“เสด็จพี่ท่านมาแล้ว” นี่คือพระชายาสักท่านหนึ่ง เห็นองค์หญิงใหญ่เข้ามาเป็นคนแรก รีบกุลีกุจอเข้ามาใกล้สองก้าว ท่าทีกระตือรือค้นยิ่งนัก
พอนางเอ่ยปาก คนที่กำลังคุยกันอยู่สองสามคนต่างมองมา เสิ่นเวยเพ่งมองดีๆ แหะ ไม่ใชพระชายาก็คือพระชายาองค์ชาย ยังมีองค์หญิง ท่านหญิง ที่แท้กองนี้ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ล่ะ
“ทุกท่านมาเร็วดีนี่นา” องค์หญิงใหญ่ว่า แล้วชี้เสิ่นเวยและท่านหญิงชิงหรุ่ยที่ควรถวายบังคมก็ถวายบังคม ที่ควรคารวะก็คารวะต่อคนเหล่านี้
สำหรับคนส่วนใหญ่เสิ่นเวยล้วนคุ้นตามาก ก็มีที่ไม่คุ้นตาบ้าง นั่นล้วนเป็นคนที่ไม่ค่อยออกมาสมาคม ทว่าไม่ว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก มารยาทท่วงท่าของเสิ่นเวยล้วนไม่มีที่ติ บนใบหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มสามส่วน กุมกฎเกณฑ์ได้ดีมาก ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างแอบพยักหน้าในใจ ใครๆ ก็บอกว่าท่านหญิงเจียฮุ่ยเป็นคนหยาบคาย ดูท่าทางคำเล่าลือไม่อาจเชื่อนะ
“ไยองค์หญิงใหญ่ถึงเข้ามาพร้อมเจียฮุ่ยเพคะ?” พระชายาท่านหนึ่งถามเหมือนไม่ตั้งใจ
องค์หญิงใหญ่เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ก็เพราะอาโย่วน่ะสิ เป็นห่วงว่าเจียฮุ่ยร่วมงานเลี้ยงในวังครั้งแรก ไม่วางใจ อุตส่าห์ไหว้หวานให้ข้าดูแลนางหน่อย”
พระชายาท่านนั้นระบายยิ้ม ล้อเล่นว่า “อาโย่วนี่ช่างรักภรรยาจริงๆ”
องค์หญิงใหญ่เลิกคิ้ว ว่า “ภรรยาตนเองไม่รักได้หรือ? พระชายาหนิงไยต้องอิจฉาด้วย ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้ว่าเสด็จพี่หนิงปฏิบัติกับพี่สะใภ้เป็นที่หนึ่งในเชื้อพระวงศ์เชียวนะ?”
แล้วก็มีคนเห็นด้วยว่า “นั่นสิ นั่นสิ ท่านหญิงเจียฮุ่ยเป็นคนงามปานนี้ เป็นข้าก็ต้องวางไว้ในใจทั้งรักทั้งตามใจ พวกท่านว่าใช่หรือไม่”
เหล่าสตรีต่างอมยิ้มพยักหน้าตามๆ กัน
เสิ่นเวยหลุบตาฟังพวกนางส่งต่อกัน ไม่มีความคิดจะเอ่ยปากแม้แต่น้อย ไหนๆ องค์หญิงใหญ่ก็รับมือพวกนางได้สบาย นางก็มีความสุขที่ได้สงบคอยดูครึกครื้น
ในยามนี้เอง ท่านหญิงชิงหรุ่ยที่อยู่ข้างๆ กระตุกแขนเสื้อของเสิ่นเวย เสิ่นเวยมองไป ท่านหญิงชิงหรุ่ยชี้ไปข้างนอก เสิ่นเวยไม่ได้คิดมากก็พยักหน้า
ท่านหญิงชิงหรุ่ยจึงเดินเข้าไปพูดอะไรกับองค์หญิงใหญ่สองสามประโยค องค์หญิงใหญ่พยักหน้า ท่านหญิงชิงหรุ่ยจึงควงแขนของเสิ่นเวยอย่างดีใจว่า “ไป พี่สะใภ้ เราออกไปสูดอากาศข้างนอกกัน”
องค์หญิงใหญ่กำชับอีกประโยคหนึ่งว่า “อย่าไปไกลเกินไป พาพี่สะใภ้เจ้าเดินเล่นใกล้ๆ ก็พอ”
ท่านหญิงชิงหรุ่ยขานรับเสียงหนึ่ง แล้วก็เดินออกไปนอกตำหนักพร้อมเสิ่นเวย
ยามนี้คนในตำหนักยิ่งมากขึ้นแล้ว เสิ่นเวยทอดสายตามองไป ล้วนเป็นผู้ที่มีอายุแล้ว อายุน้อยเช่นนางและท่านหญิงชิงหรุ่ยมีไม่มากจริงๆ คิดๆ ดูก็ใช่ ใครทนถึงเก้ามิ่งระดับหนึ่งระดับสองแล้วไม่มีอายุบ้าง? ก็พูดถึงบ้านฝ่ายนางเถอะ คนที่มีคุณสมบัติเข้าวังก็มีเพียงท่านย่าและท่านป้าใหญ่นางสองคน เช่นจวนอ๋องจิ้น ปีนี้คนที่มาก็มีเพียงฮูหยินซื่อจื่อนางอู๋เพียงผู้เดียว
เสิ่นเวยเดินถึงครึ่งทางก็เห็นท่านย่าและท่านป้าใหญ่นางแล้ว ย่อมต้องเข้าไปทักทายเป็นธรรมดา “ท่านย่า ท่านป่าใหญ่เจ้าคะ”
ไท่จวินเฒ่าเสิ่นและนางสวี่เห็นเสิ่นเวยก็ดีใจมาก “เวยเจี่ยเอ๋อร์นี่จะไปไหน?”
เสิ่นเวยตอบอย่างว่าง่ายว่า “หลานและท่านหญิงชิงหรุ่ยคิดจะออกไปเดินเล่น”
ฮูหยินสองสามท่านที่อยู่ข้างๆ ก็ชมเสิ่นเวยขึ้นมาตามๆ กันว่า “นี่ก็คือท่านหญิงเจียฮุ่ยบ้านพวกท่านสินะ? ช่างน่ารักจริงๆ เลย ดูกิริยาท่าทาง รูปโฉมนี่สิ จื้ดๆ เทียบทั่วทั้งเมืองหลวงก็ติดอันดับ”
นางสวี่ก็ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางมีเกียรติไปด้วย “ก็นั่นน่ะสิ? พูดโดยไม่อาย เวยเจี่ยเอ๋อร์ของเราเป็นเด็กดีที่กตัญญูที่สุด ท่านปู่นางได้รับบาดเจ็บมิใช่หรือ? นางน่ะก็มาปรนนิบัติดูแลทุกวัน เอาใจใส่ยิ่งกว่าอาวุโสอย่างพวกเราเสียอีก”
ดังนั้นเหล่าฮูหยินเริ่มการชมประจบประแจงรอบใหม่ ใครใช้ให้บัดนี้จวนหย่งกั๋วกงเป็นที่ทรงโปรดปรานที่สุดล่ะ?
บัดนี้สายตาที่ไท่จวินเฒ่าเสิ่นมองเสิ่นเวยเมตตาอย่าบอกใคร “ไปเถอะ ไปเถอะ สาวๆ เช่นพวกเจ้าไม่ชอบพิธีรีตองที่สุด เพียงแต่ข้างนอกหนาว สูดอากาศแล้วก็รีบกลับมาเถอะ”
เสิ่นเวยรับคำเสียงใสแล้วก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมท่านหญิงชิงหรุ่ย
“พี่สะใภ้ ออกจากตำหนักใหญ่แล้วเดินไปทางทิศใต้มีดอกเหมยอยู่หลายต้น บัดนี้ใกล้ผลิดอกแล้ว เราไปดูกันเถอะ” ท่านหญิงชิงหรุ่ยเสนอ
เสิ่นเวยย่อมเต็มใจเป็นธรรมดา
เดินอยู่ราวครึ่งเค่อ ก็เห็นดอกเหมยที่ท่านหญิงชิงหรุ่ยว่าแล้ว มีหลายต้นจริงๆ ด้วย หนึ่งสองสามสี่ห้า เสิ่นเวยนับดู มีทั้งหมดเจ็ดต้น เป็นดอกเหมยแดง ดอกเหมยสีชมพูบานอยู่บนกิ่ง แน่นขนัดไปหมด ช่างน่ารักยิ่งนัก
เสิ่นเวยและท่านหญิงชิงหรุ่ยชมอยู่ครู่หนึ่งแล้วยืนคุยกันใต้ต้นไม้ “ได้ยินว่าพี่รองท่านให้กำเนิดบุตรฝาแฝด ตั้งชื่อหรือยัง? หน้าตาเหมือนใคร?” ท่านหญิงชิงหรุ่ยถามด้วยสีหน้าสนใจ นางและเสิ่นซวงเป็นสหายสนิทกัน
พูดถึงเด็กที่เหมือนกันเปี๊ยบสองคนนั้น มุมปากของเสิ่นเวยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเช่นกัน “ตั้งแล้ว สวี่ซ่างซูเป็นคนตั้งชื่อจริง รุ่นของพวกเขาใช้คำว่าเจ๋อ คนหนึ่งชื่อเจ๋ออัน คนหนึ่งชื่อเจ๋อคัง ทว่าบัดนี้ล้วนเรียกชื่อเล่นของพวกเขา ‘ต้าเป่าเอ้อร์เป่า’ ส่วนหน้าตา ข้าดูแล้วเหมือนพี่รองมากว่าสักหน่อย มีเฉพาะหน้าผากและจมูกเหมือนพี่เขยรอง”
“จริงหรือ? ท่านพูดจนในใจข้าคันตะเยอหมดแล้ว ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ข้าเป็นหวัด จะไปเยี่ยมนางก็ไม่ได้” ท่านหญิงชิงหรุ่ยเอ่ยอย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย
เสิ่นเวยรีบปลอบใจนางว่า “จะเป็นไรไปล่ะ ยังมีงานเลี้ยงร้อยวันมิใช่หรือ? รอยามที่เด็กสองคนจัดงานเลี้ยงร้อยวันท่านไปดูก็เหมือนกัน ยามนั้นเด็กก็โตขึ้นสักหน่อยแล้ว เห็นได้ชัดขึ้นว่าเหมือนใคร”
“ใช่ๆๆ พี่สะใภ้พูดได้ถูกต้อง เมื่อข้านึกถึงเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบก็รู้สึกสนุก พี่รองท่านมีบุญจริงๆ” ท่านหญิงชิงหรุ่ยหน้าบานเป็นกระด้ง ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพลักษณ์สูงส่งเย็นชายามที่เสิ่นเวยพบนางครั้งแรก ทำให้เสิ่นเวยรู้สึกสะท้อนใจมากอย่างไร้สาเหตุ
ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ก็มีขันทีน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “คารวะท่านหญิงทั้งสอง งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว องค์หญิงใหญ่เชิญทั้งสองท่านรีบเข้าไปขอรับ”
เสิ่นเวยและท่านหญิงชิงหรุ่ยรีบรุดกลับตำหนักใหญ่ เพิ่งนั่งลงข้างกายองค์หญิงใหญ่เสร็จ ก็ได้ยินเสียงประกาศแหลมๆ ของขันทีว่า “ฝ่าบาทเสด็จ”
ทุกคนย่อมต้องลุกขึ้นรับเสด็จทันที
“ตามสบาย” ฮ่องเต้ยงเซวียนก้าวอย่างมั่นคงไปที่เก้าอี้มังกร ด้านหลังเขาตามด้วยฮองเฮา เหยียนกุ้ยเฟยและฉินซู่เฟยพระชายาอื่นๆ
รอฮ่องเต้ยงเซวียนประทับแล้ว ทุกคนถึงนั่งกลับเข้าที่นั่งของตนช้าๆ
ตำหนักใหญ่ใหญ่นัก แบ่งเป็นสองข้าง ข้างหนึ่งคือสตรี ข้างหนึ่งคือขุนนางบู๋นและบู๊ ประจันหน้ากัน แยกออกอย่างชัดเจน ทว่าเสิ่นเวยเพียงปราดเดียวก็เห็นคุณชายใหญ่บ้านนางแล้ว แม้มีผู้ใส่ชุดระดับจวิ้นอ๋องหลายคน ทว่าใครให้คุณชายใหญ่บ้านนางหน้าตาดีที่สุดล่ะ อยู่ในหมู่ตาเฒ่านั้นคุณชายใหญ่บ้านนางสะดุดตาที่สุด
หลังจากฮ่องเต้ยงเซวียนสรุปคำพูดอย่างฮึกเหิมแล้ว งานเลี้ยงก็เริ่มอย่างเป็นทางการ นางกำนัลขันทียกอาหารและสุราเลิศรสเข้ามา เสียงเครื่องดนตรีดังขึ้น นางรำก็เริ่มร่ายรำแล้ว
บอกตรงๆ งานเลี้ยงในวังน่าเบื่อจริงๆ เสิ่นเวยเขี่ยสองสามทีอย่างขี้เกียจแล้วก็หมดความสนใจ อากาศหนาวมาก ต่อให้อาหารเลิศรสเพียงใดเมื่อเย็นสนิทแล้วก็เสียรสชาติเช่นกัน โชคดีที่นางกินในจวนมาแล้ว มิเช่นนั้นต้องทนหิวแน่นอน
ไม่อยากกินอาหาร เช่นนั้นก็ชื่นชมการร้องรำเถอะ ดูแรกๆ ยังดี ทว่าดูไปดูไปเสิ่นเวยก็หมดสนุกแล้ว ไปๆ มากๆ ก็มีอยู่ไม่กี่ท่านั้นแหละ ราวกับรำไทเก๊กเนิบๆ อย่างไรอย่างนั้น น่าเบื่อเหลือเกิน
การร้องรำก็ดึงความสนใจของเสิ่นเวยขึ้นมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ดูคนในตำหนักใหญ่เถอะ ดูคุณชายใหญ่บ้านนางที่สง่างามผึ่งผายราวกับต้นไม้ล้างตาก่อน จากนั้นถึงมีความกล้าดูตาเฒ่ายายเฒ่ากลุ่มนั้น
เมื่อดูเช่นนี้เสิ่นเวยก็พบว่าอาหารด้านหน้าทุกคนแทบจะไม่ได้แตะต้อง ไม่ก็ชื่นชมการร้องรำทำเพลง ไม่ก็คุยเสียงเบากับผู้ที่นั่งซ้ายขวาหรือใกล้เคียง มองไป มองไป สายตาของเสิ่นเวยก็หันไปถึงบนตัวฮ่องเต้ยงเซวียน
เห็นเพียงฮ่องเต้ยงเซวียนนั่งอยู่ข้างบน มุมปากอมยิ้มมองลงมาที่ผู้คน นานๆ ทีก็เอียงตัวพูดกับสนมที่นั่งอยู่ข้างๆ สักสองสามประโยค ก็ไม่รู้ว่าฉินซู่เฟยผู้นั้นพูดอะไร ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนหัวเราะร่า
เสิ่นเวยมองอยู่เงียบๆ ในยามนี้เอง มีขันทีน้อยผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามาแล้วก้มลงพูดอะไรเบาๆ ที่ข้างหูของจางเฉวียน แล้วก็เห็นสีหน้าจางเฉวียนเปลี่ยนไปในทันใด ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งพูดเสียงเบาสองสามประโยคกับฮ่องเต้ยงเซวียน เสิ่นเวยสังเกตว่าสีหน้าของฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เป็นธรรมชาติไปชั่วพริบตาหนึ่ง ใจของนางก็ตึกตักตามทีหนึ่ง นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”
เสิ่นเวยดึงสายตากลับมา ขมวดคิ้วคิดๆ แล้ว หรือว่าในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จะเกิดเรื่องอะไรได้นะ? เจ้านายที่มีหน้ามีตาล้วนอยู่ที่นี่กันหมดนะ น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง ฮ่องเต้ยงเซวียนยังนั่งอย่างสูงส่งอยู่นั่นมิใช่หรือ?
ในระหว่างที่เสิ่นเวยคิดเหลวไหลอยู่นั่นเอง เสียงของฮ่องเต้ยงเซวียนก็ดังขึ้นมาว่า “ขุนนางที่รักทุกท่านกินดื่มให้สนุก ข้าขอตัวก่อน” ทุกคนลุกขึ้นส่งเสด็จฝ่าบาทอีก
เมื่อหันหน้าไป เสิ่นเวยพบด้วยความตะลึงว่าที่นั่งขององค์หญิงใหญ่ว่างเปล่า “เสด็จอาล่ะ?” นางถามท่านหญิงชิงหรุ่ยเสียงเบาทีหนึ่ง
“ไปเปลี่ยนชุดแล้วกระมัง” ท่านหญิงชิงหรุ่ยตอบกว่า
เสิ่นเวยพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก กลับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา เพราะนางพบว่าไม่เพียงองค์หญิงใหญ่ไม่อยู่ แม้แต่คุณชายใหญ่บ้านนางก็ไม่อยู่เช่นกัน เพียงแค่พริบตาเดียว นางก็มองไม่เห็นคุณชายใหญ่บ้านนางแล้ว เป็นความบังเอิญ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ?
ดีที่ไม่นานนักองค์หญิงใหญ่ก็กลับมาแล้ว ทว่าสวีโย่วกลับไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก เสิ่ยเวยคิดๆ ดูแล้ว ตัดสินใจออกไปหา เพิ่งลุกขึ้นก็ถูกองค์หญิงใหญ่ดึงมือไว้ เสิ่นเวยหันมองกลับมา องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้าใส่นางเบาแทบไม่เห็น เสิ่นเวยจึงได้แต่นั่งกลับลงไปใหม่ ในใจแน่ใจแล้วว่านี่ต้องเกิดเรื่องแล้วจริงๆ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย