ในศาลบรรพบุรุษเล็กที่มืดทึบมุมนึงในจวนจิ้นอ๋อง ยายหรูเบิกดวงตาทั้งคู่ที่ขุ่นมั่วถือธูปหนึ่งดอกกำลังปักลงไปในกระถางธูป ท่ามกลางหมอกควันที่ลอยวนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นของนางคล้ายเห็นคล้ายไม่เห็น จุดธูปเสด็จแล้วนางก็ถอยไปหลายก้าวคุกเข่าบนเบาะกลมกราบไว้อย่างตั้งใจจริง เมื่อลุกขึ้นยืนบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคารพศรัทธา
สายตาที่มองแท่นบูชาของนางอ่อนโยนเช่นนั้น ราวกับว่านั่นคือลูกของนาง “คุณหนู ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว ท่านน่ะเป็นคนที่กลัวร้อนเป็นที่สุด ทุกปีเมื่อถึงเวลานี้ท่านก็จะวางอ่างน้ำแข็งหลายใบไว้ในห้อง ไม่ว่าบ่าวจะพูดอย่างไรท่านก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้บ่าวเองก็วางให้ท่านสี่ใบ ท่านไม่ต้องกลัวร้อนแล้ว” สายตาของนางตกลงบนอ่างน้ำแข็งที่วางอยู่ตรงมุม
“คุณหนู คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ต่างก็ย้ายออกจากจวนอ๋องแล้ว ฝ่าบาทพระราชทางสวนชิงหยวนหลังนั้นให้คุณชายใหญ่ใช้เป็นจวนจวิ้นอ๋อง ฟังว่าข้างในงดงามยิ่งนัก! คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ต่างก็เป็นเด็กที่จิตใจดี ยังคิดจะรับบ่าวเขาไปใช้ชีวิตช่วงบั้นปลาย บ่าวไม่ได้รับปาก บ่าวแก่แล้ว อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูท่านยังอยู่ที่นี่ หากบ่าวไปแล้วใครจะอยู่คุยเป็นเพื่อนคุณหนูเล่า! บ่าวไม่ไป บ่าวจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูไปชั่วชีวิต” สีหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ ใบหน้าที่เ**่ยวย่นใบนั้นก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา
“บ่าวเห็นแล้วว่า คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ล้วนไม่ใช่คนที่จะถูกเอาเปรียบได้ โดยเฉพาะฮูหยินใหญ่ ปฏิบัติต่อคุณชายใหญ่ดียิ่งนัก! ท่านอยู่ข้างล่างก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เพียงแต่จิตใจของคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ยังแข็งไม่พอ!” ยายหรูทอดถอนใจหนึ่งครา “เช่นนี้ก็ดี ยังมีบ่าวอยู่ มือของบ่าวเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดนานแล้ว ไม่ถือสาจะเพิ่มอีกหน่อย คุณหนูท่านทิ้งบ่าวไปตั้งแต่วัยที่กำลังรุ่งโรจน์ คนที่เคยทำผิดต่อท่านเหล่านั้น ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมีจุดจบที่ดี ท่านคอยดู เบิกตาดูให้กว้างเถิด!” ยายหรูออกแรงลุกขึ้นยืนเช็ดแท่นบูชาในมือช้าๆ การกระทำอ่อนโยน ราวกับว่าดูแลเด็กทารก
แม้ว่าฮ่องเต้ยงเซวียนจะมีพระราชโองการให้สืบคดีของแม่ทัพอัน แต่เมื่อดำเนินการแล้วกลับยุ่งยากลำบาก แม้ตอนนั้นจะมีหลักฐานก็ถูกทำลายไปนานแล้ว เบาะแสคดีที่เก็บไว้ต่างก็เป็นหลักฐานปลอมแปลงที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อแม่ทัพอัน คิดจะสืบหาเงื่อนงำจากเบาะแสคดีที่ถูกทำเป็นคดีซึ่งโต้แย้งไม่ได้ไหนเลยจะง่ายดาย ด้วยเหตุนี้กรมอาญา ศาลต้าหลี่ กรมพระคลังและสำนักตรวจตราจึงปวดหัวอย่างถึงที่สุด
โดยเฉพาะเลขาธิการกรมพระคลัง สืบคดีเดิมก็ไม่ความเกี่ยวข้องกับกรมพระคลังของเขาอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นเงินกองทัพจำนวนนั้นดึงออกไปจากกรมพระคลัง ตอนนี้ฝ่าบาทจึงสั่งให้กรมพระคลังตรวจสอบพร้อมกัน แต่ตอนนั้นเงินกองทัพส่วนนั้นถูกดึงออกไปอย่างซื่อสัตย์ อีกทั้งยังเป็นเขาที่ลงชื่อด้วยตัวเอง ส่วนจะถึงมือกองทัพตอนเหนือหรือไม่เขาไม่ทราบ อย่างไรเสียกรมพระคลังก็ได้รับหลักฐานยืนยันการรับเงินแล้ว ในนี้เป็นฝีมือของใครเขาจะรู้ได้อย่างไร
ขณะที่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ใต้เท้าราชครูเสิ่นผิงยวนก็วางระเบิดลูกใหญ่ในราชสำนักอีกครั้ง ประกาศว่าพบบุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันที่รอดหายนะแล้ว
หลังจากที่ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงประหลาดใจแล้วก็ยังคงเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด เขารู้ว่าเสิ่นผิงยวนกับอันอี้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันหลายส่วน ตอนนั้นหลังจากอันอี้กลัวความผิดฆ่าตัวตายขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็กลัวเป็นต้นเหตุให้เขาโมโหจึงไม่กล้าเอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว และมีเพียงเสิ่นผิงยวนที่กล้าทวงความยุติธรรม บอกเขาว่าแม่ทัพอันไม่ใช่คนแบบนั้น
หลังออกว่าราชการเสร็จเสิ่นผิงยวนก็ถูกฮ่องเต้ยงเซวียนสั่งให้อยู่ต่อ ไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้ยงเซวียนเอ่ยปากถาม เสิ่นผิงยวนก็เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังเอง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมสั่งคนไปค้นหาครอบครัวของแม่ทัพอันแล้ว บอกว่าเสียชีวิตทั้งตระกูล บุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันนามว่าอันจยาเหอ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่หลานสาวกระหม่อมบังเอิญช่วยไว้เมื่อหลานเดือนก่อน เพิ่งจะรู้ฐานะของเขาเมื่อสองวันมานี้”
มองสีหน้าฮ่องเต้ยงเซวียนแล้วจึงกล่าว “ตอนที่ช่วยเหลืออันจยาเหอผู้นั้นบาดเจ็บทั่วร่าง บอกว่าหนี…หนีออกมาจากหอนายโลม หลานสาวผู้นั้นของกระหม่อมเห็นเขาน่าสงสาร จึงพาเขากลับมาด้วย คิดว่าอย่างไรเสียเขาเองก็เป็นปัญญาชน รอรักษาบาดแผลหายแล้วค่อยหางานทำ คิดเสียว่าสร้างสมบุญกุศล”
“อะไรนะ” ดวงเนตรของฮ่องเต้ยงเซวียนหดเล็กอย่างรวดเร็ว “หนีออกมาจากสถานที่นั้นจริงหรือ” แม้แต่จะพูดคำสองคำนั้นออกมาเขายังรู้สึกรังเกียจ
ในเมื่อเป็นบุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอัน อายุนั้นย่อมไม่มาก สี่ปีก่อนก็ยิ่งเด็ก เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเดินทางพันลี้เข้าเมืองหลวงทวงคืนความยุติธรรมแทนบิดา แต่กลับตกอยู่ในสถานที่โสมมเช่นนั้น เป็นความบังเอิญหรือว่าตั้งใจ แล้วจุดประสงค์คืออะไร ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ทำให้เขาปวดใจอย่างถึงที่สุด คุณชายของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ลดตัวลงเป็นนายโลม เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เขากุมอำนาจ กระทั่งเกิดขึ้นใต้สายตาของเขา เขาไม่เพียงแต่ปวดใจซ้ำยังเดือดดาลอย่างถึงที่สุด
“จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ กระหม่อมมิบังอาจหลอกลวงฝ่าบาท ตามที่คุณชายน้อยอันผู้นั้นบอกก็เพื่อทวงความยุติธรรมให้บิดาเขาจึงพยายามมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้” เสิ่นผิงจวนหลุบตาลง ในใจก็ทอดถอนใจอย่างถึงที่สุด
“ดี ดี ดี!” พระหัตถ์ที่ยกขึ้นของฮ่องเต้ยงเซวียนหยุดค้างกลางอากาศ ดวงตามีประกายมืดสลัวแวบผ่าน สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งคราแล้วกล่าว “จยาฮุ่ยจวิ้นจู่กลับมีจิตใจดี ในเมื่ออันจยาเหอเป็นนางที่ช่วยไว้ ราชครูก็จัดการตามที่เหมาะสมเถิด เห็นแก่ชื่อแม่ทัพอัน เราจะสั่งให้ชดเชยอีก”
“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ” เสิ่นผิงยวนย่อมพอใจอย่างถึงที่สุด
“พวกโง่ บุตรคนสุดท้องของอันอี้ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ไม่ใช่บอกหรือว่าตายไปหมดแล้ว ตระกูลอันที่โผล่ออกมาผู้นี้เป็นใครอีก” ท่านเสนาบดีฉินโมโหเดือดดาล “ไป ไปถามฟังจ้งว่าทำงานประสาอะไร”
“ท่านเสนาบดีโปรดระงับโทสะ ใต้เท้าฟังสะพร่าชั่วขณะก็เป็นได้ เพียงแค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง จะสร้างคลื่นลูกใหญ่อะไรได้ หลายปีมานี้ใต้เท้าฟังก็จงรักภัคดีมาโดยตลอด ท่านเสนาบดีว่าใช่หรือไม่” นายทหารผู้ช่วยเริ่นหงซูกล่าวโน้มน้าว
ท่านเสนาบดีฉินแค่นเสียงหึหนึ่งครา เก็บสีหน้าเดือดดาลบนใบหน้า กล่าว “เขื่อนยาวนับพันลี้ ทลายเพราะรังมด นับแต่อดีตจนถึงวันนี้ยอดฝีมือคว่ำเรือในหนองน้ำไปมากเพียงใดแล้ว เรื่องนี้ประมาทเพียงนิดเดียวไม่อาจฟื้นคืนตลอดไป พวกเราจำเป็นต้องรอบคอบ!” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ความภัคดีของฟังจ้งข้าเชื่อมั่น แต่เรื่องของอันจยาเหอไม่สืบให้ชัดเจนข้าก็ไม่อาจวางใจได้ เจ้าไปถามที่จวนเขาเถอะ”
“ขอรับ ท่านเสนาบดี ผู้น้อยจะไปเดี๋ยวนี้” เริ่นหงซูประสานมือคารวะกล่าว “ท่านเสนาบดีเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนัก หลักฐานทั้งหมดต่างก็ทำลายหมดแล้ว ไม่ว่าฝ่าบาทจะสืบอย่างไรก็สืบมาไม่ถึงพวกเรา แต่องค์ชายรองเล่า” เขามองไปทางท่านเสนาบดี ในดวงตาแฝงความสงสัย
ท่านเสนาบดีโบกมือ “องค์ชายรองยิ่งไม่อาจเป็นอะไรได้ เรื่องนี้มาถึงข้าก็พอแล้ว” แม้จะบอกว่าเงินกองทัพจำนวนนั้นกับเงินที่ได้จากการลักลอบขายม้าส่วนใหญ่เข้าจวนองค์ชายรอง แต่คนที่ลงมือทำเรื่องนี้เป็นเขา ต่อให้จะเกิดเรื่องจริงๆ ก็มีเขาเป็นหนังหน้าไฟ องค์ชายรองไม่อาจเกิดเรื่องได้ ขอเพียงแค่องค์ชายรองไม่เป็นไร เช่นนั้นตระกูลฉินก็จะไม่เป็นไร
“แต่ก็ไม่อาจสะเพร่าได้ ใครจะรู้ว่าพวกเขาทำลายหลักฐานทั้งหมดแล้วจริงๆ หากแอบเก็บไว้สักชิ้นสองชิ้นก็เพียงพอให้เรื่องร้ายแรงแล้ว” กลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้หลักแหลมแล้ว ใครจะไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตนเอง “สั่งพวกเขาว่าหากในมือยังมีหลักฐานอะไร ให้รีบทำลายเสีย ปิดปากให้สนิท ระมัดระวังตัว” ท่านเสนาบดีฉินกำชับด้วยความไม่สบายใจ
“ขอรับ ผู้น้อยรับคำสั่ง!” เริ่นหงซูถอยออกไปแล้ว
ท่านเสนาบดีฉินอยู่ในห้องหนังสือเพียงผู้เดียว เขาเปิดภาพผืนนั้นบนฝาผนัง กดลงบนบริเวณที่นูนขึ้นมาบนผนังเบาๆ ก็เห็นผนังฝั่งซ้ายแยกออกเป็นช่องหนึ่งสาย ค่อยๆ ปรากฎให้เห็นประตูเล็กหนึ่งบานผ่านได้เพียงคนเดียว ท่านเสนาบดีฉินตะแคงตัวเดินเข้าไป หลังจากนั้นประตูบานนั้นก็ปิดลงอีกครั้ง
นี่คือห้องลับอีกหนึ่งแห่ง ห้องไม่ใหญ่ ทว่าเครื่องเรือนกลับหรูหราอย่างยิ่ง บนโต๊ะตรงกลางวางแท่นบูชาหนึ่งแท่น สลักว่าแท่นบูชาของฉินเฮ่อบิดาผู้ล่วงลับ
ท่านเสนาบดีฉินกราบไหว้แท่นบูชาด้วยความเคารพ “ท่านพ่อ ลูกมารบกวนความสงบของท่านอีกแล้ว คดีของอันอี้ถูกสืบใหม่อีกครั้ง ฝ่าบาทคล้ายสังเกตได้แล้ว ช่วงนี้เขาเริ่มส่งคนไปสืบเรื่องเก่าในอดีตเงียบๆ แต่ว่าท่านวางใจ ลูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ว่าเขาจะสืบหาอย่างไร อย่างมากก็สืบหาได้แค่เพียงอ๋องเคียงบ่า ไม่มีทางสืบมาถึงลูกแน่นอน”
เขาหัวเราะเบาๆ บนใบหน้ามีความพอใจหลายส่วน “ลูกเชื่อฟังท่านพ่อ อดทนมาโดยตลอด เด็กคนนั้นดีอย่างยิ่ง บุ๋นบู๊ล้วนชำนาญการ ความคิดฝีมือไม่เป็นสองรองใคร ลูกว่าเขาเลื่อมใสในความมองการณ์ไกลของท่านพ่อจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ท่านจากไปเร็วนัก หากท่านยังอยู่ก็คงจะดียิ่งนัก!
ท่านเสนาบดีฉินพูดกับแท่นบูชาอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน ผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงออกมาจากห้องลับอย่างรวดเร็ว