ฮ่องเต้ยงเซวียนตั้งใจย้ายราชรถส่งราชครูเสิ่นออกจากวัง นอกจากหมอหลวงชื่อดังสองท่านที่ตามไปด้วย ยังมีบำเหน็จนับไม่ถ้วน เห็นได้ถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้ยงเซวียน ดังนั้นคำพูดที่ว่าคุณูปการสูงส่งยังไม่เท่าช่วยชีวิตฮ่องเต้มีเหตุผลอย่างยิ่ง อันที่จริงตามเจตนารมณ์ของฮ่องเต้ยงเซวียนก็ต้องการจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ ทำให้ราชครู่เสิ่นตกใจจนไม่สนอาการบาดเจ็บบนร่างกายคุกเข่าขอปฏิเสธ
ราชครูเสิ่นเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง สุภาษิตว่าไว้ศีรษะใหญ่เท่าใดจงสวมหมวกที่ใหญ่เท่านั้น บุตรหลานตระกูลเขาไม่ได้โดดเด่นมากนัก ฝ่าบาทโปรดปรานมากเกินไปจะง่ายต่อการเด่นจนถูกอิจฉา เมื่อเขาไม่อยู่แล้ว ตระกูลเสิ่นจะไม่กลายเป็นเนื้อบนเขียงของตระกูลอื่นหรือ ไม่สู้อยู่อย่างธรรมดาสามัญเช่นนี้ ก็สามารถให้ฝ่าบาทดูแลชนรุ่นหลังตระกูลเสิ่นได้มากขึ้นหลายส่วน
หลังราชครูเสิ่นไปแล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนประทับอยู่ในพระตำหนักเจาเต๋อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าราชครูเสิ่นเป็นขุนนางภัคดีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัวแม้แต่นิดเดียว ขุนนางภัคดีควรได้รับบำเหน็จ มิเช่นนั้นใช่จะทำให้คนผิดหวังหรือไม่ ดังนั้นยังคงต้องปูนบำเหน็จให้มาก เขาไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ หยิบพู่กันเขียนพระราชโองการ อืม ด้วยคุณูปการของราชครูแล้วปูนบำเหน็จอะไรก็ไม่พอทั้งสิ้น เช่นนั้นก็พระราชทานบรรดาศักดิ์กั๋วกงแล้วกัน หย่งกั๋วกง! ได้ เอาเช่นนี้แหละ!
ราชครูเสิ่นเพิ่งจะกลับไปถึงจวนจงอู่โหว พระราชโองการพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นกั๋วกงของฮ่องเต้ยงเซวียนก็มาถึงแล้ว ราชครูเสิ่นพยายามจะลุกขึ้นคุกเข่ารับพระราชโองการ ถูกขันทีใหญ่จางเฉวียนที่ยิ้มราวกับพระสังกัจจายน์ห้ามไว้ “ใต้เท้าราชครูยังบาดเจ็บอยู่ ฝ่าบาททรงมีพระราชดำรัส ใต้เท้าราชครูนอนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า”
ราชครูเสิ่นเองก็ลุกไม่ขึ้นจริงๆ ทรมานอยู่ในวังคราวนั้นสูบพลังทั้งหมดของเขาไปแล้ว จึงทำได้เพียงประสานมือไปยังทิศพระราชวังด้วยสีหน้าซีดเซียว กล่าวอย่างอ่อนแรง “กระหม่อมน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท”
จางเฉวียนประกาศพระราชโอการแล้วจึงจากไปอย่างยิ้มแย้ม คนทุกระดับชั้นในจวนจงอู่โหวก็ดีอกดีใจ มีความสุขยิ่งกว่าตอนที่เสิ่นเวยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ อย่างไรเสียเสิ่นเวยก็เป็นบุตรสาว ต้องแต่งออกข้างนอก เพียงแค่มีชื่อเสียงไพเราะ แต่ผลประโยชน์แท้จริงที่นำมาสู่จวนจงอู่โหวกลับมีไม่เยอะ
หย่งกั๋วกงยศนี้ของราชครูเสิ่นแตกต่างไป นี่คือบรรดาศักดิ์กั๋วกงที่แท้จริง สามารถสืบทอดไปถึงลูกหลานรุ่นหลังได้ ดังนั้นจงอู่โหวเสิ่นหงเหวินกับโหวฮูหยินสวี่ซื่อจึงรับแขกที่มาอวยพรถึงหน้าประตูไปพลาง จัดการธุระรักษาอาการบาดเจ็บของบิดาให้เหมาะสมไปพลาง
เสิ่นเวยเองก็กลับจวนจงอู่โหวเช่นกัน แม้ว่าจะมีหมอหลวงที่ฝ่าบาทส่งมา แต่นางก็ยังคงพาหมอหลิวกลับมาด้วย อันที่จริงส่วนลึกภายในใจเสิ่นเวยหวังว่าท่านปู่จะสามารถไปรักษาตัวที่จวนผิงจวิ้นอ๋องได้ แต่ยุคโบราณไม่มีกฎระเบียบนี้ เสิ่นเวยทำได้เพียงวางความคิดลง
คนที่มาเยี่ยมราชครูเสิ่นถึงหน้าประตูทั้งหมดล้วนถูกปฏิเสธ เหตุผลแน่นอนว่าเป็นความจริง ราชครูเสิ่นบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้น ย่อมต้องพักผ่อนอย่างสงบ แต่ละคนๆ มารบกวนเขาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะมีคนมาที่บ้านมากน้อยเพียงใดล้วนแต่มีเสิ่นหงเหวินสามพี่น้องคอยต้อนรับ ไม่มีสักคนที่สามารถเห็นหน้าราชครูเสิ่นได้
ด้วยเหตุนี้ในเมืองหลวงจึงเกิดข่าวลือ บอกว่าราชครูเสิ่นช่วยชีวิตฝ่าบาทบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้เหมือนกันว่าสามารถอยู่ได้อีกนานเพียงใด มีคนใจดำพูดว่าใช้หนึ่งชีวิตแลกกับบรรดาศักดิ์กั๋วกงยังนับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง
แต่ที่ทำให้ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือ ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาท หรือว่าจวนจงอู่โหว ล้วนแต่ไม่สะทกสะท้านต่อข่าวลืออย่างสิ้นเชิง ราวกับว่ายอมรับโดยนัย ข่าวลือก็ค่อยๆ น้อยลง กลับไม่ได้หายไป แต่เปลี่ยนเป็นคำนินทาลับหลังแทน
“อาจารย์เริ่นคิดเห็นอย่างไรต่อหย่งกั๋วกงผู้นี้ของพวกเรา” ท่านเสนาบดีฉินหยิบหมากหนึ่งตัวขึ้นมาวางลงเบาๆ วาจาสบายใจ คล้ายกับพลันนึกขึ้นได้
นายทหารผู้ช่วยเริ่นหงซูไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงกล่าว “ฟังว่าราชครูเสิ่นบาดเจ็บสาหัส ทำให้โรคเก่ากำเริบ ตอนที่ออกจากพระราชวังก็หมดสติตลอดทาง จนถึงตอนนี้ล้วนแต่มีหมอหลวงเฝ้าทั้งวันทั้งคืน ผู้น้อยเกรงว่าคราวนี้ราชครูเสิ่นจะมีโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว”
ท่านเสนาบดีฉินวางหมากอีกหนึ่งตัว ศีรษะส่ายเล็กน้อย “ข้าคิดว่าอาจจะไม่ใช่ อย่างอื่นไม่ว่า จวนจงอู่โหวไม่วุ่นวายแม้แต่นิดเดียว!” นอกจากขัดขวางคนที่มาเยี่ยมราชครูเสิ่นทั้งหมดแล้ว การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย ยังคงทำในสิ่งที่ควรทำอยู่
“บางที…อาจจะเป็นแผนลวงข้าศึกเงียบๆ?” เริ่นหงซูดวงตากะพริบวาบกล่าว
ท่านเสนาบดีฉินมองกระดานหมากปราดหนึ่ง กล่าวช้าๆ “ก็เป็นไปได้ หากได้เห็นราชครูเสิ่นสักหน่อยก็คงจะดี” ประโยคหลังเขาพูดด้วยความเสียดายอย่างมาก เสิ่นผิงยวนจิ้งจอกเฒ่าพันปีตัวนั้น ไม่เห็นด้วยตาตัวเอง เขาก็ไม่วางใจ!
ดวงตาเริ่นหงซูเป็นประกายอีกครั้ง กล่าวเสียงเบา “ฟังว่าเรือนของราชครูเสิ่นถูกล้อมจนแม้แต่น้ำก็ซึมเข้าไปไม่ได้ นอกจากจงอู่โหวแล้วก็มีเพียงจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่สามารถเข้าออกได้”
“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่!” ท่านเสนาบดีฉินยิ้มเล็กน้อย “นางกลับว่างยิ่งนัก” เช่นนั้นต้องหาเรื่องให้นางทำสักหน่อยแล้ว!
เสิ่นเวยกำลังนั่งพูดคุยกับปู่นางอยู่ข้างเตียง ในมือกำลังถือส้มปอกอยู่ ส่งเข้าปากทีละกลีบๆ ข้างหลังปู่นางพิงหมอนใบใหญ่ที่เสิ่นเวยเอาเข้ามาสองใบกึ่งนั่งกึ่งนอน
ช่วงนี้นางแทบจะวิ่งมาที่บ้านฝั่งมารดาทุกวัน มาแล้วก็มารายงานตัวที่เรือนปู่นาง บางครั้งดึกแล้วก็ไม่กลับ พักอยู่ที่เรือนเฟิงหวาก่อนออกเรือนของนาง
พูดถึงเรือนเฟิงหวา ตั้งแต่ที่เสิ่นเวยออกเรือนคนที่เพ่งเล็งมันก็มีไม่น้อย ฮูหยินรองจ้าวซื่อก็เคยคิดจะให้บุตรสาวนางเสิ่นเซวียนย้ายเข้ามาอยู่ เสิ่นเย่ว์บ้านสามเองก็เคยคิด แต่ว่าก็เพียงแค่คิด นางรู้ดีอยู่แก่ใจอย่างยิ่ง รู้ว่าเรือนของพี่สาวไม่อาจตกมาถึงนางได้ กระทั่งสวี่ซื่อก็ยังเกิดความคิด อยากเปลี่ยนเรือนหลังนั้นให้เป็นเรือนหอลูกชายของนาง ซ้ำยังโน้มน้าวท่านโหวเสิ่นหงเหวินแล้วด้วย
เสิ่นหงเหวินเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่เรือนหนึ่งหลังก็เท่านั้น เวยเอ๋อร์แต่งออกไปแล้ว หรือว่าจะยังครอบครองเรือนบ้านฝั่งมารดาอยู่อีกเชียวหรือ เขาเอ่ยปากกับบิดาเขา ถูกบิดาเขาก่นด่าใส่หน้าโครมๆ พักหนึ่ง ‘เจ้าเป็นถึงท่านโหวแล้ว เหตุใดสายตาถึงได้ตื้นเขินเพียงนั้น แตะต้องเรือนของหลานสาว เจ้ายังมีหน้าอยู่ได้อย่างไร เวยเอ๋อร์กลับบ้านฝั่งมารดาเจ้าจะให้นางไปอยู่ที่ใด’
เสิ่นหงเหวินถูกบิดาเขาก่นด่า ก็ตะโกนกล่าว ‘ไม่ใช่ ไม่ใช่ยังมีเรือนอีกหลายหลังหรือไร เวยเอ๋อร์กลับมาอย่างมากก็พักเพียงแค่หนึ่งคืน เรือนหลังไหนไม่อาจใช้ได้บ้าง’
ใบหน้านั้นของราชครูเสิ่นดำจนแทบจะบีบน้ำออกมาได้ กล่าวด่าด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ ‘เจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าเวยเอ๋อร์เป็นจวิ้นจู่ เจ้าจะให้จวิ้นจู่ผู้ยิ่งใหญ่ไปพักเรือนแขกหรือ เจ้ากล้านักนะ! ข้ายังมีชีวิตอยู่เจ้าก็ปฏิบัติต่อหลานสาวอย่างโหดร้ายเช่นนี้แล้ว หากข้าตาย ลูกหลานจวนทั้งหลังจะยังมีลู่ทางอยู่อีกหรือไม่’
ราชครูเสิ่นโมโหจนอยากจะฟาดลูกชายสักทีจริงๆ ‘โง่เขลา โง่เขลา ข้าทำกรรมไว้ในชาติไหนถึงได้มีลูกที่โง่เช่นเจ้า เจ้าจำใส่หัวไว้เลย เรือนเฟิงหวาไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง เก็บไว้ให้เวยเอ๋อร์ เก็บไว้ชั่วชีวิต! หากใครบังอาจยื่นกรงเล็บเข้ามา ข้าจะสับแขนของเขาเสีย’
ราชครูเสิ่นโมโหจนหายใจหอบ ด่าลูกชายจนหน้าแดงหูแดงเงยหน้าไม่ขึ้นยังไม่พอ ท้ายที่สุดก็สั่งอย่างกระหืดกระหอบ ‘ไป เขียนเรื่องนี้ลงในกฎตระกูลเดี๋ยวนี้ หากใครไม่ปฏิบัติตามก็ไล่ออกไปจากตระกูลเสีย ตระกูลเสิ่นของข้าไม่มีลูกหลานอกตัญญูเช่นนี้’
เสิ่นหงเหวินรองรับความโกรธอยู่ที่เรือนบิดาเขา กลับไปแล้วก็ตำหนิสวี่ซื่ออีกครั้ง ‘เจ้ามันตาตื้น เวยเอ๋อร์เป็นจวิ้นจู่ เรือนของนางเจ้าจะแตะต้องได้อย่างไร’ สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
สวีซื่อโมโหจนหงายหลัง นอกจากแอบตำหนิว่าพ่อสามีลำเอียงแล้ว กลับไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว
จ้าวซื่อบ้านรองดูด้วยความสนุกสนานอย่างยิ่ง มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ทว่าในใจกลับแอบดีใจที่ตนเพียงแค่คิดในใจไม่ได้ป่าวประกาศออกไป มิเช่นนั้นวันนี้คนที่โดนด่าจนขายหน้าก็คงจะเป็นนาง
เรื่องนี้เสิ่นเวยเองก็ทราบ อย่างไรเสียน้องเจวี๋ยน้องชายมารดาเดียวกันของนางก็ยังอยู่ในจวน เรือนเฟิงหวานั้นนางเองก็ทิ้งคนดูแลเรือนไว้ เพียงแต่เห็นแก่ท่านปู่ที่รักนางเพียงนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้