สวีโย่วพาเสิ่นเวยไปยังศาลบรรพบุรุษที่มุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเสนาบดีฉิน เพิ่งจะเลือกตำแหน่งอำพรางลงยืนได้ ก็เห็นว่ามีนักท่องราตรีผู้หนึ่งลอยเข้ามา “ไง เจ้ามาแล้ว! เอ๋ พาผู้ช่วยมาด้วย” ท่าทางเหมือนพบคนรู้จัก คนผู้นี้ก็คือคนโง่ผู้นั้นที่เสิ่นเวยบังเอิญเจอคราวก่อน
เสิ่นเวยจ้องมองเขาปราดหนึ่ง ไม่ได้สนใจเขา กลับเป็นสวีโย่วที่มองเขาอยู่สักพัก
คนผู้นั้นเห็นคนทั้งสองไม่สนใจเขา ก็ยักไหล่ไม่ได้ใส่ใจ แต่กล่าวเสียงต่ำแทน “ผู้เฒ่าหลังค่อมผู้นั้นที่เฝ้าศาลบรรพบุรุษวิทยายุทธ์สูงเป็นพิเศษ ข้ามาหลายครั้งแล้ว ไม่มีวิธีจัดการเขาแม้แต่นิดเดียว”
เสิ่นเวยเหลือบมองเขาอีกปราดหนึ่ง กล่าวในใจ นางก็ว่าเหตุใดถึงบังเอิญเจออีกแล้ว ที่แท้แล้วหมอนี่ก็มาบ่อยนี่เอง! คิดถึงคำพูดของคนผู้นี้ เสิ่นเวยก็ดึงแขนเสื้อของสวีโย่ว
สวีโย่วพยักหน้าให้เสิ่นเวย ไม่เห็นว่าเขาทำอะไรเลย ก็เห็นเงาร่างที่เหมือนผีสองเงาในที่มืดแวบออกไป ตรงไปที่ศาลบรรพบุรุษ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงต่อสู้ หลังจากนั้นก็เห็นเงาร่างหลังค่อมเงาหนึ่งไล่เงาสองสายก่อนหน้านี้พลางสู้พลางวิ่งออกไปไกล
แววตานักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นปรากฏความชื่นชม ชูนิ้วโป้งให้สวีโย่วกับเสิ่นเวย “สหายฝีมือดี” ในใจแอบเสียใจที่เหตุใดเขาจึงไม่รู้จักใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำนี้เล่า แต่จะว่าไปลูกน้องของเขาก็พามาเพียงน้องเล็กหนึ่งกลุ่มใหญ่เท่านั้น
เสิ่นเวยกับสวีโย่วเมินเขาอย่างใจตรงกัน “ไป เข้าไปดู” สวีโย่วจับมือของเสิ่นเวยแล้วกล่าวเสียงเบา ภรรยาของเขาพร่ำบ่นถึงศาลบรรพบุรุษนานแล้ว หากวันนี้ไม่พานางเข้าไปดูสักหน่อย นางคงจะนอนหลับไม่สนิท
สวีโย่วโอบเอวของเสิ่นเวย เข้าไปในศาลบรรพบุรุษอย่างเงียบๆ ดวงตานักท่องราตรีผู้นั้นกะพริบวาบตามเข้าไปเช่นกัน เสิ่นเวยหันกลับมามองเขาปราดหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไร ใครจะรู้ข้างในศาลบรรพบุรุษจะมีอะไร เพิ่มขึ้นมาอีกคนก็แบ่งเบาความเสี่ยงได้มิใช่หรือ หากคนผู้นี้มีเจตนาไม่ดี สองต่อหนึ่งพวกเขาก็ยังมีสิทธิ์ชนะมากกว่า โดยเฉพาะนางเพิ่งเห็นการเตรียมการของสวีโย่ว เขาสามารถพาทหารลับสองคนเข้ามาได้ เช่นนั้นก็สามารถพาทหารลับมากกว่านี้มาได้ด้วยเช่นกัน
คนทั้งสามแวบร่างเข้าไปในศาลบรรพบุรุษ ในศาลบรรพบุรุษจุดเพียงไฟสลัวไว้หนึ่งดวง ธูปในกระถางธูปเพิ่งจะเผาไปเพียงครึ่งชุ่น ดูท่าแล้วผู้เฒ่าหลังค่อมผู้นั้นเพิ่งจะปักมันลงในกระถางธูป
เสิ่นเวยมองแท่นบูชาที่วางอยู่ข้างบนปราดหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเสาะหาในศาลบรรพบุรุษ ลูบคลำบนผนัง เหยียบย่ำบนพื้น นางกำลังหากลไกห้องลับอยู่ หาอยู่พักหนึ่งไม่ได้เงื่อนงำ เสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้พาอันจยาเหอมาด้วย หากอันจยาเหออยู่ น่าจะดูบริเวณผิดปกติในศาลบรรพบุรุษแห่งนี้ออกได้
ในขณะที่เสิ่นเวยกำลังหงุดหงิด ก็เห็นเพียงนักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นเดินเข้าไปหลายก้าว คลำหาในหมู่แท่นบูชาจำนวนมากแล้วกดลง ได้ยินเพียงเสียง ‘ผึ่ง’ เสียงหนึ่ง บนพื้นข้างเท้าของเสิ่นเวยก็ปรากฏปากอุโมงค์หนึ่งออกมา เสิ่นเวยตกใจจนกระโดดไปอยู่ข้างๆ ทันที
