ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 259-2 เสิ่นเวยตัวฉกาจ

ฮ่องเต้ยงเซวียนยังไม่พิโรธ ใต้เท้าอาวุโสหนวดยาวผู้นั้นเมื่อครู่ก็ระเบิดก่อนแล้ว “คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้หนึ่งจะกล้าวิจารณ์การบริหารงานของราชสำนักตามใจปาก ท่านเป็นแม่ไก่ที่ขันยามเช้า”

เสิ่นเวยชายตามองเขาอย่างเหยียดหยันปราดหนึ่ง กล่าวอย่างดูถูก “ท่านคิดว่าแม่ไก่ยอมขันยามเช้า ไม่ใช่เพราะว่าพ่อไก่ตายหมดแล้วหรอกหรือ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจเดียวเล่า ซ่องสุมก็ซ่องสุม รวมกลุ่มก็รวมกลุ่ม ลืมไปแล้วว่าหน้าที่หลักของตัวเองก็คือการขันยามเช้า พ่อไก่เช่นนี้ไม่ฆ่ามากินเนื้อแล้วจะเก็บมันไว้ฉลองปีใหม่หรือ ฝ่าบาท ท่านเห็นด้วยหรือไม่!” เสิ่นเวยกล่าวถามฮ่องเต้ยงเซวียนด้วยความฉะฉาน

ปากร้ายจริงๆ! ขุนนางอาวุโสผู้นั้นโมโหจนสั่นไปทั่วร่าง ประหนึ่งเสิ่นเวยขุดสุสานบรรพบุรุษตระกูลเขา สายตาของขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่มองเขาก็เห็นใจยิ่งนัก เฮ้อ ใต้เท้าจางผู้นี้ก็จริงๆ เลย รู้อยู่แล้วว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่รับมือยาก เข้าไปทะเลาะกับนางทำไม ต่อให้เถียงชนะแล้วอย่างไร ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังเถียงไม่ชนะ ขายหน้าจะตายชัก!

ฮ่องเต้ยงเซวียนเองก็หน้าดำคร่ำเครียด “เอาล่ะๆๆ เจ้ากลับจวนไปก่อน กลับไปแล้วเราจะปล่อยผิงจวิ้นอ๋องออกมา” ไม่ปล่อยออกมาได้หรือ คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้ไม่กลัวกฎหมายไม่อายฟ้าดิน ปล่อยให้นางถกเถียงโวยวายต่อไปตอนนี้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของเขาจะต้องถูกนางยั่วโมโหจนตายไปหลายคนแน่นอน

ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ยอมอ่อนข้อ “ไยจะต้องรอด้วยเล่า ตอนนี้ฝ่าบาทก็ปล่อยเลยสิเพคะ หากฝ่าบาทยุ่งก็เขียนพระราชโองการหนึ่งฉบับ หลานสะใภ้จะไปรับบคุณชายใหญ่ออกมาเอง ยิ่งล่าช้าคุณชายใหญ่ก็ยิ่งทรมานมากขึ้นมิใช่หรือ” คิดจะหลอกนาง ไม่มีทาง!

ฮ่องเต้ยงเซวียนเสียใจอยู่ก่อนแล้ว หากรู้ว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะมีนิสัยกล้าหาญเจาะฟ้าเป็นรูพรุนเช่นนี้ เขาเองก็จะไม่ลงโทษสวีโย่วไปที่ศาลราชวงศ์ ตอนนี้เขาเข้าใจสายตาที่สวีโย่วมองเขาตอนที่หันหลังกลับแล้ว ที่แท้แล้วเขาก็รู้ว่าภรรยาของเขาจะต้องมาหาถึงที่ใช่หรือไม่

เขานับว่าถูกสวีโย่วเด็กแสบผู้นั้นขุดหลุมพรางแล้วใช่หรือไม่

ฮ่องเต้ยงเซวียนเสียใจแทบตาย รีบเขียนคำสั่งด้วยวาจาหนึ่งฉบับโยนให้เสิ่นเวย “เอาไป เอาไป!”

เสิ่นเวยรับคำสั่งมาแล้วก็หันหลังกลับเดินออกไปข้างนอก เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง มองขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนในท้องพระโรง หัวเราะหึๆ “คุณชายใหญ่ของข้าร่างกายอ่อนแอ ภายหลังหากใครกล้าคิดร้ายต่อเขาในท้องพระโรง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา”

หากเป็นเพียงคำพูดข่มขู่ก็ไม่เป็นไร แต่คาดไม่ถึงว่านาง คาดไม่ถึงว่านางยกเท้าถีบประตูห้องหนังสือส่วนพระองค์จนเป็นรู “ฝ่าบาท ขออภัยเพคะ หลานสะใภ้รับคุณชายใหญ่ออกมาแล้วจะมาซ่อมประตูให้ท่าน!”

ฮ่องเต้ยงเซวียนเพียงแค่โบกมือ บอกเป็นนัยให้นางรีบไป แม้แต่ความคิดอยากจะพูดก็ไม่มีแล้ว

สายตาของคนทั้งหมดต่างก็จ้องมองรูใหญ่รูนั้นนิ่งๆ ร่างสั่นเทาเล็กน้อย หากเท้าข้างนั้นเตะลงบนร่างคงจะเจ็บยิ่งนัก! จยาฮุ่ยจวิ้นจู่คือสตรีปากร้ายที่ไม่กลัวสิ่งใด หลังจากนี้ใครจะกล้ายุแหย่นางอีก!

เสิ่นเวยไปยังศาลราชวงศ์ด้วยความกระฉับกระเฉงไร้กังวล แม้แต่พูดยังไม่ต้องพูดเยอะ มีคนพานางไปยังที่ที่ขังสวีโย่วไว้ก่อนแล้ว

เสิ่นเวยกวาดตามอง คุณชายใหญ่ของนางกำลังดื่มชาอยู่ในห้องขัง ท่าทางเช่นนั้นไหนเลยจะถูกขัง ชัดเจนว่าเสมือนมาเป็นแขก เสิ่นเวยดีใจ กวักมือให้สวีโย่ว “ไง คุณชายใหญ่ ข้ามารับท่านแล้ว”

สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยก็ยิ้มแล้ว วางแก้วชาลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน กล่าว “ข้ากะไว้แล้วว่าเจ้าควรมาได้แล้ว ไปกันเถอะ”

ไม่รอให้คนมาเปิดประตูคุก เถาฮวาก็ยิ้มแย้มเดินไปข้างหน้า สองมือออกแรง แหกประตูคุกจนเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง สวีโย่วเดินออกมาทันที เขามองเสิ่นเวยที่อยู่ในชุดฐานันดรจวิ้นจู่เต็มยศ เอ่ยชมหนึ่งประโยค “สวยจริงๆ!”

เสิ่นเวยแสยะปาก สวยก็สวย แต่ทั้งหนักทั้งร้อนยิ่งนัก “เจียงเฮยเจียงไป๋ ยังไม่รีบพยุงนายท่านพวกเจ้าอีก ไอหยา ดูสิสีหน้าขาวซีด ต้องลำบากมากแน่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าสิบวันครึ่งเดือนจะพักฟื้นให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ จ้าวกงกงก็อย่าลืมรายงานต่อฝ่าบาท ข้าพาคุณชายใหญ่กลับไปพักฟื้นก่อน กองปัญจทิศรักษานครกลุ่มนั้นจะทำอะไรก็ทำ” เสิ่นเวยปรายตามองขันทีจ้าวที่เข้ามาพร้อมกัน กล่าวอย่างแปลกประหลาด

คนของศาลราชวงศ์ต่างก็ตะลึงงันในความสามารถที่ไม่ยอมรับผิดแต่เล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้ของเสิ่นเวย ตั้งแต่ที่นายท่านผู้นี้เข้ามาในศาลราชวงศ์ ก็มีชาดีปรนนิบัติ ไม่กล้าแตะแม้แต่ปลายเล็บเดียว เหตุใดพอจยาฮุ่ยจวิ้นจู่พูดถึงกลายเป็นได้รับความลำบากเสียแล้วเล่า

