญญูของเจ้าคงเอาไปให้หมากินแล้วกระมัง”
“อย่าร้อนใจไปเสด็จพ่อ จิตใจกตัญญูของลูกไม่ใช่อยู่ตรงนั้นหรอกหรือ” สวีโย่วตบมือ “เข้ามาให้หมด”
ตามเสียงตบมือของสวีโย่ว นอกประตูก็มีสตรีวัยแรกแย้มสิบคนเดินเข้ามาเป็นสองแถวด้วยความชดช้อยอ่อนหวาน โน้มตัวเคารพอย่างพร้อมเพรียง คารวะท่านอ๋องพระชายาผิงจวิ้นอ๋องและคุณชายทั้งหลายเจ้าค่ะ”
“นี่ นี่ พวกนางเป็นใครกัน เจ้าจะเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว พาออกไป รีบพาออกไปเดี๋ยวนี้” ท่านจิ้นอ๋องตกใจจนปากอ้าตาค้าง ครู่ใหญ่กว่าจะหาเสียงของตัวเองกลับมาได้
ส่วนสวีเยี่ยสวีเหยียนสวีฉั่งก็จับต้นชนปลายไม่ถูก มีเพียงพระชายาจิ้นอ๋องที่คล้ายคิดอะไรอยู่ ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีปรากฏขึ้นมา
“นี่ก็คือจิตใจกตัญญูของลูกอย่างไรเล่า!” สวีโย่วเชิดคางอย่างไร้เดียงสา “ลูกคิดว่าข้างกายเด็จพ่อไม่มีคนใหม่มานานแล้ว ในเรือนน้องรองน้องสามก็ไม่มีหญิงงามอะไร จึงขอหญิงงามสิบคนจากฝ่าบาท สี่คนในนั้นมอบให้เสด็จพ่อ น้องรองน้องสามแบ่งกันคนละสามคน บวกกับลูกผู้น้องก็เป็น ‘สี่’ ทุกเรื่องสมดังใจหวัง! ขอเสด็จพ่อกับน้องรองน้องสามจงรับไว้เถิด”
จิ้นอ๋องโมโหจนหน้าเขียวจัด ไม่รอให้เขาบันดาลโทสะ สวีฉั่งก็ชิงไม่พอใจก่อนแล้ว “พี่ใหญ่ แล้วข้าเล่า แล้วข้าเล่า ท่านลืมน้องไปแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดท่านถึงเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้ หญิงงามสิบคนให้ข้าสักคนเถิด” สวีฉั่งมองหญิงงามทั้งหมดตรงหน้า ดวงตาตะลึงงัน ให้ตายเถอะ พี่ใหญ่ไปเสาะหาของดีมาจากไหน แต่ละคนงดงามยอดเยี่ยมจริงๆ แทบไม่ต่างจากหญิงงามแถวหน้าในหอเสพสำราญเลย
“ฉั่งเอ๋อร์เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้” พระชายาจิ้นอ๋องตะคอกใส่สวีฉั่งด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ทั้งอัดอั้นทั้งโมโห สายตาที่ดุร้ายจ้องมองสวีโย่ว ราวกับว่าจะกินเขาแล้ว
“ไป เจ้าไสหัวไป ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” จิ้นอ๋องเตะโต๊ะคว่ำ เห็นได้ว่าโกรธอย่างรุนแรง สวีเยี่ยสวีเหยียนเข้าไปห้าม “เสด็จพ่อท่านโปรดระงับโทสะ พี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจ”
ทว่าสวีโย่วกลับทำราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง เลิกชุดคลุมลุกขึ้นยืน กล่าวกับสวีฉั่งด้วยความอ่อนโยน “น้องสี่เจ้ายังไม่แต่งงาน ตอนนี้ยังไม่ควรแต่งอนุภรรยา นี่ไม่เหมาะสมกับกฎของวงศ์ตระกูล เอาเช่นนี้แล้วกัน หากเจ้าชอบจริงๆ รอเจ้าแต่งงานแล้วพี่ใหญ่จะส่งให้เจ้าหลายคน”
“จริงหรือ สวยเช่นนี้หมดเลยหรือ” สวีฉั่งแสยะปากยิ้มดีใจ
สวีโย่วยิ้มพยักหน้า “สวยกว่านี้ก็มี”
“ได้ๆๆ เช่นนั้นน้องขอบคุณพี่ใหญ่ไว้ก่อนเลย” สวีฉ่างประสานมือคารวะสวีโย่วอย่างเอาจริงเอาจัง จิตใจเบิกบาน
สวีโย่วยิ้ม จากนั้นจึงหันกลับ กล่าว “เสด็จพ่อท่านรักษาร่างกายเถิด ลูกจะไปเดี๋ยวนี้” สะบัดชุดคลุม เดินออกไปอย่างคล่องแคล่ว เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อจริงสิ หญิงงามสิบคนนี้ล้วนแต่เป็นนางกำนัลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ พระชายาทั้งมีความสามารถทั้งใจกว้างเมตตา ต้องลำบากท่านแบ่งให้เสด็จพ่อและน้องรองน้องสามแล้ว”
พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นเบื้องหน้าก็ดำมืด คนข้างกายลนลานตะโกนเสียงดังพร้อมกัน “เสด็จแม่ เสด็จแม่ท่านเป็นอะไรไป” “พระชายาท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” “รีบไปเชิญหมอมา”
เสียงที่ว้าวุ่นดังเข้าไปในหูของสวีโย่ว เขากระตุกมุมปาก ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม พระชายา ค่อยๆ เตรียมรับเถิด! อืม ในที่สุดก็ช่วยเวยเวยระบายความโกรธได้แล้ว
เหตุใดพระชายาจิ้นอ๋องถึงโกรธจนเป็นลมได้เล่า สวีโย่วส่งหญิงงามมาสิบคนนางไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง ตกอยู่ในมือนางแล้วก็ปล่อยให้นางจัดการได้มิใช่หรือ สตรีวัยแรกแย้มที่อ่อนช้อยเช่นนี้ ต่อให้เอาออกไปขายก็ยังสามารถขายได้เงินไม่น้อย แต่สวีโย่วดันเอานางกำนัลที่ฝ่าบาทพระราชทานมา นางกำนัลที่ฝ่าบาทพระราชทานอย่าว่าแต่ขายไม่ได้ ยังต้องดูแลให้ดี มิเช่นนั้นจะเป็นการไม่เคารพต่อฝ่าบาท จะต้องถูกลงโทษ เจ้าว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะไม่เป็นลมได้หรือ ไม่กระอักเลือดออกมาก็ดีเท่าไรแล้ว