คนผู้นั้นหัวเราะหึๆ “ขออภัย” แต่ในน้ำเสียงความจริงใจในการขอโทษกลับไม่มีแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นเวยถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งอย่างแรง สวีโย่วก็จ้องมองเขาอย่างเย็นยะเยือกและหวาดระแวง คนผู้นั้นเห็นท่าทีก็รีบกล่าวอธิบาย “ข้านั่งเฝ้าที่นี่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว จึงจับทางจุดนี้ได้แล้ว” ในน้ำเสียงภูมิใจอย่างถึงที่สุด
ด้วยเหตุนี้สวีโย่วกับเสิ่นเวยจึงลดความสงสัยไปได้ครึ่งหนึ่ง ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบวาบเล็กน้อยชี้คนผู้นั้น จากนั้นก็ชี้ปากอุโมงค์ที่ปรากฏอยู่บนพื้น ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง หมายความว่าให้เขาลงไปก่อน
แม้คนผู้นั้นจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็อับจนหนทาง ล้วงไข่มุกราตรีหนึ่งเม็ดออกมาส่องแสง ลงไปจากปากอุโมงค์ก่อนแล้ว
สวีโย่วชะโงกหน้าลงไปมอง เห็นคนผู้นั้นยืนอย่างปลอดภัยแล้ว จึงพาเสิ่นเวยเดินลงไปตามบันไดด้วยความระมัดระวัง
ไข่มุกราตรีส่องประกายริบหรี่ เสิ่นเวยมองเห็นว่านี่คือห้องลับที่ไม่ใหญ่มากหนึ่งห้อง เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด มีเก้าอี้ไม้โบราณหนึ่งตัว อย่างอื่นคล้ายกับว่าไม่มีอะไรแล้ว
“นี่ ชนรุ่นหลัง!” เสิ่นเวยกำลังผิดหวังเล็กน้อย จู่ๆ เสียงที่แสบแก้วหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ
“ท่านเป็นใคร” นักท่องราตีจอมโง่ผู้นั้นชูไข่มุกราตรีเดินสองก้าวไปยังที่ที่เสียงดังออกมาแล้ว เสิ่นเวยจึงเห็นว่าในห้องลับแห่งนี้ยังขังคนไว้ผู้หนึ่ง ชายชราที่แก่อย่างถึงที่สุดผู้หนึ่ง หากเขาไม่เอ่ยปากพูดเอง เสิ่นเวยยังคิดว่านี่คือรูปปั้นแกะสลักรูปหนึ่งเสียอีก
“พวกเจ้าชนรุ่นหลังสามคนหาที่นี่เจอได้ก็นับว่ามีความสามารถเล็กน้อย ตาเฒ่าหลังค่อมผู้นั้นข้างนอกไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย” ดวงตาของชายชราผู้ถูกขังขยับ เสียงแหบแห้งจนทำให้เสิ่นเวยอยากปิดหู แสบแก้วหูเกินไปแล้วจริงๆ ราวกับเสียงล้อรถเบรกกะทันหันสัมผัสกับพื้นถนน
“ส่วนผู้ชราเป็นใครน่ะหรือ หึๆ พูดออกมาแล้วคงจะต้องทำให้เหล่าชนรุ่นหลังสะดุ้งตกใจแน่นอน ผู้ชราคืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้” ชายชราผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงแสบแก้วหูนั้นของเขาต่อ
“อะไรนะ” เสิ่นเวยกับนักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นเอ่ยปากพร้อมกัน แม้แต่สวีโย่วที่แต่ไหนแต่ไรหน้าตายดวงตาก็หดเล็ก “ท่านคืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้งั้นหรือ อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ที่ก่อกบฏกับราชวงศ์นำทัพออกไปไกลผู้นั้นน่ะหรือ” เสิ่นเวยตกใจอย่างยิ่ง นางคิดว่านี่คือเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่สุดตั้งแต่นางทะลุมิติมายังยุคต้ายง
“ชนรุ่นหลังกลับเคยได้ยินชื่อของผู้ชรา ถูกต้อง ผู้ชราก็คืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้” ในดวงตาของชายชรามีบางอย่างแวบผ่าน เสิ่นเวยกำลังจะตั้งใจมอง เขาก็กลับคืบสู่ความสงบนิ่งไร้คลื่นลมอีกครั้งแล้ว
“เป็นไปไม่ได้! หากท่านเป็นอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้เหตุใดถึงถูกท่านเสนาบดีฉินขังไว้ที่นี่เล่า อีกทั้งสิบปีก่อนท่านไม่ใช่วางแผนลับยึดอำนาจก่อกบฏร่วมกับเฉิงฮองเฮาไท่จื่อหรือ” นักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นพลันกล่าว
“สิบปีก่อนหรือ เหอะ ผู้ชราถูกขังอยู่ที่นี่เกือบยี่สิบปีแล้ว ยึดอำนาจก่อกบฏอะไรกัน แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ผู้ชราไม่เคยทำมาก่อน” ท่าทีของผู้ชรานั้นตื่นตระหนกเล็กน้อย “รีบบอกผู้ชรามา เฉิงฮองเฮากับไท่จื่อเป็นอย่างไรบ้าง” ท่าทางร้อนใจนั้นทำให้ใบหน้าของเขามองดูแล้วน่ากลัวยิ่งขึ้น
ในใจเสิ่นเวยเกิดความสงสัยหลายส่วน หากคนผู้นี้คืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้จริงๆ เช่นนั้นแล้ว… นางกำลังจะเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินเสียงของสวีโย่วดังขึ้นมาแล้ว “เฉิงฮองเฮาตายไปเมื่อสิบปีก่อนแล้ว ผู้คอตาย ส่วนไท่จื่อ ก็ถูกฝ่าบาทขังไว้สิบปี ช่วงนี้เพิ่งจะถูกปล่อยออกมา”
“ฉินชัง ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์” ชายชราที่ก่อนหน้านี้สงบนิ่งมีสติกระจ่างแจ้งก็เดือดดาลขึ้นมา ตะคอกเสียงต่ำ ร้องโหยหวน ประหนึ่งสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บ โซ่ที่ล่ามมือล่ามเท้าไว้ส่งเสียงดังกังวาน
เสิ่นเวยเขยิบเข้าใกล้สวีโย่วอย่างอดไม่ได้ ในสายตาเต็มไปด้วยความสงสาร ฟังว่าชั่วชีวิตของอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ไม่ได้แต่งงาน ตั้งแต่เล็กก่อนหน้าที่จะก่อกบฏกับราชวงศ์ก็ไม่ได้แต่งงานเลย ในชีวิตก็มีเฉิงฮองเฮาลูกเลี้ยงผู้นี้ เฉิงฮองเฮากับไท่จื่อองค์ก่อนเปรียบเสมือนญาติเพียงสองคนของเขา ตอนนี้รู้ว่าพวกเขาคนหนึ่งตาย คนหนึ่งถูกทรมาน ใครจะรับไหวเล่า
“รีบไป มีคนมาแล้ว” จู่ๆ สวีโย่วก็เอ่ยปาก ดึงเสิ่นเวยวิ่งไปยังทางออกห้องลับ นักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นตะลึงงัน รีบตามไปเช่นกัน
ถูกสวีโย่วกอดไว้ในอ้อมอก ผ่านไหล่ของเขาเสิ่นเวยก็มองชายชราที่เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยมีสติ ในดวงตาซับซ้อนมากเป็นพิเศษ
ทั้งสามคนเพิ่งจะออกจากศาลบรรพบุรุษ ชายชราหลังค่อมผู้ดูแลศาลบรรพบุรุษที่ถูกล่อออกไปผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาแล้ว เขายกตะเกียงน้ำมันนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาตรวจดูทั่วด้านหนึ่งรอบ ไม่เห็นร่องรอยใดๆ จากนั้นเขาก็ยืนเงี่ยหูฟัง คิ้วขมวดมุ่น เปิดกลไกถือตะเกียงน้ำมันลงไปในห้องลับ
“ผู้แซ่เฉิง เจ้าเป็นบ้าอะไรอีกแล้ว” ชายชราหลังค่อมถามอย่างเย็นเยียบ
ผู้แซ่เฉิงผู้นี้เองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ช่วงสองเดือนมานี้มักจะร้องตะโกนบ้าคลั่งไร้เหตุผลกลางดึก คาดว่าชะตาคงใกล้จะขาดแล้วสินะ! โชคดีที่ศาลบรรพบุรุษแห่งนี้อยู่ในที่เปลี่ยว ห้องลับก็เก็บเสียง มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่มากเพียงใด
ทว่าเฉิงอี้กลับพ่นคำด่าใหญ่ “ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้าต้องไม่ตายดี เจ้าจะไร้ผู้สืบสกุล บุรุษตระกูลฉินเป็นทาสทุกชาติ สตรีเป็นนางโลมทุกสมัย ฉินชังหลังเจ้าตายไปแล้วจะต้องลงนรกสิบแปดขุม ถูกเผามอดไหม้ทุกวันๆ ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้าต้องถูกห้าม้าแยกศพ…”
ชายชราหลังค่อมเห็นเฉิงอี้ยิ่งด่าก็ยิ่งไปกันใหญ่ โมโหจนหยิบแส้โบยลงบนตัวเขา ความรู้สึกที่เจ็บปวดทำให้เฉิงอี้ค่อยๆ ได้สติกลับมา ดวงตาใสกระจ่างขึ้น