ขันทีจ้าวกลับไปรายงาน คนทั้งหมดต่างก็สับสน เด็กผู้หญิงที่ติดตามอยู่ข้างกายสามารถแหกประตูคุกได้ง่ายดาย หรือว่าเมื่อครู่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ถือว่าลงมือด้วยความปราณีแล้ว

เสิ่นเวยใจแข็งจะปลดภาระ บีบบังคับให้สวีโย่วพักฟื้นอยู่ในจวน อย่าว่าแต่กองปัญจทิศรักษานคร แม้แต่จะออกจากประตูจวนสักก้าวก็ไม่ได้

ตอนที่ใช้ประโยชน์ได้ก็อ่อนโยนมีไมตรี ใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้วก็ส่งไปศาลราชวงศ์ ซ้ำยังไม่เสียเงินสักแดงเดียว ใครจะยอมเป็นขุนนางจนๆ เช่นนั้นเล่า!

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ ฮ่องเต้ยงเซวียนส่งคนวิ่งมาสิบกว่ารอบแล้ว เฉลี่ยแล้วสองสามวันมาที่บ้านหนึ่งครั้ง แม้แต่หน้าสวีโย่วยังไม่ได้เห็น ทั้งหมดถูกเสิ่นเวยไล่กลับไปอย่างไม่อ่อนข้อแต่ก็ไม่แข็งกร้าว เหตุผลตามสูตร ‘คุณชายใหญ่ของข้าโรคเก่ากำเริบ กำลังพักฟื้นอยู่’ ฮ่องเต้เองก็ไม่สามารถใช้งานคนป่วยได้ ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธเดือดดาล แต่กลับไม่มีหนทางแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียก็ไม่อาจตัดหัวสองคนนี้ได้มิใช่หรือ

สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฮ่องเต้ยงเซวียนคิดอย่างไร ในที่สุดก็ปล่อยตัวสวีเช่อไท่จื่อองค์ก่อนออกมาแล้ว สวีเช่อเข้ามาน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นบุตรคนโตผอมเห็นกระดูก ในใจก็รู้สึกไม่ดีนัก เอ่ยวาจาทำนองหัวอกคนเป็นพ่อด้วยความอ่อนโยนมีไมตรีอย่างยิ่ง ทำให้สวีเช่อซาบซึ้งจนแทบจะน้ำตาไหล ส่วนในใจจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้

ตำหนักบูรพาอยู่ไม่ได้แล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนจึงให้บุตรคนโตกลับไปอยู่ที่จวนองค์ชายนอกวังของเขา วางแผนว่าผ่านไปสักพักหนึ่งเลือกฤกษ์งามยามดีพระราชทานบรรดาศักดิ์อ๋องให้บุตรคนโต และถือโอกาสปูนบำเหน็จให้องค์ชายที่ที่บรรลุนิติภาวะหลายคนนอกเหนือจากไท่จื่อผู้ถูกถอดยศด้วย

วันที่สองที่สวีเช่อไท่จื่อองค์ก่อนถูกปล่อยออกมา สวีโย่วก็หายป่วยดีแล้ว ยื่นสาส์นน้อมสำนักในพระมหากรุณาธคุณก่อน จากนั้นจึงพาเสิ่นเวยไปเยี่ยมท่านพี่ไท่จื่อของเขาที่จวนองค์ชาย ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนโมโหจนแทบจะโยนสาส์นออกไปนอกท้องพระโรง

ขุนนางทั่วราชสำนักไม่ได้ตาบอด ไหนเลยจะยังไม่เข้าใจอีกว่าหมากครั้งนี้ผิงจวิ้นอ๋องเป็นผู้ชนะ แต่ก็เป็นไปได้ว่าฝ่าบาทร่วมมือกับผิงจวิ้นอ๋องเล่นละครตบตา จุดประสงค์ก็คือหาเหตุผลปล่อยองค์ชายใหญ่ออกมา

ผู้ตรวจการโจวเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ เร็วอย่างยิ่งก็สืบค้นคดีลักลอบขายม้าได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ซูหันผู้ปกครองสูงสุดของเมืองชายแดนตอนเหนือก็ถูกเปิดโปง เขาดูแลงานราชการของเมืองชายแดน ฉวยโอกาสตอนที่แม่ทัพอันมัวแต่รับมือกับชนเผ่าหมานอี๋ ย่อมมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะวางแผนชั่วลับหลัง

หากบอกว่าซูหันเพียงคนเดียวสามารถทำสำเร็จได้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ทุกคนต่างก็ทำงานอยู่ในราชสำนัก จิตใจสัตย์ซื่อ เมื่อซูหันถูกสืบออกมา สายตาของคนทั้งหมดก็หันไปยังใต้เท้าฟังจ้งกรมกลาโหม

เหตุใดน่ะหรือ ซูหันเป็นใครกัน มีความสัมพันธ์อันใดกับฟังจ้ง เขาเป็นน้องเขยของฟังจ้ง สี่ปีก่อนฟังจ้งยังรับตำแหน่งอยู่ภายใต้บัญชาแม่ทัพอันอยู่เลย เป็นเขนขวาแขนซ้ายที่มีความสามารถของเขา หลังแม่ทัพอันตายไปได้ไม่นาน เขาก็เลื่อนขั้นมาอยู่ในกรมกลาโหมในเมืองหลวง หากจะบอกว่าในนั้นไม่มีลับลมคมนัย ใครจะเชื่อ!

ทุกคนรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ แต่ซูหันรับโทษทั้งหมดไว้แล้ว อีกทั้งทุกคนยังรู้ว่าฟังจ้งได้เลื่อนตำแหน่งเข้ามาในเมืองหลวงเป็นฝีมือของท่านเสนาบดีฉิน ใครก็ไม่อาจไม่ดูตาม้าตาเรือไปผิดใจท่านเสนาบดีฉินได้! ผิดใจท่านเสนาบดีฉินแล้วก็เท่ากับผิดใจองค์ชายรองด้วยมิใช่หรือ แม้จะบอกว่าองค์ชายใหญ่เองก็ถูกปล่อยตัวแล้ว แต่ทิศทางลมในราชสำนักก็แรงที่สุด ผู้ที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญที่สุดยังคงเป็นองค์ชายรองอยู่! ไท่จื่อ อย่างไรเสียก็อ่อนแอเกินไป ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ได้ครองบัลลังก์จะเป็นใคร

ซูหันรวมถึงครอบครัวถูกคุมตัวเข้าเมืองหลวงและถูกจับเข้าคุกหลวงทันที ฟังจ้งทั้งกังวลทั้งหวาดกลัว เข้าคุกหลวงแตกต่างจากคุกใหญ่ทั่วไป วิธีการไต่สวนที่นั่นโผล่ออกมาไม่ขาดสาย ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์แข็งแรงมุ่งมั่นก็สามารถงัดปากของเจ้าได้ หากน้องเขยซูหันสารภาพอะไรออกไป เช่นนั้นตระกูลฟังก็ต้องจบเห่แล้ว

อีกด้านหนึ่งก็เป็นห่วงน้องสาวของเขา น้องเขยซูหันตายก็ไม่สำคัญ แต่ยังมีน้องสาวรวมถึงหลานชายหลานสาวของเขาอยู่

อับจนหนทาง ฟังจ้งทำได้เพียงไปขอความช่วยเหลือจากท่านเสนาบดีฉินถึงที่ ทว่าท่านเสนาบดีฉินกลับยกมุมปากพูดหนึ่งประโยค “เจ้าคิดหาวิธีให้ซูหันปิดปากให้สนิทดีกว่า ตระกูลซูเสียสละเข้าไปหมดแล้ว หรือว่าจะต้องสังเวยตระกูลฟังอีกหรือ”

