เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนผิงจวิ้นอ๋อง มารดาตระกูลหวังก็ดึงลูกสาวไว้ กล่าวถามด้วยความร้อนใจ “เด็กโง่ เจ้าคิดอะไรกันแน่ จวนจวิ้นอ๋องสถานที่ที่ร่ำรวยเพียงนั้นเจ้าไม่ยอมอยู่ ใช้ชีวิตข้างนอกก็ไม่ต่างจากที่พวกเราอยู่ในเมืองอินหู พวกเราแม่หม้ายลูกกำพร้าไม่มีที่พึ่งพิง แม่แก่แล้วกลับไม่กลัว แต่เจ้ายังเป็นสตรีอายุน้อย หาเรื่องจริงๆ! แม่ไหนเลยจะปกป้องเจ้าได้”
แม่นางตระกูลหวังกลับเม้มปากกล่าว “ท่านแม่ ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ ไม่เหมือนเมืองอินหูของพวกเรา พวกเรามีมือมีเท้า ไยจะต้องไปพึ่งพาทานของผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดด้วยเล่า แม้จวนจวิ้นอ๋องจะดี พวกเราเองก็ต้องขายตัวเป็นทาส หลังจากนี้บุตรหลานรุ่นหลังก็ต้องเป็นบ่าวเป็นทาส ท่านตัดใจได้หรือ”
มองเห็นความลังเลบนใบหน้าของแม่นาง แม่นางตระกูลหวังหวังหลานเอ๋อร์ก็กล่าวต่อ “อีกอย่าง คนที่ช่วยพวกเราคือคุณชายเซ่าจวิ้น คุณชายเซ่าจวิ้นเป็นคนอ่อนโยนนิสัยดี หากพวกเราเป็นบ่าวข้างกายเขาก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจทรมานพวกเรา แต่จวิ้นจู่ผู้นั้นไม่รู้จักกับพวกเรามาก่อน ลูกว่านางเองก็ไม่ใช่คนที่เป็นมิตรนัก ตระกูลที่มีอำนาจสูงส่งไหนเลยจะอยู่ง่าย พวกเราพึ่งพาตัวเองยังดีเสียกว่า อย่างน้อยก็เป็นอิสระ”
ไม่มีใครเข้าใจบุตรสาวไปมากกว่ามารดา แม้ว่าปากหวังหลานเอ๋อร์จะพูดจาเป็นเหตุเป็นผล แต่มารดาตระกูลหวังที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาสิบกว่าปียังคงสังเกตเห็นบางอย่างที่แตกต่างจากในนั้นได้ นางจับมือของลูกสาว กล่าวด้วยความเป็นห่วง “หลานเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้คิดอะไรกับคุณชายเซ่าจวิ้นผู้นั้นใช่หรือไม่”
หวังหลานเอ๋อร์หลุบตาลง ไม่ได้ตอบ
มารดาแซ่หวังจะมีอะไรไม่เข้าใจ นางตบลูกสาวเบาๆ เล็กน้อย ในใจกลัดกลุ้มเจียนตาย “หลานเอ๋อร์เอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงเกิดความคิดเช่นนี้เล่า ในครอบครัวคุณชายเซ่าจวิ้นผู้นั้นมีภรรยามีบุตรนานแล้ว เจ้าเข้าไปก็เป็นได้แค่เพียงอนุภรรยา อนุภรรยาคืออะไร นั่นก็คือของเล่น ถูกภรรยาเอกตีตายยังไม่มีแม้แต่ที่ให้อธิบาย ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายเซ่าจวิ้นมีฐานะอันใด ญาติผู้พี่ของจวิ้นจู่เหนียงเหนียง นั่นคือคุณชายจวนโหวสักแห่งหนึ่ง ต่อให้เป็นอนุภรรยาพวกเราก็ไม่มีคุณสมบัติพอ! เด็กโง่เจ้ารีบตั้งสติ เจ้าไม่อยากเข้าจวนจวิ้นอ๋องก็ไม่ต้องไป พวกเราสองแม่ลูกเช่าบ้านหาที่พักก่อน รับงานเย็บปักถักร้อยชีวิตก็พอจะผ่านไปได้ รอให้ผ่านหนึ่งปีครึ่งปีไปแม่จะหาบ้านสามีละแวกบ้านให้เจ้าสักคนหนึ่ง เจ้าค่อยมีหลานชายตัวอ้วนพีให้แม่ ชั่วชีวิตนี้ของแม่ก็เพียงพอแล้ว”
มารดาตระกูลหวังพยายามเกลี้ยกล่อม กลัวว่าลูกสาวจะเดินผิดทาง อนุภรรยาตระกูลใหญ่ตระกูลโตเป็นง่ายเพียงนั้นหรือไร โดยเฉพาะคนที่ไร้ที่พึ่งไร้การช่วยเหลือเช่นพวกนาง หากถูกตีตายก็ถูกตีตายจริงๆ อย่างไรเสียมารดาตระกูลหวังก็อายุมากกว่าลูกสาว มองทะลุกว่าเล็กน้อย หากรู้ว่าลูกสาวมีความคิดเช่นนั้น ตอนแรกไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่เห็นด้วยที่จะออกมาจากเมืองอินหู
แม้หวังหลานเอ๋อร์จะไม่เอ่ยปาก แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วยกับการพูดของมารดานาง
ตั้งแต่ที่เห็นคุณชายผู้อ่อนโยนงามสง่าเช่นคุณชายเซ่าจวิ้น นางไหนเลยจะยังชอบชายกำยำร่างใหญ่เหล่านั้นอยู่อีก นางหน้าตาดี สมควรจะคู่ควรกับคนดีเช่นคุณชายเซ่าจวิ้น เป็นอนุภรรยาแล้วอย่างไร ภรรยาคนแรกของคุณชายเซ่าจวิ้นก็เป็นเพียงหญิงชนบทมิใช่หรือ รอนางกับคุณชายเซ่าจวิ้นเกิดความรู้สึกผูกพันต่อกัน มีบุตรชายบุตรสาวให้ จะไม่มีคืนวันที่ร่ำรวยของนางได้อย่างไร หญิงชนบทผู้นั้นจะทำอะไรนางได้ นางไม่ยอม ไม่ยอมถูกคนในตระกูลบังคับให้ขายออกไปมั่วซั่ว ไม่ยอมมีชีวิตที่ขมขื่นอย่างเช่นเมื่อก่อนอีก
มารดาตระกูลหวังเห็นท่าทีของลูกสาว ในใจก็สถบเวรกรรมหนึ่งครา ลากลูกสาวไปหาบ้านเช่า เดิมพวกนางคิดจะหาโรงเตี๊ยมพักเท้าก่อน แล้วค่อยๆ หาบ้านอยู่ แต่เพราะการสอบคัดเลือกช่วยสารทฤดู โรงเตี๊ยมแต่ละแห่งต่างก็เต็ม พวกนางไต่ถามมาว่าโรงเตี๊ยมหลายแห่งล้วนแต่ไม่มีห้องว่าง
ชั่วพริบตาก็จะบ่ายแล้ว มารดาตระกูลหวังร้อนใจอย่างยิ่ง หากวันนี้หาที่พักไม่ได้ พวกนางก็ทำได้เพียงเร่ร่อนอยู่ตามถนน คิดถึงผลลัพธ์นั้นต่อให้นางไม่มีประสบการณ์ก็กลัวจนตัวสั่นงันงกแล้ว
หวังหลานเอ๋อร์เองก็เสียใจอย่างถึงที่สุด นางไม่ควรบุ่นบามใช้อารมณ์เพียงชั่วครู่ออกมาจากจวนจวิ้นอ๋องเช่นนั้น พวกนางควรจะหาที่พักดีๆ ให้ได้ก่อนแล้วค่อยย้ายออกมา
สุดท้ายแล้วภายใต้ความช่วยเหลือของคนใจดีพวกนางยังคงหาลานบ้านรวมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตคนจนทางฝั่งตะวันตกของเมืองได้ สภาพแวดล้อมของลานบ้านรวมขนาดใหญ่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด ลานบ้านขนาดใหญ่หนึ่งแห่งอยู่กันหลายครอบครัว แย่ยิ่งกว่าบ้านที่เมืองอินหูของพวกนางเสียอีก แต่แม่ลูกตระกูลหวังที่เข้าตาจนก็ไม่มีกระจิตกระใจจะเลือกมากอะไรแล้ว สามารถมีที่ให้พวกนางพักผ่อนได้ก็ไม่เลวแล้ว
คนที่ติดตามแม่ลูกตระกูลหวังกลับไปรายงานสถานการณ์เสิ่นเวย “จวิ้นจู่ ต้องการให้บ่าวทำอะไรบ้าง”
เสิ่นเวยโบกมือ “ไม่ต้อง พวกเจ้าตามไปก็พอ” หากพวกนางสงบจิตสงบใจก็ไม่เป็นไร หากมีความคิดลับลมคมนัยจริงๆ เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ
ท่านเสนาบดีฉินไปรับลูกชายใช้เวลาในการเดินทางห้าวัน ระทางกลับกลับใช้เวลาเพิ่มขึ้นสองเท่า วันที่เข้าเมืองตรงกับวันประกาศผลการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูพอดี ทุกหนทุกแห่งศีรษะคนล้วนแน่นขนัด เป็นภาพบรรยากาศที่ครื้นเครงยินดี
ท่านเสนาบดีฉินเปิดม่านรถม้ามองไปข้างนอก มองเห็นเจ้าหน้าที่สวมชุดแดงผู้นั้นขี่ม้าผ่านมาด้วยสีหน้าเบิกบานใจทั้งใบหน้า เขาหรี่ตาลงสั่งบ่าวรับใช้คนสนิท “ซานเอ๋อร์ ไปสืบดูเสียว่าจวี่จื่อคนไหนได้อันดับหนึ่ง”
มีเด็กรับใช้สวมชุดสีเทาขานรับออกไป ไม่นานนักก็กลับมาแล้ว “เรียนท่านเสนาบดี บ่าวสืบถามมาแล้ว เจี้ยหยวนอันดับหนึ่งของขั้นนี้คือท่านซื่อจื่อท่านนั้นของจวนหย่งหนิงโหวขอรับ”
ดวงตาท่านเสนาบดีฉินกะพริบวาบ กล่าวหนึ่งประโยค “น่าเสียดาย” จากนั้นจึงนั่งกลับไปในรถ
เด็กรับใช้ย่อมไม่รู้ว่าท่านเสนาบดีฉินเสียดายอะไร เดิมเขายังสืบถามผู้ถูกคัดเลือกห้าอันดับแรกมาด้วย ในเมื่อท่านเสนาบดีไม่ถาม เขาก็ไม่พูดอย่างรู้สมควร
ท่านเสนาบดีฉินในรถหลุบตาลง กล่าวในใจ ได้ยินมานานแล้วว่าซื่อจื่อผู้นั้นของจวนหย่งหนิงโหวมีความรู้ความสามารถโดดเด่น ไม่คิดว่าจะสามารถสอบเป็นเจี้ยหยวนได้ ตอนที่เขาสอบซิ่วไฉก็ได้อันดับหนึ่งเช่นกัน หากการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูปีหน้าได้อันดับที่หนึ่งอีก เช่นนั้นก็ถือว่าสอบได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบ ต้ายงไม่มีผู้ถูกคัดเลือกที่ได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบมายี่สิบปีแล้ว เหอๆ เสิ่นผิงยวนสุนัขเฒ่าตัวนั้นกลับโชคดี ได้หลานเขยที่สอบได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบมาอย่างง่ายดาย
ท่านเสนาบดีฉินพาลูกชายคนเล็กที่พิการกลับจวน เมื่อต่งซื่อได้ยินว่าชีวิตที่เหลือของลูกชายคนเล็กทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งคู่ก็เหลือกเป็นลมไปแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าฉินเจ็บปวดราวกับถูกดาบฟัน มือที่สั่นระริกยังไม่กล้าแตะต้องหลานชายสุดที่รักของนาง แต่เห็นใบหน้าที่แก่ตัวเ**่ยวย่นนั่นของลูกชาย นางก็สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจ ไม่ได้เป็นลมเหมือนลูกสะใภ้ ยังต้องกัดฟันปลอบขวัญลูกชาย “เหล่าต้าเอ๋ย เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว สมควรให้หรานเอ๋อร์พบเจอหายนะนี้ในชีวิต ตระกูลเราเจ้าเป็นเสาหลัก เจ้าไม่อาจล้มลงได้ ในจวนของพวกเราร่ำรวย จะเลี้ยงหรานเอ๋อร์สักคนไม่ได้หรือไร หยวนเอ๋อร์เองก็เป็นเด็กกตัญญู ไม่อาจทอดทิ้งพี่น้องเขาแน่นอน”
อย่ามองว่านายหญิงผู้เฒ่าฉินโมโหขึ้นมาด่าลูกชายแล้วด่าจริง แต่นางเองก็รักลูกชาย สมองยังคงมีสติอยู่ รู้ว่าความร่ำรวยรุ่งโรจน์ของจวนเสนาบดีล้วนแต่เกี่ยวข้องกับลูกชายคนโต
ฉินมู่หยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบแสดงท่าที “ท่านพ่อวางใจ ลูกจะดูแลน้องชายอย่างดี มีลูกอยู่ น้องชายไม่อาจขาดอะไรแน่นอน” ในใจเขาเองก็ลำบากใจอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าอย่างไรนี่เองก็เป็นน้องชายมารดาเดียวกันของเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็โล่งอก น้องชายพิการแล้ว ไม่อาจวิ่งออกไปสร้างเรื่องได้อีกแล้ว
ท่านเสนาบดีฉินตบบ่าลูกชายคนโต ชื่นชมอย่างยิ่ง
เทียบกับบรรยากาศมืดมนในจวนเสนาบดีฉิน จวนหย่งหนิงโหวกลับมีบรรยากาศชื่นมื่น ตั้งแต่ที่เด็กรับใช้วิ่งเข้ามาตะโกน “อันดับหนึ่ง ท่านซื่อจื่อสอบได้เป็นเจี้ยหยวนอันดับหนึ่ง!” เบื้องบนหย่งหนิงโหวกระทั่งฮูหยินอวี้ซื่อ ฮูหยินซื่อจื่อเสิ่นเสวี่ยและคุณหนูญาติผู้น้องจ้าวเฟยเฟยและนายคนอื่นๆ เบื้องล่างบ่าวรับใช้ที่ทำความสะอาดทั้งหลาย ต่างก็ดีอกดีใจ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“ปูนบำเหน็จ ลูกชายข้าไม่เป็นสองรองใคร ทุกคนในจวนเพิ่มเงินเดือนหนึ่งเดือน” ในน้ำเสียงของหย่งหนิงโหวแฝงไปด้วยความดีใจ
“เรื่องมงคลที่ใหญ่เพียงนี้ควรจะปูนบำเหน็จหนักๆ นอกจากเพิ่มเงินเดือนหนึ่งเดือนแล้ว ยังต้องเพิ่มเสื้อผ้าหนึ่งชุดให้ทุกคนด้วย” แต่ไหนแต่ไรอวี้ซื่อที่ขี้เหนียวก็ใจกว้างขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
“เช่นนั้นลูกเองก็ขอผสมโรงด้วย เพิ่มเนื้อให้บ่าวรับใช้ทุกคนในจวน” เสิ่นเสวี่ยก็ยิ้มแย้มเบิกบาน สามีมีอนาคต นางเองก็มีเกียรติด้วยเช่นกัน!
หย่งหนิงโหวลูบหนวดด้วยสีหน้าชื่นชมทั้งใบหน้า กล่าว “เจ้าเป็นสตรีมีคุณธรรม ซื่อจื่อโชคดีที่ได้เจ้าดูแล”
อวี้ซื่อที่แต่ไหนแต่ไรไม่ถูกกับเสิ่นเสวี่ยก็พยักหน้าเช่นกัน “โชคดีที่ได้ลูกสะใภ้กวดขันอวี้เอ๋อร์ให้อ่านหนังสือพัฒนาตน” ท่าทียิ้มแย้มอ่อนโยนนั้นทำให้เสิ่นเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานเล็กน้อย ตั้งแต่ที่นางแต่งเข้ามาก็ไม่เคยเห็นแม่สามีทำสีหน้าดีๆ เช่นนี้ให้นางมาก่อน!
“นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำ” เสิ่นเสวี่ยหลุบตากล่าวเสียงอ่อนโยน
ท่าทางนอบน้อมนี้ทำให้หย่งหนิงโหวยิ่งพอใจ ส่วนอวี้ซื่อเองก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลูกสะใภ้ผู้นี้ยังคงถูกชะตาเล็กน้อย กล่าวกับนางอย่างนุ่มนวล “ตอนนี้อวี้เอ๋อร์เป็นจวี่เหรินแล้ว ลูกสะใภ้เจ้าก็ต้องดูแลร่างกายให้ดี พยายามมีหลานชายอ้วนพีให้พวกเรา” สายตาของนางทอดมองไปยังท้องที่ผอมแบนของเสิ่นเสวี่ย เสียดายอย่างถึงที่สุด หากเสิ่นซื่อสามารถมีข่าวดีได้ ก็เท่ากับมีมงคลคู่มาเยือนบ้านพร้อมกันมิใช่หรือ
ทว่าหย่งหนิงโหวกลับลูบหนวดกล่าว “แม้ว่าทายาทจะสำคัญ แต่เดือนสองปีหน้าก็เป็นการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูแล้ว ไม่อาจประมาทได้ หากซื่อจื่อสามารถสอบได้ที่หนึ่งอีก เช่นนั้นความรุ่งโรจน์ของจวนหยงหนิงโหวของพวกเราก็ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ลูกสะใภ้เจ้ายังต้องลำบากเพิ่ม ดูแลท่านซื่อจื่อให้ดี”
เสิ่นเสวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านพ่อวางใจ ลูกจะต้องกวดขันซื่อจื่อให้ขยันหมั่นเพียรยิ่งขึ้น พยายามให้เป็นที่หนึ่งอีกในปีหน้า”
“ดีๆๆ บุตรดีสะใภ้ดี!” หย่งหนิงโหวหัวเราะร่าอย่างสบายอารมณ์
มีเพียงจ้าวเฟยเฟยที่ดวงตากะพริบวาบ ผ้าเช็ดหน้าในมือบิดจนเป็นเกลียว
จวนจงอู่โหวเองก็มีบรรยากาศชื่นมื่น เช้าตรู่ก็ส่งเด็กรับใช้หลายคนออกไปดูประกาศ ตอนครึ่งเช้าข่าวก็ส่งกลับมาแล้ว ท่านเขยสองคนที่ลงสนามสอบปีนี้ต่างก็สอบติดแล้ว ท่านเขยห้าในนั้นยังคงสอบได้อันดับหนึ่งเป็นเจี้ยหยวน อันดับของท่านเขยสามเองก็ไม่ได้ด้อย ได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ดเชียว
สวี่ซื่อจัดเตรียมของขวัญอวยพรต่างๆ ส่วนนายท่านทั้งหลายฝั่งนั้นก็ดื่มสุรากันแต่เนิ่นๆ แล้ว โดยเฉพาะนายท่านสามเสิ่นหงเซวียน รอยยิ้มบนใบหน้าไม่หุบลงเลย ลูกเขยเขาได้อันดับหนึ่ง เขาผู้เป็นพ่อตาย่อมมีเกียรติเช่นกัน!
เสิ่นเวยย่อมได้ข่าวเช่นกันแล้ว เว่ยจิ่นอวี้กลับโชคดี ในใจเสิ่นเวยมีความคิดนี้แวบผ่าน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เรื่องของขวัญอวยพรย่อมมีอาจารย์ซูจัดการ ตอนนี้ในสมองนางล้วนมีแต่เรื่องท่านเสนาบดีฉินกลับเมืองหลวง เชือกเส้นนั้นที่ผ่อนคลายลงของนางก็แน่นตึงขึ้นมาทันที
แม้ว่าองค์ชายใหญ่จะถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว แต่กลับอยู่รักษาร่างกายเพียงแค่ในจวน ฝ่าบาทไม่ออกคำสั่งเขาย่อมไม่อาจรับงานใดๆ ได้ ทั้งจนทั้งว่างเปล่า ใต้บังคับบัญชาแม้แต่คนให้เรียกใช้ยังไม่มี
บ้านฝั่งมารดาของเจียงซื่อพระชายาองค์ชายใหญ่นับได้ว่ามีกำลังสนับสนุน แต่สิบปีแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่ ใครจะรู้ว่าจุดยืนของตระกูลเจียงจะเป็นเช่นไร
เสิ่นเวยคำนวณไปคำนวณมา ในใจก็กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง หากมีตัวเลือกอื่นนางจะต้องไม่ยืนฝั่งองค์ชายใหญ่แน่นอน ไม่มีอำนาจแม้แต่นิดเดียว ต้อให้นางจะมีสามเศียรหกกรก็ไร้ประโยชน์! แต่ไม่ยืนอยู่ฝั่งองค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้ ใครให้คุณชายใหญ่ของนางมีศีลธรรมเช่นนั้น ดันไปแขวนคอตายอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ของคุณชายใหญ่เสียแล้วเล่า