ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 273-1 เรื่องเกิดกะทันหัน

เกิดเรื่องจริงๆ เสิ่นเวยเห็นข้างล่างเริ่มโกลาหลขึ้น มีคนที่ออกไปเปลี่ยนชุดก่อนหน้านี้กลับมาบอกว่าเห็นแสงไฟในเขตรอบวังหลวง คนไม่น้อยต่างตื่นตระหนกขึ้นมา พวกนางอยู่ในวังก็ปลอดภัยดีอยู่หรอกนะ ทว่าใครไม่มีครอบครัวล่ะ? พวกนางแม้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าแสงไฟหลายที่ปานนั้นไม่เหมือนเพลิงลุกไหม้ธรรมดา จะไม่กังวลได้หรือ?

 

 

เสิ่นเวยก็อยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงใช้สายตาถามองค์หญิงใหญ่ว่า “เสด็จอา?”

 

 

องค์หญิงใหญ่ก็รู้ว่าปิดต่อไปไม่ได้แล้ว นางอ้าปาก หลุดออกมาสามคำอย่างไร้เสียง “ผู้ลี้ภัย”

 

 

เสิ่นเวยเลิกคิ้วขึ้น ก็เป็นไปได้ ฤดูหนาวปีนี้ภัยพิบัติจากหิมะ ไม่รู้หนาวตายไปเท่าไร ชาวบ้านเพื่อหาทางรอด ก็เป็นไปได้ว่ายอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน เพียงแต่เลือกบุกเข้าเมืองหลวงในคืนสิ้นปีนี่ ผู้ลี้ภัยที่ไม่รู้จักหนังสือสักตัวจะมีสมองเพียงนี้? อย่าเพราะมีคนฉวยโอกาสปล้นสะดมแล้วกัน?

 

 

มองดูเหล่าฮูหยินเก้ามิ่งที่ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกพุ่งออกนอกตำหนัก องค์หญิงใหญ่ตะคอกเสียงเข้มว่า “เป็นเพียงผู้ลี้ภัยเท่านั้น ทุกท่านตื่นตระหนกเช่นนี้ทำอะไร? กองกำลังห้าทิศและกองกำลงรักษาเมืองออกปฏิบัติการแล้ว เชื่อว่าจลาจลจะถูกปราบปรามในไม่ช้า ทุกท่านกลับมานั่งอย่างสงบในตำหนักให้หมด หากมีใครใช้คำพูดยุยงผู้คนอีก ข้าจะประหารอย่างไม่ละเว้น”

 

 

องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่กลางตำหนัก ท่วงท่าสง่างาม บุคลิกน่าเกรงขาม สะกดเก้ามิ่งทั้งหมดไว้ทันที ต่างกลับไปที่ที่นั่งตนตามๆ กัน ในใจต่อให้กังวลเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งขององค์หญิงใหญ่

 

 

ฮองเฮาที่อยู่เบื้องบนถึงได้สติกลับมาว่า “ถูก ถูก ทุกท่านจงฟังองค์หญิงใหญ่ เพียงแค่ผู้ลี้ภัย มีอะไรน่ากลัว?”

 

 

เสิ่นเวยได้ยินดังนั้นมุมปากอดกระตุกทีหนึ่งไม่ได้ ในใจเกิดความดูถูก ทุกท่านจงฟังองค์หญิงใหญ่ แล้วจะเอาฮองเฮาเช่นท่านไปทำอะไร?

 

 

องค์หญิงใหญ่สอดส่องสายตา กวาดไปทางเหล่าขุนนางอย่างเฉียบขาด เสียงละมุนและเยือยเย็นมีพลัง “ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นขุนนางที่เป็นที่ไว้วางใจ ควรทำเช่นไรคงไม่ต้องให้ข้าพูดอีกกระมัง?”

 

 

เหล่าขุนนางอดใจสั่นไม่ได้ เทียบกับพวกผู้หญิง เหล่าขุนนางยิ่งรู้ถึงความร้ายกาจขององค์หญิงใหญ่ นี่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาหรอกนะ อายุสิบกว่าปีก็นำทหารช่วยเสด็จพี่ชิงอำนาจ ความเด็ดขาดนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตา ยามแรกๆ ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ นางเป็นแขนขวาที่มีความสำคัญที่สุด สิบกว่าปีนี้แม้ฝึกฝนปฏิบัติตนขัดเกลาจิตใจไม่ถามราชกิจอีก ทว่าไม่มีใครกล้าดูถูกนาง การที่ฝ่าบาททิ้งนางไว้บัญชาการในตำหนัก ช่างหาถูกคนแล้วจริงๆ

 

 

เหล่าขุนนางต่างว่า “กระหม่อมทั้งหลายฟังคำสั่งองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

องค์หญิงใหญ่ถึงเก็บความเฉียบขาดในสายตาไป “รัชทายาท องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง พวกเจ้าในฐานะองค์ชาย ยิ่งต้องข่มอารมณ์ไว้ มหาเสนาบดีฉินอำมาตย์ฝางและซ่างซูทุกท่าน ปกติเสด็จพี่ให้ความสำคัญพวกท่านเป็นที่สุด วันนี้หวังว่าพวกท่านจะตรึงสถานการณ์ไว้ อย่าก่อให้เกิดความโกลาหลที่ไม่จำเป็นเด็ดขาด

 

 

ขุนนางที่ถูกขานชื่อรีบก้าวออกมาแสดงจุดยืน

 

 

องค์หญิงใหญ่กระดกมุมปาก ตบมือว่า “ร้องรำทำเพลง”

 

 

แล้วก็เห็นนางรำที่ใส่ผ้าบางกลุ่มหนึ่งเข้ามาจากตำหนักข้างตามๆ กัน ร่ายรำขึ้นตามเสียงดนตรี

 

 

องค์หญิงใหญ่ดูอย่างมีรสมีชาติ เสิ่นเวยก็ดูอย่างมีรสมมีชาติ ก็ไม่ใช่ว่านางชอบมากเพียงใดจริงๆ หรอกนะ ทว่าอย่างน้อยก็ต้องแสดงจุดยืนใช่หรือไม่ล่ะ? นางก็นั่งอยู่ข้างองค์หญิงใหญ่นี่แหละ หากแม้แต่นางก็ท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มิใช่กลายเป็นตัวถ่วงขององค์หญิงใหญ่หรอกหรือ? นางนำหน้าสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ เหล่าฮูหยินเก้ามิ่งที่อยู่ข้างล่างเห็นแล้วก็จะได้สบายใจขึ้นสักหน่อยกระมัง

 

 

ไม่พูดถึงอย่างอื่น ท่าทางสุขุมใจเย็นเช่นนี้ของเสิ่นเวยไม่เพียงแต่องค์หญิงใหญ่แอบชมในใจ ต่อให้เป็นฮูหยินเก้ามิ่งที่อายุมากพวกนั้นมองแล้วก็แอบพูดว่าช่างน่าละอาย แม้แต่นางหนูอายุสิบกว่าปียังไม่กลัวไม่ลนลาน พวกนางอายุมากโขแล้วกลับไม่รู้อะไรควรไม่ควร จริงๆ เลย…

 

 

มองไปที่สมาชิกผู้หญิงสองท่านของจวนหย่งกั๋วกงอีก พวกนางเหมือนกับท่านหญิงเจียฮุ่ย กำลังหรี่ตาชื่นชมการร้องรำ ท่าทางเคลิบเคลิ้มเป็นหนักหนา โดยเฉพาะไท่จวินเฒ่าเสิ่น ศีรษะนั้นส่ายเบาๆ แทบไม่สังเกต ดูเหมือนกำลังให้จังหวะให้เข้ากับจังหวะดนตรีแน่ะ

 

 

แม้แต่ภรรยาของแม่ทัพก็กล้าหาญถึงเพียงนี้ ในฐานะภรรยาของขุนนางบุ๋นทั้งทีพวกนางจะให้ถูกเทียบลงไปได้อย่างไร? ดังนั้นสมาชิกหญิงทั้งหลายต่างกดความกังวลในใจไว้แล้วชื่นชมการร้องรำขึ้นมา ไม่ต้องสนว่าจริงหรือเท็จ ทว่าภายนอกก็สงบดี

 

 

พวกนางไม่รู้ว่าเสิ่นเวยไม่กังวลแม้แต่น้อยเลยจริงๆ อย่าว่าแต่ผู้ลี้ภัยเลย ต่อให้มีคนจับปลาในน้ำขุ่นจริงนางก็ไม่กลัว จวนผิงจวิ้นอ๋องมีท่านซูและโอวหยางน่านั่งบัญชาการอยู่ อีกทั้งยังเลี้ยงลูกหมาป่าไว้สี่ร้อยกว่าตัวนะ คิดจะบุกเข้าจวนผิงจวิ้นอ๋อง? ไม่ถูกพวกเขาฉีกเป็นชิ้นๆ สิแปลก

 

 

สำหรับจวนหย่งกั๋วกงเสิ่นเวยก็ไม่ห่วง แม้ท่านปู่นางได้รับบาดเจ็บ ทว่าญาติผู้พี่ใหญ่เสิ่นเชียนกลับมาแล้วมิใช่หรือ? เสิ่นเชียนที่ล้มลุกคลุกคลานรอบหนึ่งที่ซีเจียงไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนมานานแล้ว มีเขาอยู่ ย่อมปกป้องจวนหย่งกั๋วกงได้

 

 

เพียงแต่คนในจวนท่านตาน้อยไปสักหน่อย ทว่าเสิ่นเวยก็ไม่ได้กังวลมากนัก จวนแม่ทัพใหญ่หยวนแม้คนไม่มาก ทว่าส่วนใหญ่เป็นทหารคนสนิทที่ถอยลงมาตามท่านตา ป้องกันตนเองยังไม่เป็นปัญหา ยิ่งกว่านั้นท่านซูเป็นคนกระทำการรอบคอบปานนั้น ต้องส่งคนไปหนุนแน่นอน

 

 

เทียบกับวังหลวงที่ยังนับว่าสงบ นอกวังหลวงเละเป็นโจ๊กแล้วจริงๆ ขบวนผู้ลี้ภัยนับพันคนวางเพลิงปล้นฆ่าไปทั่ว เลือกบ้านคนใหญ่โตลงมือโดยเฉพาะ

 

 

ผู้ลี้ภัยราวกับโจรก็ไม่ปาน โบกสะบัดดาบใหญ่กระบองเหล็ก ทุบเปิดประตูใหญ่ของบ้านคนใหญ่โตออก บุกเข้าไปเห็นคนก็ฟัน เห็นสมบัติเงินทองก็แย่ง ฟันเสร็จแย่งเสร็จแล้วยังวางเพลิง ทั้งเขตรอบวังหลวงตกอยู่ในทะเลเพลิงทันที มีแต่เสียงร้องอนาถทุกหย่อมหญ้า

 

 

ยามที่แสงไฟลุกโชนขึ้นท่านซูและโอวหยางน่าก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว ผู้ลี้ภัย? ผู้ลี้ภัยสามารถก่อความวุ่นวายใหญ่โตปานนี้หรือ? บ้านคนใหญ่โตจวนใครบ้างไม่ได้เลี้ยงองครักษ์ปกป้องเรือนไว้บ้าง เหตุใดถึงถูกพังประตูจวนได้ง่ายดายเพียงนั้น? เกรงว่าจะมีคนจับปลาในน้ำขุ่นฉวยโอกาสปล้นสะดมกำจัดคนที่เป็นปฏิปักษ์กับตนกระมัง

 

 

ท่านซูและโอวหยางน่าสบตากันปราดหนึ่ง ตัดสินใจทันทีว่า “เจ้าหนูโอวหยางเจ้านำทหารจวนรักษาในจวนไว้ให้ดี ข้าจะพาพวกไอ้หนูออกไปร่วมวงเสียหน่อย ท่านจวิ้นอ๋องของเราต้องยุ่งอยู่ข้างนอกเป็นแน่ ข้าจะไปช่วยเขาเสียหน่อย”

 

 

โอวหยางน่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า “อย่างไรท่านก็อยู่ในจวนเถอะ ข้างนอกให้เข้าไปดีกว่า” เขาคิดว่าท่านซูอย่างไรก็เป็นบัณฑิต หากหกล้มชนถูก ไม่รู้จะอธิบายกับท่านหญิงอย่างไรดีน่ะสิ

 

 

ท่านซูกลับยิ้มส่ายศีรษะว่า “ความปรารถนาดีของเจ้าข้ารับด้วยใจแล้ว วางใจได้ ข้าไม่ได้ไร้ประโยชน์เช่นที่เจ้าคิด เห็นคนหนุ่มเช่นพวกเจ้าแล้วนะ ข้าก็อดรู้สึกใจฮึกเหิมไม่ได้ แค่ก แขนขาแก่ๆ ก็ควรขยับๆ ได้แล้ว”

 

 

โอวหยางน่าเห็นท่านซูมุ่งมั่น ก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีก คิดครู่หนึ่งแล้วว่า “ทหารจวนแบ่งอีกสองร้อยให้ท่านนำไปด้วย ในจวนเหลือสักสามร้อยคนก็พอแล้ว”

 

 

ทหารรุ่นเยาว์รวบรวมเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ละคนกุมอาวุธไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รอเพียงท่านซูออกคำสั่งจะได้บุกออกจากประตูจวนทันที

 

 

โอวหยางน่ามองดูท่านซูที่ขึ้นม้ากระตุกเชือกอย่างคล่องแคล่ว ถึงตระหนักว่าที่แท้นี่ถึงเรียกว่าคนจริงไม่แสดงตนนี่เอง

 

 

ทหารรุ่นเยาว์เดิมก็เป็นคนไม่มีขื่อมีแปกลุ่มหนึ่งอยู่แล้ว บวกกับอุดอู้อยู่ในจวนหนักเข้าอีก เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนผิงจวิ้นอ๋องก็เหมือนพยักฆ์ร้ายเข้าป่า ผู้ลี้ภัยที่เจอ พบหนึ่งคนดับหนึ่งคน พบหนึ่งทีมดับหนึ่งทีม พวกเขาแบ่งเป็นทีมย่อยหลายทีม ทีมละห้าสิบคน ไปมาอยู่ในถนนใหญ่ตรอกเล็กในเขตรอบวังหลวงอย่างรวดเร็ว มีบทบาทเหมือนสมาชิกทีมดับเพลิง ช่วยจวนต่างๆ ต่อต้านผู้ลี้ภัย เมื่อจัดการเสร็จสรรพก็รีบล่าถอยไปหนุนบ้านต่อไปทันที ก่อนไปยังทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง พวกเขาคือองครักษ์แห่งจวนผิงจวิ้นอ๋อง

 

 

ได้การแทรกแซงของทหารรุ่นเยาว์กลุ่มนี้ สถานการณ์ในคืนนี้ดำเนินไปยังอีกทิศทางหนึ่งที่แปลกประหลาด รอถึงยามที่คนบางกลุ่มสังเกตถึงความผิดปกติ พวกเขาก็ถูกทหารรุ่นเยาว์ล้อมไว้แล้ว

 

 

ภายใต้แสงไฟสาดส่อง สวี่โย่วและท่านซูยืนเคียงไหล่กัน สวีโย่วมองกลุ่มคนที่ใส่ชุดดำซึ่งแตกต่างกับผู้ลี้ภัยโดยสิ้นเชิง แล้วทอดถอนใจว่า “ท่านซูไหวพริบเลิศล้ำวางกลยุทธ์ได้แยบยลจริงๆ เลย”

 

 

ท่านซูยิ้มช้าๆ ว่า “ท่านจวิ๋นอ๋องชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่เดาส่งเดชเท่านั้น ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาจริงๆ” ไม่คิดว่าจะมีคนฉวยโอกาสที่โกลาหลคิดร้ายต่อจวนหย่งกั๋วกงจริงๆ อ่ะไม่ ที่พวกเขาคิดร้ายน่าจะเป็นท่านราชครูกระมัง

 

 

เมื่อคนชุดดำเห็นสถานการณ์ ก็เข้าใจทันทีว่าคืนนี้อย่าคิดจะได้จบดีเลย สบตากันปราดหนึ่งแล้ว บุกออกข้างนอกอย่างใจตรงกัน

 

 

“จับตายให้หมด” สวีโย่วออกคำสั่งฆ่าอย่างสบายๆ

 

 

ทหารรุ่นเยาว์ย่อมไม่ใช่เล่นๆ แต่ละคนพุ่งตัวถลาไปดั่งเสือน้อย เดิมทีพวกเขาก็คนมากอยู่แล้ว อีกทั้งยังถนัดการร่วมมือกันอีก ยิ่งกว่านั้นคำสั่งของสวีโย่วคือจับตาย พวกเขาไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็ฆ่าคนคนชุดดำเลือดเนื้อกระเด็น

 

 

จะโทษว่าคนชุดดำเป็นไก่อ่อนก็ไม่ได้ สามารถถูกส่งมาคิดร้ายต่อราชครูเสิ่นจะอ่อนได้หรือ? ตรงกันข้ามพวกเขายังเจนจัดมาก อย่างน้อยเผชิญหน้ากับทหารรักษาพระองค์ก็มีกำลังสู้ได้ ทว่าพวกเขาดันโชคไม่ดี เจอกับทหารรุ่นเยาว์ที่นางมารเสิ่นเวยฝึกมา นี่คือคนที่ไม่เลือกวิธีการไม่มีขีดจำกัดล่างกลุ่มหนึ่ง เล่นเล่ห์ได้เล่นเล่ห์ วิธีลอบกัดโผล่มาไม่ขาดสาย อีกทั้งยังทำให้เจ้าป้องกันไม่ได้อีก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset