เสิ่นหงเหวินเพียงแค่เดินไปเป็นเพื่อนเสิ่นเชียนจนถึงหน้าประตูเรือนของบิดาแล้วจึงกลับไป เขารู้ว่าบิดาจะต้องมีคำพูดมากมายอยากพูดกับลูกชาย เขาอย่าไปอยู่ขวางหูขวางตาเสียจะดีกว่า
เสิ่นเวยกำลังนั่งอ่านหนังสือให้ปู่นางอยู่ในห้องเขา ในห้องสร้างท่อทำความร้อนใต้ดินเอาไว้ อบอุ่นประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ
“ท่านปู่ พี่ใหญ่น่าจะมาแล้ว หลานจะออกไปต้อนรับเขาสักหน่อย” เสิ่นเวยปิดหนังสือวางไว้ข้างๆ คลุมเสื้อขนจิ้งจอกเดินออกไปข้างนอก เพิ่งจะเดินไปถึงล่างระเบียงทางเดินก็เห็นเสิ่นเชียนเข้ามาแล้ว
“เอ๋ ท่านซื่อจื่อกลับมาแล้ว” เสิ่นเวยขึ้นเสียงทักทาย
“เอ๋ ลำบากคุณชายสี่ผู้องอาจห้าวหาญของพวกเราออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พี่ช่างมีบุญวาสนาจริงๆ!” เสิ่นเชียนเองก็ตอบรับตามใจปาก
“ไอหยา ไม่พบสามวันกลายเป็นอื่น พี่ใหญ่พัฒนาไม่น้อยจริงๆ! ดูสิฝีปากคล่องแคล่ว” เสิ่นเวยมองประเมิณเสิ่นเชียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “อืม รูปร่างก็แข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก เป็นอย่างไร น้ำดินที่ซีเจียงบำรุงร่างกายดีหรือ”
มุมปากเสิ่นเชียนกระตุก นี่คือการชมคนหรือ ใช่หรือ ใช่หรือ เขากำลังจะพูดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะปนด่าของท่านปู่ดังออกมาจากข้างในแล้ว “พวกเจ้าสองพี่น้องมัวแต่เล่นอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบเข้ามาอีก!”
เสิ่นเวยหันหน้าตอบรับข้างในหนึ่งครา กล่าวเสียงดัง “ท่านปู่ท่านอย่ารีบร้อนสิ หลานไม่ใช่กำลังต้อนรับพี่ใหญ่แทนท่านอยู่หรือไร หนึ่งปีไม่ได้เจอ ต้องตรวจสอบแทนท่านดูสักหน่อย”
คลายสายรัดเอวเสื้อขนจิ้งจอกโยนไปในอ้อมอกสาวใช้ข้างๆ ประสานหมัดกล่าว “พี่ใหญ่ เชิญ”
เสิ่นเชียนลูบจมูก ถอดเสื้อคลุมบนร่างออกเช่นกัน “ลำบากคุณชายสี่ชี้แนะแล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำ หมัดของเสิ่นเวยก็มาถึงแล้ว เขารีบเบี่ยงตัวหลบ เพิ่งจะหลบหมัดได้ ลูกเตะของเสิ่นเวยก็โจมตีมาตรงหน้าแล้ว บีบบังคับจนเสิ่นเชียนสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง ชั่วขณะวันคืนที่ถูกทารุณในซีเจียงก็คล้ายกลับมาอีกครั้ง
เสิ่นเชียนเศร้าใจยิ่งนัก เขาคิดว่าเขาพัฒนาขึ้นมากแล้ว ไม่คิดว่าจะยังถูกลูกผู้น้องโจมตี ความรู้สึกเช่นนี้ อยากตายเสียจริงๆ!
เสิ่นเชียนตั้งสติ รับมืออย่างสุขุม ไม่ขอชนะ ขอเพียงแค่ถูกโจมตีให้น้อย จิตใจนิ่งแล้ว ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้มาก เงาร่างสองเงาต่อสู้กันตั้งแต่ระเบียงทางเดินไปจนถึงในลานบ้าน เจ้าจู่โจมข้าโต้ตอบ กระโดดโลดแล่น น่าชมเหลือเกิน
สองเค่อผ่านไป เสิ่นเวยลอยตัวตวัดข้าเตะ ปลายเท้าจ่อลำคอของเสิ่นเชียนตรงๆ ดวงตามีรอยยิ้มแวบผ่าน “ไม่เลว พี่ใหญ่พัฒนาไม่น้อยแล้ว” เก็บมือเก็บเท้า สิ้นสุดการประลอง
เสิ่นเชียนหน้าดำทะมึนทั้งศีรษะ เหตุใดคำพูดนี้ฟังแล้วถึงได้อึดอัดใจเช่นนี้เล่า เขาถูกเสิ่นเวยทารุณจนชินแล้ว แม้ว่าจะแพ้เขาก็ไม่ได้สนใจ “พี่ยังต้องขอบคุณคุณชายสี่ที่เมตตา”
“ท่านรู้ก็ดีแล้ว” เสิ่นเวยย่นจมูกอย่างน่าเอ็นดู หันหลังกลับกระโดดเข้าไปในห้อง เสิ่นเชียนตามอยู่ข้างหลังนาง ได้ยินนางกล่าวกับท่านปู่ด้วยความดีใจ “ท่านปู่ หลานทดสอบแทนท่านแล้ว แม้ว่าพี่ใหญ่จะยังสู้หลานท่านไม่ได้ แต่ก็ยังพอถูๆ ไถๆ ไปได้! ดียิ่งกว่าลูกคุณชายเหล่านั้นในเมืองหลวง น่าจะไม่เคยอู้งาน”
ความดำทะมึนคืนคลานทั่วทั้งหน้าผากเสิ่นเชียนอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้วว่าลูกผู้น้องหน้าหนา แต่ไม่คิดว่าจะหนาได้ถึงเพียงนี้ “ท่านปู่ หลานกลับมาแล้ว” เสิ่นเชียนมองท่านปู่ที่เอนหลังพิงหัวเตียงอยู่ สะบัดเสื้อคลุมคุกเข่าลง กล่าวด้วยความรักและผูกพัน “ท่านปู่ ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้เหตุใดถึงไม่ส่งข่าวไปให้หลานเลย”
ราชครูเสิ่นเห็นหลานชายคนโตก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด ยิ้มกล่าวอย่างเมตตา “กลับมาก็ดีแล้ว รีบลุกขึ้นเถิด ไม่ใช่ว่าปู่ใกล้หายแล้วหรอกหรือ อย่าทำท่าทางงอนง้อเช่นนั้น น้องเจ้าเห็นแล้วจะหัวเราะเยาะเอา”
เสิ่นเวยกลอกตา “ท่านปู่ ท่านพูดไม่เป็นธรรมแล้ว หัวเราะเยาะอะไร ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ วันทั้งวันบอกว่ารักข้าที่สุด ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้วจิตใจของท่านก็ลำเอียง ที่แท้แล้วปกติแล้วก็ล้อข้าเล่นหรอกหรือ” เสิ่นเวยกระทืบเท้าไม่พอใจ
ราชครูเสิ่นหัวเราะปนด่า “เจ้าเด็กซนคนนี้ เจ้าเอาตาที่ไหนมองว่าข้ารักพี่ใหญ่เจ้ามากกว่า”
“แค่ตาสองข้างก็มองเห็นแล้ว” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
ราชครูเสิ่นถูกหลานสาวของเขาตอกหน้าหงาย อยากจะลงจากเตียงไปตีเด็กดื้อคนนี้เสียจริงๆ แต่ถูกเสิ่นเวยหยอกล้อเช่นนี้ ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ราชครูเสิ่นกับหลานชายถามตอบพูดคุยถึงเรื่องที่ซีเจียงขึ้นมา เสิ่นเวยนั่งฟังอยู่ข้างๆ หยิบผลไม้สดใส่ปาก ฤดูหนาวที่หนาวจัด เดิมทีผลไม้สดก็มีไม่มาก แต่ที่เรือนปู่นางกลับไม่ขาด ไม่ใช่สิ่งอื่นใด ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ฝ่าบาทปูนบำเหน็จ เครื่องบรรณการเอย ย่อมล้วนแต่เป็นของที่ดีที่สุด ราชครูเสิ่นยังบาดเจ็บอยู่ ผลไม้สดที่ปูนบำเหน็จให้นอกจากส่วนน้อยที่ส่งไปยังเรือนหลัง ทั้งหมดที่เหลือล้วนอยู่ในปากเสิ่นเวย
ราชครูเสิ่นมองหลานชายคนโตที่เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนไปมาก ในใจก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด หลานชายคนโตนับได้ว่าฝึกฝนออกมาแล้ว แม้จะยังอ่อนวัย แต่เทียบกับคนวัยเดียวกันในเมืองหลวงก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว อีกทั้งตนยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี ยังสามารถดูแลเขาให้มากได้ ถึงตอนนั้นเขาเองก็สามารถเผชิญหน้าตัวคนเดียวได้แล้ว เขาก็นับได้ว่าสามารถนอนตายตาหลับอย่างวางใจได้แล้ว
เสิ่นเชียนกลับมาย่อมต้องไปเยี่ยมเยียนทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นเขาที่เป็นว่าที่เจ้าบ่าวคาดไม่ถึงว่ายุ่งยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น แต่ละจวนเห็นซื่อจื่อจงอู่โหววัยเยาว์ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่ซีเจียงผู้นี้แล้ว วาจาก็เต็มไปด้วยคำชื่นชม ในใจเต็มไปด้วยความอิจฉา! ดูเขาสิ เป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เสิ่นซื่อจื่อใจเย็นสุขุมถ่อมตัวมากเพียงใด เทียบกับลูกชายที่สับสนว้าวุ่นของตนแล้ว จำใจต้องยอมรับว่าราชครูเสิ่นสั่งสอนคนเป็นจริงๆ!
แม้แต่ตระกูลฉังที่ก่อนหน้านี้ยังคงไม่วางใจเล็กน้อย หลังเห็นเสิ่นเชียนที่มาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน ตั้งแต่ต้นจนจบก็เอ่ยชมไม่หยุดปาก ใต้เท้าฉังยังตั้งใจทดสอบความรู้ของเขา ตอนนี้แม้ว่าเสิ่นเชียนจะเดินในเส้นทางแม่ทัพ แต่ก่อนหน้านี้ล้วนเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นทั้งบู๊ กระทั่งยังให้ความสำคัญกับบุ๋นเล็กน้อย พื้นฐานแน่นอนว่าย่อมมี
สำหรับการทดสอบของใต้เท้าฉังพ่อตาก็สามารถตอบได้อย่างลื่นไหล ทำให้ใต้เท้าฉังดีใจจนลูบหนวดพยักหน้า สายตาที่มองเสิ่นเชียนเอ็นดูยิ่งกว่าลูกแท้ๆ คืนนั้นยังดื่มสุราดีหนึ่งไห ชวนลูกเขยพูดคุยไปครึ่งค่อนคืน
ฉังฮูหยินเห็นสามีที่ปกติเคร่งขรึมเข้มงวดกลายเป็นคนพูดเก่ง ก็รู้ว่าเขากำลังมีความสุข ทั้งโมโหทั้งน่าขันจริงๆ สำหรับลูกเขยผู้นี้ของตระกูลเสิ่นนางเองก็พอใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน อยากได้เช่นไรก็ได้เช่นนั้น อยากได้คนมีความสามารถก็มีความสามารถ วงศ์ตระกูลสูงกว่าพวกเขามาก แต่ความประพฤติกลับถ่อมตัวมีมารยาทอย่างถึงที่สุด อีกทั้งแม่ยายก็พูดไว้แล้วว่า รอสามีภรรยาแต่งงานกันแล้วก็จะย้ายไปซีเจียงด้วยกัน ไม่อาจทิ้งให้เจ้าสาวอยู่รับใช้ในจวน ไอหยา ยังมีครอบครัวไหนที่ใจกว้างยิ่งกว่าครอบครัวนี้อีก ลูกสาวคนโตของนางมีวาสนาดีจริงๆ นี่คือคู่หมั้นดีที่จุดโคมไฟก็ยากจะหาได้! ไม่เห็นหรือว่าเหล่าพี่น้องของนางต่างก็อิจฉาตาร้อน นางนับว่าได้ระบายความอัดอั้นที่ถูกพวกนางเบียดเบียนเนื่องจากป่วยมาหลายปีแล้ว
แม้แต่คุณหนูตระกูลฉังที่แอบมองเสิ่นเชียนปราดหนึ่งอยู่หลังฉากกั้น ก็หน้าแดงก้มหน้างุด ในใจเต็มไปด้วยความดีใจ ก่อนหน้านี้ต่อให้พ่อแม่นางจะพูดว่าดีสักเพียงใด นางเองก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก อย่างไรเสียวงศ์ตระกูลของทั้งสองครอบครัวก็ต่างชั้นกัน เขาเป็นถึงท่านซื่อจื่อจวนโหวจะเหลียวแลตระกูลนางได้อย่างไร แม้ว่าพ่อนางจะเป็นหัวหน้าราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ บริสุทธิ์สูงส่งก็บริสุทธิ์สูงส่งอย่างยิ่ง ทว่าบริสุทธิ์แต่กลับไม่สูงส่ง! แม่นางบอกว่าที่ตระกูลเสิ่นชื่นชอบก็คือความสามารถในการดูแลบ้านของนาง นางเองก็ไม่ค่อยเชื่อนัก คุณหนูสตรีสูงศักดิ์ที่สามารถดูแลบ้านได้ในตระกูลใหญ่ตระกูลโตก็มีถมไป เหตุใดถึงเป็นนางที่ได้รับโชคดีนี้เล่า ซื่อจื่อผู้นี้จะต้องมีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมเป็นแน่ ตระกูลเสิ่นไม่อาจหาภายในตระกูลสูงได้ ดังนั้นจึงเลือกนางเสีย
ทว่าตั้งแต่ที่แอบมองว่าที่สามีหลังฉากกั้น คุณหนูตระกูลฉังก็เชื่อแล้วจริงๆ ว่าตนมีวาสนาแท้จริง เหมือนอย่างที่แม่นางว่า สามีเช่นนี้จุดโคมไฟก็ยากจะหาได้ ด้วยเหตุนี้จิตใจของนางที่นั่งอยู่ในห้องนอนจึงหวานชื่น รู้สึกว่าอากาศที่หนาวเย็นยะเยือกนี้ไม่ได้ทรมานอย่างเช่นที่ผ่านมา
เอ่ยถึงราชครูเสิ่นก็ต้องนึกถึงอาการบาดเจ็บของเขา ไม่ว่าข่าวลือก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร นายท่านหัวหน้าตระกูลแต่ละจวนต่างก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ข่าวลือก็เท่านั้น สามารถเก็บมาคิดเป็นจริงได้หรือ
ทว่าตอนนี้ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว เรือนของราชครูเสิ่นก็ยังปิดเรือนปฏิเสธแขก หมอหลวงสองคนที่ฝ่าบาทส่งมายังคงนั่งเฝ้าอยู่ที่จวนจงอู่โหว อ้อไม่ ตอนนี้ควรจะเป็นจวนหย่งกั๋วกงแล้ว แม้คนทั้งหมดในจวนหย่งกั๋วกงต่างก็พูดว่าราชครูเสิ่นมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่ในใจทุกคนก็ยังคงเกิดข้อสงสัย คงไม่ใช่ว่าราชครูเสิ่นบาดเจ็บสาหัสเกินไปจนดีขึ้นไม่ได้แล้วกระมัง
ในวันมงคลใหญ่ที่ต้อนรับการกลับมาของเสิ่นเชียนท่ามกลางข้อสงสัยของขุนนางในราชสำนัก ก่อนหน้านี้จวนจิ้นอ๋องกลับเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นแล้ว