ระยะนี้ชีวิตของท่านจิ้นอ๋องไม่มีความสุขแม้แต่น้อย ถูกเสด็จพี่ของเขาเรียกไปตำหนิในวังยกหนึ่ง “เหลวไหล ชีวิตของเจ้าช่างเหลวไหล! ข้าไม่คาดหวังว่าเจ้าจะช่วยแบ่งเบาแทนข้า ทว่าเจ้าอย่าเหยียบเกียรติของราชวงศ์ไว้บนพื้นจะได้หรือไม่ เกียรติของข้า เกียรติของราชวงศ์ถูกเจ้าทำเสียหายหมดแล้ว”
สายตาของฮ่องเต้ยงเซวียนที่มองท่านจิ้นอ๋องช่างรังเกียจเหลือเกิน ราวกับมองดินโคลนบนรองเท้า
ท่านจิ้นอ๋องถูกเสด็จพี่ของเขาตำหนิจนชินมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนเขาล้วนก้มหน้าก้มตา ท่าทางเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก มีเพียงครั้งนี้ที่เขาเกิดละอายใจ สีหน้ากระอักกระอ่วน
ตั้งแต่กลับจากวังท่านจิ้นอ๋องก็ขังตนไว้ในห้องหนังสือ ไม่มีหน้าออกจากบ้าน เขาคิดเรื่องมากมาย ใบหน้าของต้วนซื่อและซ่งซื่อสลับกันปรากฏขึ้นในสมองของเขา จากนั้นเขานึกถึงเสด็จพ่อของเขา
ครั้งนั้นเขาคุกเข่าอยู่นอกห้องทรงอักษรของเสด็จพ่อร้องขอให้ซ่งซื่อเข้าจวน สุดท้ายแม้เสด็จพ่อของเขาจะรับปาก กลับชี้หน้าเขาด่ายกใหญ่ “โง่เขลา เจ้ามันโง่เขลา ไยข้าถึงมีบุตรชายโง่เขลาเช่นเจ้า ช้าเร็วเจ้าต้องเสียใจแน่” เสด็จพ่อโกรธเขาจนก่อนไปก็ไม่ยอมแลเขาสักที
บัดนี้คำทำนายเป็นจริง เขาเสียใจภายหลังแล้วมิใช่หรอ บุตรชายคนโตไม่สนิทกับเขา บัดนี้แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่ยอมเรียกแล้ว บุตรชายคนรองคนที่สามคนที่สี่ล้วนสิ้นทายาท อ้อจริงสิ เขายังมีบุตรชายอนุคนหนึ่ง ทว่าเขาไม่เคยถามไถ่ถึงเด็กคนนั้นมาก่อน ตั้งแต่ปีที่แล้วบุตรชายคนเล็กก็ตามบุตรชายคนโตเข้ากองปัญจทิศรักษานคร แม้แต่จวนอ๋องยังไม่ค่อยได้กลับ
จวนจิ้นอ๋องที่โอ่อ่ามีเพียงหลานสาวอายุน้อยสองคน ฮ่าๆๆ กรรมตามสนอง กรรมตามสนอง!
ท่านจิ้นอ๋องแหงนหน้าหัวเราะร่า หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา ปากพึมพำว่า “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ลูกทรมานเหลือเกิน!”
ในเมืองหลวงราชโองการพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้น ฝ่าบาทจะรับจอหงวนคนใหม่เซี่ยหมิงผู่เป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงสาม!
ก่อนหน้านี้เหล่าขุนนางที่กระโดดโลดเต้นคิดจะดึงจอหงวนเซี่ยเข้าบ้านตนต่างเสียดายตามกัน ทว่านอกจากยอมแพ้แล้วพวกเขายังมีวิธีใดอีกเล่า ขุนนางคนใดกล้าแย่งบุตรเขยกับฝ่าบาท นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ
ระยะนี้รัชทายาทกำลังสุขสมหวัง สอบครั้งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาเขามีคนเก่งเพิ่มมาจำนวนหนึ่ง แม้แต่จอหงวนที่เสด็จพ่อทรงชื่นชมก็ยืนอยู่ฝ่ายเขา กลายเป็นน้องเขยของเขา ใครไม่รู้บ้างว่าโหรวเฟยเหนียงเหนียงฟังเพียงคำสั่งเสด็จแม่เขาเท่านั้น
เมื่อรัชทายาทดีใจ แม้แต่สุขภาพก็ดีขึ้นมาก อากาศของต้นฤดูใบไม้ผลิยังหนาวอยู่บ้าง การไอของรัชทายาทกลับไม่กำเริบเลยสักครั้ง นี่เรียกว่าคนเจอเรื่องมงคลแล้วกระปรี้กระเปร่าจริง ๆ!
ทว่าสุขถึงที่สุดย่อมเกิดทุกข์ ก่อนหน้านี้วันหนึ่งรัชทายาทยังลำพองอยู่เลย วันนี้ก็ลือกันว่าเขาตกม้า ระหว่างทางที่กลับจากไปล่าสัตว์นอกเมืองม้าเกิดตกใจ องครักษ์ช่วยไม่ทัน รัชทายาทตกจากหลังม้า พอดีท้ายทอยโขกเข้ากับก้อนหินข้างทาง หมดสติทันที
เหล่าขุนนางตื่นตระหนก ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงกริ้ว “สืบ สืบให้ถึงที่สุด! เหตุใดอยู่ดีๆ ม้าถึงตกใจ ยังมี ใครยุยงรัชทายาทออกไปล่าสัตว์นอกเมือง” สุขภาพของรัชทายาทแม้อ่อนแอไปบ้าง ทว่าก็ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก แม้เทียบองค์ชายรองที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูไม่ได้ ทว่าก็ไม่ถึงกับตกจากหลังม้า
เพราะฝีมืออันเฉียบขาดของฮ่องเต้ยงเซวียน เรื่องได้เบาะแสอย่างรวดเร็ว ไม่มีคนยุยงรัชทายาทออกไปล่าสัตว์นอกเมืองหรอก หากแต่เป็นรัชทายาทเองที่ดื้อรั้นจะไป ขุนนางใต้บัญชาตำหนักบูรพายังเตือนแล้วรอบหนึ่ง น่าเสียดายที่เตือนไม่ฟัง
ม้าตัวที่รัชทายาทขี่กลับตรวจเจอความผิดปกติ ม้าตัวนั้นถูกป้อนยาชนิดหนึ่งที่ทำให้คลุ้มคลั่ง ยาชนิดนี้ตั้งแต่ป้อนจนถึงออกอาการใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม ดูแล้วคนที่บงการอยู่เบื้องหลังคำนวณได้แม่นยำยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นคนข้างกายรัชทายาทก็ใช้ไม่ได้ยิ่งนัก!
รอถึงยามที่ฮ่องเต้ยงเซวียนรุดมาถึงตำหนักบูรพา ขันทีที่รับผิดชอบเลี้ยงม้าของรัชทายาทตัวนั้นก็ฆ่าตัวตายหนีโทษแล้ว คนที่ตามรัชทายาทออกนอกเมืองล้วนถูกจับกุมแยกกันสอบสวน
ฮ่องเต้ยงเซวียนเข้าตำหนักใหญ่ของตำหนักบูรพา ฮองเฮาและพระชายารัชทายาทกำลังร่ำไห้ “ถวายบังคมฝ่าบาท!” ฮองเฮาฝืนทนความเศร้าโศกถวายบังคมฮ่องเต้ยงเซวียน นางมีรัชทายาทเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว นี่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลชีของนาง! มองดูรัชทายาทที่ใบหน้าซีดเซียวนอนอยู่ตรงนั้น ใจนางแทบแหลกสลาย
“จื่อถงลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้ยงเซวียนพูดเสียงอ่อนโยน จากนั้นถามหมอหลวงว่า “สภาพของรัชทายาทเป็นเช่นไร เมื่อไรจะฟื้น”
หมอหลวงที่อยู่เวรในสำนักหมอหลวงล้วนมาจนหมด ย่วนพ่าน*รีบเข้ามากราบทูลว่า “กราบทูลฝ่าบาท บาดแผลที่อื่นบนตัวองค์รัชทายาทล้วนไม่ร้ายแรง มีเฉพาะส่วนศีรษะ” พูดถึงตรงนี้เขาหยุดทีหนึ่ง “กระหม่อมใช้เข็มทองตรวจดูแล้ว ส่วนศีรษะของรัชทายาทมีโลหิตก้อนหนึ่ง หากไม่กำจัดโลหิตก้อนนี้ รัชทายาทก็ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นยังรออะไรอีก ยังไม่รีบกำจัดเลือดก้อนนั้นให้รัชทายาทอีก” ฮองเฮาร้อนรนจนทนไม่ไหว รัชทายาทนอนอยู่เช่นนี้ นางใจกระสับกระส่ายจริงๆ!
ย่วนพ่านกลับสีหน้าลำบากใจ หมอหลวงคนอื่นต่างก็หลุบหน้าต่ำลง
ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นดังนั้นจึงถามว่า “มีอะไรผิดปกติใช่หรือไม่”
ย่วนพ่านลังเลครู่หนึ่ง กล่าวราวกับยอมสละตน “กลาบทูลฝ่าบาท กระหม่อมไร้สามารถ! ก้อนโลหิตที่ส่วนศีรษะของรัชทายาทได้แต่รอให้สลายไปเอง กระหม่อมทั้งหลายไม่กล้าลงมือโดยพลการ” พูดจบเขาก็คุกเข่าลงไปอีก นั่นเป็นส่วนศีรษะนะ หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยรัชทายาทต้องตายทันที รัชทายาทตายแล้ว ทั้งสำนักหมอหลวงล้วนต้องศีรษะหลุดตาม
หมอหลวงคนอื่นก็ว่าตามกัน “พวกกระหม่อมไร้สามารถ ขอฝ่าบาทลงโทษด้วย!” แต่ละคนยิ่งหลุบศีรษะต่ำลงไปอีก ในใจเต้นรัว
ฮ่องเต้ยงเซวียนยังไม่ทันพูด ฮองเฮากลับกริ้วก่อนแล้วว่า “ไร้สามารถ หากรักษารัชทายาทไม่ได้ ข้าต้องเด็ดศีรษะพวกเจ้าแน่” จากนั้นคุกเข่าเสียงดังตุบลงข้างเท้าฮ่องเต้ยงเซวียนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียว ฝ่าบาทต้องช่วยเขานะเพคะ!”
เหล่าหมอหลวงเพียงแต่คุกเข่าโขกศีรษะว่า “ขอฝ่าบาท ฮ่องเฮาโปรดลงโทษ!” แต่ละคนในใจรันทด เพียงแต่ขอให้ฝ่าบาทสามารถลงโทษเบาหน่อยเนื่องจากเห็นแก่กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก
ฮ่องเต้ยงเซวียนสีหน้าเรียบเฉย พยุงฮองเฮาขึ้นมาก่อนว่า “จื่อถงวางใจได้ รัชทายาทเป็นบุตรชายของข้า ข้าเป็นบุตรมังกร บุตรชายของข้าก็คือบุตรมังกร เขาต้องไม่เป็นไรแน่นอน เจ้าก็เหนื่อยมานานแล้ว ที่นี่มีพระชายารัชทายาทอยู่ เจ้ากลับไปพักสักครู่เถอะ”
ฮองเฮากลับส่ายหน้าว่า “หม่อมฉันไม่เหนื่อย ต่อให้หม่อมฉันกลับไปก็ไม่อาจวางใจได้ หม่อมฉันจะเฝ้ารัชทายาทอยู่ที่นี่ ฝ่าบาท หม่อมฉันแทบอยากเป็นแทนรัชทายาทเพคะ!” คำพูดนี้กลับเป็นความจริง นางยอมให้คนที่บาดเจ็บเป็นนางเสียดีกว่า โดยที่ไม่ใช่รัชทายาทของนาง!
ฮ่องเต้สะเทือนใจยิ่งนัก ตบมือของนางว่า “ในเมื่อเจ้าไม่วางใจก็อยู่ที่นี่เถอะ เหนื่อยแล้วก็พักสักครู่ อย่าฝืนทน อย่าให้รัชทายาทฟื้นมาแล้วเจ้ากลับล้มป่วยเสียเอง พระชายารัชทายาท ดูแลฮองเฮาให้ดี”
หลังจากปลอบใจฮองเฮาแล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนถึงเบนสายตาไปที่เหล่าหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นว่า “อาการของรัชทายาทยังต้องรบกวนทุกท่านลำบากหน่อย ขอเพียงช่วยให้รัชทายาทฟื้นได้ ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม มิเช่นนั้น ฮึ!”
ความหมายของเสียงฮึคนที่อยู่ที่นี่ในใจล้วนเข้าใจดี “พวกกระหม่อมน้อมรับบัญชา” ภายใต้การนำของใต้เท้าย่วนพ่าน พวกหมอหลวงรับบัญชาตามๆ กัน ในใจกลับแอบร้องว่ารันทด ครั้งนี้เกรงว่าจะร้ายมากกว่าดีแล้ว
ฮ่องเต้ยงเซวียนรับสั่งหมอหลวงเสร็จแล้วจึงออกจากตำหนักบูรพา และพบองค์ชายรองที่รีบเร่งรุดมาข้างนอก องค์ชายรองเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรนวา “เสด็จพ่อ รัชทายาทเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับมองบุตรชายคนนี้ไม่พูด สายตาพินิจพิเคราะห์นั่นทำให้องค์ชายรองม่านตาหดโดยพลัน ในใจแอบร้องทุกข์ว่า ‘เสด็จพ่อสงสัยเขาอยู่! เสด็จพ่อจะไม่สงสัยเขาได้อย่างไร รัชทายาทเกิดเรื่องคนที่ได้รับประโยชน์ที่สุดก็คือเขามิใช่หรือ ทว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ! ได้ยินข่าวรัชทายาทตกม้าเขาก็ตกตะลึงมากเช่นกัน!’
ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมบนใบหน้าขององค์ชายรอง สีหน้าจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “รัชทายาทยังไม่ฟื้น หมอหลวงกำลังรักษาอยู่ข้างใน เจ้าห่วงใยรัชทายาทข้าปลาบปลื้มมาก กลับไปเถอะ อย่าเข้าไปวุ่นวายหมอหลวงรักษาเลย”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกน้อมรับบัญชา” องค์ชายรองตอบอย่างนอบน้อม ตามหลังฮ่องเต้ยงเซวียนกลับไป
สามวันแล้ว ผ่านไปสามวันแล้ว รัชทายาทยังไม่ฟื้น เหล่าขุนนางต่างกระเ**้ยนกระหือรือขึ้นมา หากรัชทายาทเป็นอะไรไป เช่นนั้น…พวกเขาแอบคำนวณองค์ชายไม่กี่คนที่บรรลุนิติภาวะแล้วของฝ่าบาท ในใจล้วนมีแผนการของตน
ที่จริงคนตาสว่างต่างสามารถมองออก ในบรรดาองค์ชายทั้งหลายก็มีองค์ชายรองที่โดดเด่นที่สุด เจ้าตัวมีความสามารถ นิสัยก็ถ่อมตนมีมารยาท บ้านทางมารดายังมีอำนาจ มองดูองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามอีก องค์ชายสามพิการ ถูกตัดออกตั้งนานแล้ว องค์ชายใหญ่ฐานะค่อนข้างมิอาจกล่าวถึง สามารถออกจากตำหนักโยวหมิงได้ก็ไม่เลวแล้ว ยังริอ่านคิดตำแหน่งใหญ่อีก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงรัชทายาทมีอะไรไม่คาดคิด ตำแหน่งเบื้องบนนั้นต้องเป็นขององค์ชายรองแน่แล้ว เหล่าขุนนางที่ถนัดเสาะหาช่องทางแม้ภายนอกไม่กระโตกกระตาก กลับเริ่มเอาใจองค์ชายรองลับๆ แล้ว
ส่วนองค์ชายรองบัดนี้กลับกำลังถูกด่าทออยู่ตำหนักบูรพา
“ไสหัวไป เจ้าไสหัวออกไป ไม่ต้องมาเสแสร้ง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ในใจเจ้าคิดอย่างไร ข้าจะบอกให้ เจ้าไม่มีทางสมหวังหรอก รัชทายาทของข้าต้องฟื้น ต้องดีขึ้นแน่นอน” ฮองเฮามององค์ชายรองอย่างโกรธเคือง อย่างไรนางก็เป็นมารดาของแผ่นดิน อย่างไรก็มีประสบการณ์ รัชทายาทเกิดเรื่อง ใครได้ประโยชน์ที่สุด ก็คือบุตรชายคนดีของซู่เฟยมิใช่หรือ ไม่แน่ที่รัชทายาทตกม้าก็เป็นฝีมือของเขา แล้วยังทำทีกลัดกลุ้มมาเยี่ยมที่ตำหนักบูรพาทุกวัน พังพอนอวยพรปีใหม่ให้ไก่** ไม่หวังดี!
“เสด็จแม่ ไยท่านถึงมองลูกเช่นนี้ ลูกเพียงแต่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของรัชทายาทเท่านั้น!” องค์ชายรองท่าทางเหมือนน้อยใจเต็มประดา “คำพูดบาดใจของเสด็จแม่ ลูกไม่กล้ารับจริงๆ!”
“ไม่กล้ารับก็ไสหัวไป เจ้าอย่ามาเสแสร้งอยู่นี่หน่อยเลย ออกไป ออกไป!” ฮองเฮาฮึเสียงเย็น แล้วแผดเสียงชี้ประตูตำหนัก
องค์ชายรองกำหมัดทีหนึ่ง พูดเสียงกังวานว่า “รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ เสด็จแม่ในใจท่านโศกเศร้า ลูกเข้าใจความรู้สึกของเสด็จแม่ เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน พรุ่งนี้ลูกค่อยมาเยี่ยมใหม่” คารวะทีหนึ่งแล้วถอยออกจากตำหนัก
ฮองเฮาจ้องเงาหลังขององค์ชายรอง ลึกเข้าไปในดวงตาแวบแสงอำมหิต ยากจะเข้าใจ
การถกเถียงครั้งนี้ของตำหนักบูรพาลือไปถึงหูของฮ่องเต้ยงเซวียนอย่างรวดร็ว มือที่ตรวจเอกสารชะงักทีหนึ่ง “อ้อ” เสียงหนึ่งแล้วก็ไม่เอ่ยต่อ ผ่านไปพักใหญ่ถึงพูดอีกประโยคหนึ่งว่า “ฮองเฮาเสียใจเกินไป องค์ชายรองช่างกตัญญู”
ฉินซู่เฟยกลับไม่มีการอบรมที่ดีเหมือนฮ่องเต้ยงเซวียน นางโกรธจนขว้างข้าวของ “ยัยแก่นั่น นางบังอาจย่ำยีบุตรชายข้าเช่นนี้” โมโหจะตายอยู่แล้ว โมโหจะตายแล้วจริงๆ
ย้อนกลับมาชี้บุตรชายด่าอีกว่า “เจ้าก็ด้วย คนเขาไม่พิศวาส เจ้ายังเข้าไปหาเรื่องโดนด่า ห้ามไป ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ห้ามเจ้าไปตำหนักบูรพาอีก”
องค์ชายรองกลับยิ้มว่า “เสด็จแม่วางใจได้ เสด็จแม่กำลังโกรธ ด่าสองคำไม่เจ็บไม่คัน ลูกทนได้” เขายังอยากให้ฮองเฮาด่าให้โหดกว่านี้แทบทนไม่ไหว จะได้ให้เสด็จพ่อและเหล่าขุนนางเห็นความกตัญญูรักพี่น้องของเขา
*ย่วนพ่าน คือ ตำแหน่งหนึ่งในกรมหมอหลวง
**พังพอนอวยพรปีใหม่ให้ไก่ หมายถึง การที่คนชั่วมามอบของบางสิ่งให้ เพราะมุ่งหวังสิ่งตอบแทนที่ล้ำค่ากว่า ในที่นี่เปรียบว่าพังพอนเอาของมาล่อไก่เพื่อที่จะกินไก่ตัวนั้น