สีหน้าฟังจ้งแข็งทื่อ เปลี่ยนเป็นคลุมเครืออย่างถึงที่สุด ใช่แล้ว เขามาร้องของท่านเสนาบดีฉินจะมีประโยชน์อันใด แม้จะบอกว่าเรื่องที่เขากับซูหันทำจะเป็นคำบัญชาของท่านเสนาบดีฉิน แต่ก็เป็นเพียงคำพูดปากเปล่า แม้แต่หลักฐานยังไม่เหลือทิ้งไว้ เขามีสิทธิ์อะไรไปร้องขอท่านเสนาบดีฉินให้ช่วยคน คนที่ส่งจดหมายไปมากับซูหันคือตน! หากซูหันพูดอะไรในคุกหลวง คนที่ได้รับผลกระทบไปด้วยก็มีเพียงตน ไม่เกี่ยวข้องกับท่านเสนาบดีฉินแม้แต่นิดเดียว

หลังฟังจ้งจากไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อแล้ว นายทหารผู้ช่วยเริ่นหงซูก็เอ่ยปากกล่าว “ท่านเสนาบดี เช่นนั้นใช่จะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่”

ท่านเสนาบดีฉินมองเขาปราดหนึ่ง กล่าวอย่างแฝงความนัย “ซูหันเป็นผู้ที่ต้องตาย ต่อให้ทุ่มเทแรงไปก็ไร้ประโยชน์ สามารถปกป้องฟังจ้งคนหนึ่งไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว หวังว่าฟังจ้งผู้นี้จะเป็นคนฉลาด มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา”

เริ่นหงซูคิดครู่หนึ่ง รู้สึกเช่นกันว่าคำพูดของท่านเสนาบดีฉินมีเหตุผล จึงไม่ได้พูดอะไรอีก

เพียงแค่สองวันซูหันก็ฆ่าตัวตายในคุกหลวง ก่อนตายเขียนจดหมายยอมรับผิด อธิบายโทษทั้งหมดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง รับไว้เองทั้งหมด

ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธใหญ่ ประหารชายบรรลุนิภาวะที่มีสายเลือดตระกูลซูโดยตรงทั้งหมด ญาติผู้หญิงส่งออกไปขาย ไม่ก็ส่งเข้ากรมดนตรี

ส่วนอันจยาเหอ ฮ่องเต้ยงเซวียนปูนบำเหน็จให้เขาเป็นปั๋วเจวี๋ย ส่งเสริมให้เขาเรียนหนังสือพัฒนาตน สืบทอดตระกูลแทนตระกูลอัน

เสิ่นเวยเองก็โมโหอย่างยิ่ง อาจารย์ซูของนางเคยวิเคราะห์ให้นางฟังแล้ว ซูหันเป็นเพียงม้ารับใช้ที่ถูกโยนออกมา แม้ฟังจ้งผู้นั้นจะหนีไม่พ้นความเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครสำคัญอะไร เงินกองทัพหลายแสนตำลึง บวกกับเงินหลายแสนตำลังที่ลักลอบค้าของ เงินกว่าล้านตำลึงเชียว สองคนนี้ไม่มีความกล้าหาญเพียงนั้น และยังไม่มีความสามารถมากเพียงนั้น เบื้องหลังเรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นท่านเสนาบดีฉิน หรือไม่ก็องค์ชายรองผู้นั้นมากกว่า

เสิ่นเวยหวังว่าท่านเสนาบดีฉินจะโชคร้าย แต่ท้ายที่สุดกลับตายเพียงแค่ซูหันคนเดียว แม้แต่ฟังจ้งยังมีชีวิตอยู่ดี ท่านเสนาดีฉินก็ยิ่งไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น เสิ่นเวยจะไม่โมโหได้อย่างไร

เมื่อเสิ่นเวยไม่มีความสุข ก็มีคนต้องเจอหายนะแล้ว ด้วยเหตุนี้นางกลอกตาไปมา เรียกเสี่ยวตี๋เข้ามา ตัดสินใจว่าจะต้องสั่งสอนท่านเสนาบดีฉินสักหน่อยแล้ว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset