ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 281-1 รัชทายาท

ฮ่องเต้ยงเซวียนตำหนิผู้ตรวจการที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดในตำหนักจินหลวน สั่งให้พวกเขาออกตรวจการนอกเมืองหลวง ความหมายคือถ้าไม่ทำผลงานก็อย่าได้กลับเมืองหลวงเลย นอกจากไม่กี่คนที่ถูกตำหนินั้น ฝ่ายตรวจการยังต้องส่งคนออกไปอีกกลุ่มหนึ่ง มิเช่นนั้นจะตรวจการแต่ละพื้นที่ของต้าหยงหมดได้อย่างไร ชั่วขณะหนึ่งทำจนคนฝ่ายตรวจการต่างอกสั่นขวัญแขวน ผู้ตรวจการตัวเล็กๆ ที่ไม่มีภูมิหลังไม่มีคนหนุนหลังต่างคอตก แม้แต่เข้าเวรก็ไม่มีชีวิตชีวา 

 

 

ไม่รู้เพราะเจ็บใจ หรือว่าอยากฉวยโอกาสก่อนไปจากเมืองหลวงใช้อำนาจในมืออีกสักครั้ง กลายเป็นว่าบนโต๊ะทรงอักษรฮ่องเต้ยงเซวียนมีฎีการ้องเรียนขุนนางมากขึ้นมา คนที่ถูกร้องเรียนสูงถึงขุนนางผู้สูงศักดิ์ ต่ำถึงขุนนางเล็กๆ ปลายแถว ส่วนโทษก็แปลกประหลาดพันลึก 

 

 

ยกตัวอย่างเช่นท่านอำมาตห์ฝัง ก็มีคนร้องเรียนว่าเขาให้ท้ายบุตรทำชั่ว บุตรชายคนเล็กของเขาอยู่ข้างนอกแย่งหญิงคณิกากับคนอื่น ลงมือลงไม้ ซ้อมคนจนกระอักเลือด 

 

 

ยกตัวอย่างเช่นซื่อจื่อจวนกงอ๋อง มีคนร้องเรียนว่าเขาโปรดอนุดับภรรยา มั่วโลกีย์ในบ้าน เพื่ออนุที่เป็นหญิงคณิกามาก่อนถึงกับกักบริเวณภรรยา อีกทั้งยังทำร้ายถึงบุตรในท้องของภรรยาด้วย 

 

 

ยกตัวอย่างเช่นเจียงเฉินผู้ติดตามส่วนพระองค์ มีคนร้องเรียนว่าเขาในฐานะขุนนางราชสำนักกลับทำการค้าแย่งผลประโยชน์กับประชา บอกว่าบนถนนใต้มีร้านเครื่องแป้งร้านหนึ่งก็เป็นของเขา 

 

 

ยกตัวอย่างเช่นผู้ดูแลฝ่ายฉางข้าวกรมคลัง มีคนร้องเรียนว่าเขาใช้ความสะดวกจากอำนาจรับสินบน 

 

 

 

 

 

ไอหยา ในท้องพระโรงครึกครื้นเหลือเกิน วันนี้เรื่องนี้ พรุ่งนี้เรื่องนั้น ฉะกันอย่างร้ายกาจ ขุนนางบุ๋นบู๊ดูจนตาค้าง รู้สึกว่าคนของฝ่ายตรวจการพวกนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือไม่ ไยถึงกัดคนไปทั่วเหมือนหมาบ้า ต่างรอดูฝ่าบาททรงพิโรธ 

 

 

ทว่าที่ทำให้เหล่าขุนนางคิดไม่ถึงคือ ครั้งนี้ความอดทนของฝ่าบาทค่อนข้างสูงทีเดียว วันๆ นั่งอยู่เบื้องบนมองดูเงียบๆ ไม่ตรัสสักคำ ก่อนเลิกประชุมโยนออกมาคำหนึ่ง “สอบ!” ทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนแอบหวาดหวั่น ‘ใจกษัตริย์ยากหยั่ง’ 

 

 

หากบอกว่าเรื่องก่อนๆ เป็นเรื่องเล็ก เช่นนั้นเรื่องต่อมากลับเป็นดั่งฟ้าผ่ากลางวัน ผู้ตรวจการหลี่แห่งฝ่ายตรวจการร้องเรียนว่าเรือนตากอากาศชานเมืองของเสนาบดีฉินซ่องสุมอาวุธหมายก่อกบฏ 

 

 

คราวนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักโกลาหลกันใหญ่ ซ่องสุมอาวุธหมายก่อกบฏ นี่เป็นความผิดใหญ่หลวงประหารเก้าชั่วโคตรเชียว ยิ่งกว่านั้นเสนาบดีฉินเป็นใคร นั่นคือขุนนางผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่าบาท บิดาแท้ๆ ของพระสนมซู่เฟยในวัง ท่านตาขององค์ชายรอง เจ้าหลี่จื้อหย่วนผู้ตรวจการตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้าใช้โทษฐานเช่นนี้ร้องเรียนเขา ไม่อยากอยู่แล้วใช่หรือไม่ เสนาบดีฉินสามารถบีบเจ้าให้ตายได้ตลอดเวลารู้หรือไม่  

 

 

ชั่วขณะหนึ่ง สายตาที่เหล่าขุนนางมองหลี่จื้อหย่วนราวกับมองคนบ้าก็ไม่ปาน ผู้ตรวจการหลี่ท่านนี้ดันยังไม่รู้ตัวอีก ยังพูดอย่างมีคุณธรรมน่าเกรงขามว่า “เพื่อแผ่นดินต้ายง กระหม่อมวอนฝ่าบาททรงตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด” 

 

 

ขุนนางในราชสำนักสองสามคนที่สนิทกับหลี่จื้อหย่วนต่างถอยหลังไปอย่างไม่ให้เห็นร่องรอย หมายห่างจากเขาหน่อย 

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนเม้มปากแน่น สีหน้าไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย ยังคงเหมือนเช่นทุกวัน โยนออกมาคำหนึ่ง “สอบ!” แล้วก็เลิกประชุม 

 

 

คนที่หน้าไร้ความรู้สึกเช่นกันยังมีเสนาบดีฉินที่ถูกร้องเรียน ท่าทางเหมือนไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมไม่กลัวผีมาเคาะประตู ยามที่หันหลังถอยออกท้องพระโรงเขากลับเรียกหลี่จื้อหย่วนไว้ว่า “ใต้เท้าหลี่ ข้าเคยล่วงเกินท่านหรือไม่” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจำใจ ราวกับถูกปรักปรำใหญ่โตอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ขุนนางที่ยังไม่เดินออกจากท้องพระโรงต่างผ่อนฝีเท้าไปตามๆ กัน เงี่ยหูฟังขึ้นมา 

 

 

หลี่จื้อหย่วนทำหน้าเที่ยงธรรม พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ไยเสนาบดีฉินถึงพูดเช่นนี้ หรือว่าเสนาบดีฉินนึกว่าข้าน้อยร้องเรียนท่านเพราะความแค้นส่วนตัวหรือ เสนาบดีฉินลบหลู่การวางตัวของข้าน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าน้อยในฐานะผู้ตรวจการ ได้รับพระกรุณาธิคุณจากฝ่าบาท การตรวจสอบเหล่าขุนนางเป็นหน้าที่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของข้าน้อย ข้าน้อยไม่มีทางพูดส่งเดช ส่วนปรักปรำเสนาบดีฉินหรือไม่ รอฝ่าบาทตัดสินก็แล้วกัน!” เขาประสานมือใส่เสนาบดีฉิน แล้วเดินออกนอกท้องพระโรงอย่างอกผายไหล่ผึ่ง 

 

 

ทิ้งเสนาบดีฉินที่งงงันยิ้มระทมอยู่ที่เดิม มีคนที่สังเกตสีหน้าเก่งเข้ามาประจบว่า “ท่านเสนาบดีไม่ต้องใส่ใจ ฝ่ายตรวจการก็คือหมาบ้าฝูงหนึ่ง” 

 

 

เสนาบดีฉินส่ายหน้ายิ้มระทมว่า “จู่ๆ เคราะห์กรรมก็ตกใส่หัว!เชื่อว่าฝ่าบาทต้องคืนความบริสุทธิ์ให้ข้าแน่นอน” ในใจรู้สึกว่าตลกจริงๆ เรือนตากอากาศที่ชานเมืองเขามีก็จริง ทว่าซ่องสุมอาวุธ นี่เป็นเรื่องไม่มีมูลจริงๆ ฝ่าบาทจะสอบก็สอบเถอะ อย่างไรเสียเขาก็ไม่เคยทำมาก่อน 

 

 

เพียงแต่หลี่จื้อหย่วนคนนี้ใจก็กล้าทีเดียว หรือว่าเบื้องหลังเขามีใครอยู่ อืม กลับไปลองตรวจสอบภูมิหลังคนผู้นี้หน่อย เสนาบดีฉินพลางเดินออกข้างนอกพลางครุ่นคิด 

 

 

หลี่จื้อหย่วนที่ถูกเสนาบดีฉินคิดถึงก็เหงื่อตกทั้งตัว เขาไม่คิดว่าเรื่องแรกที่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่มาขอช่วยเขาจะน่าตกใจปานนี้ ทว่าเขายังคงทำอย่างไม่ลังเล ไม่ต้องพูดถึงนัยมากมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ เพียงแค่นางช่วยภรรยาและบุตรสาวของตน ก็คู่ควรให้เขาขึ้นเขาลงห้วยเพื่อตอบแทนแล้ว 

 

 

เสนาบดีฉินกลับถึงจวน ก็เรียกที่ปรึกษาคนสนิทมาปรึกษา ได้ยินว่ามีคนร้องเรียนเสนาบดีซ่องสุมอาวุธ เหล่าที่ปรึกษาต่างงงเป็นไก่ตาแตก 

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน เริ่นหงซูถึงได้สติกลับมา “ท่านเสนาบดี ข้าน้อยจำได้ว่าหลี่จื้อหย่วนผู้นี้เป็นจิ้นซื่อรุ่นที่แล้ว ได้รับการชื่นชมจากผู้ตรวจการโจวมาก” ในฐานะที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติ เริ่นหงซูใช้เวลาไปกับการศึกษาตื้นลึกหนาบางในแวดวงราชการพอสมควรทีเดียว 

 

 

“หรือว่าจะเป็นความคิดของใต้เท้าโจว” ที่ปรึกษาแซ่หยางอีกท่านหนึ่งพูดขึ้นมา 

 

 

“โจวเจ๋ออวี๋!” เสนาบดีฉินตาเป็นประกาย คนนั้นไม่ธรรมดา ได้ใจฝ่าบาท อีกทั้งยังรู้จักอ่านสีหน้าคน เป็นผู้นำฝ่ายตรวจการมาสิบปีเต็มๆ แล้ว ขุนนางที่ล้มในมือเขามีไม่รู้เท่าไร ทว่าเขากลับไม่ทำให้ขุนนางในราชสำนักเกลียดชัง ตรงกันข้ามความประทับใจที่ทุกคนมีต่อเขายังไม่เลว รู้สึกว่าเขาอายุปูนนี้แล้วยังทำงานที่ล่วงเกินคนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้ฝีมือหมดจดไม่ธรรมดา 

 

 

“หากคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือเขาล่ะก็ เช่นนั้นก็…” เสนาบดีใจเต้นแรง “ฝ่าบาท!” เสียของเขาสั้นและรีบร้อน 

 

 

เหล่าที่ปรึกษาหน้าถอดสีพร้อมกัน อุทานว่า “ฝ่าบาท เป็นไปไม่ได้!” ฝ่าบาทจะสงสัยเสนาบดีได้อย่างไรกัน ยิ่งกว่านั้นยังเพราะโทษฐานที่เลื่อนลอยเช่นนี้ด้วย 

 

 

เสนาบดีฉินไม่ค่อยเชื่อการคาดเดาของตน เมื่อวานฝ่าบาทยังปรึกษาราชกิจกับเขาที่ห้องทรงอักษรด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เลย ไม่มีลางบอกเหตุเลยสักนิด! หรือว่าผู้ตรวจการแซ่หลี่คนนั้นจะใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อแสวงหาชื่อเสียงลาภยศจริงๆ 

 

 

“ใช่หรือไม่พรุ่งนี้หยั่งเชิงดูหน่อยก็รู้” เสนาบดีฉินพูดอย่างรอบคอบ หากไม่ใช่ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่เขาแล้งน้ำใจแล้วกัน ผู้ตรวจการตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็กล้ามากระโดดบนศีรษะเขา เขายังมีความน่าเกรงขามอยู่หรือไม่ 

 

 

สองวันผ่านไป ขุนนางหลายคนมาเยือนฝ่ายตรวจการ ทว่ากลับหยั่งเชิงไม่ได้อะไร ผู้ตรวจการโจวยิ้มร่าลากพวกเขาคุยสัพเพเหระ แม้แต่หลี่จื้อหย่วนที่ร้องเรียนเสนาบดีฉินคนนั้นก็ทำหน้าที่อันสมควรทำ ราวกับไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

ในยามที่เสนาบดีฉินโล่งอก บ่าวฉินชวนสีหน้าเลิ่กลั่กวิ่งเข้ามาว่า “ท่านเสนาบดี คุณชายหายไปแล้ว คุณชายผิงอันหายไปแล้ว” เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น สั่นเทิ้มไปทั้งตัว 

 

 

“อะไรนะ” เสนาบดีฉินหน้าถอดสีทันทีว่า “ไยถึงหายไป ลุงชางเล่า” 

 

 

ฉินชวนกดความประหวั่นในใจไว้ “หายไปแล้ว หายไปหมดเลย ประตูใหญ่ใส่กุญแจอยู่ คนหายไปแล้ว” เขาพูดสะเปะสะปะ 

 

 

“เจ้าค่อยๆ พูด ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ลึกเข้าไปในตาเสนาบดีฉินมีแต่ความเย็นเยียบ “เจ้าไม่ระวัจึงงถูกคนสะกดรอยใช่หรือไม่” 

 

 

น้ำเสียงวังเวงนั่นทำให้ฉินชวนอกสั่นขวัญแขวน เขาควบคุมความพรั่นพรึงในใจอย่างสุดความสามารถว่า “เปล่านะขอรับ บ่าวสาบานไม่มีเด็ดขาด แต่ละครั้งที่บ่าวออกไปล้วนระวังอย่างยิ่ง ระหว่างทางยังเปลี่ยนรถม้าสองครั้ง ไม่มีทางสะดุดตาคนแน่นอน” 

 

 

ฉินชวนสาบานพลาง แอบมองหน้าเสนาบดีฉินอย่างระมัดระวัง แล้วพูดอีกว่า “วันนี้เดิมทีไม่ใช่วันขึ้นเขา คราวที่แล้วบ่าวเพิ่งไป ลุงชางบอกว่าคุณชายผิงอันไอรุนแรงมาก ให้บ่าวส่งยาไปหน่อย พอดีวันนี้บ่าวมีเวลา จึงเจียดยารักษาอาการไอส่งไป ทว่าใครจะรู้ว่าเรือนนั้นกลับโล่งไม่มีคนแล้ว บ่าวไม่กล้าอยู่จึงรีบรุดกลับมาขอรับ” พูดจบเขาก็ตัวสั่นงันงกคุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้ามีแต่ความวิงวอน หวังเพียงเสนาบดีจะเห็นแก่ที่เขาจงรักภักดีมาหลายปีละเว้นชีวิตเขาสักครั้ง 

 

 

เริ่มตั้งแต่สิบปีก่อน เขาก็ขึ้นเขาทุกสองเดือนครั้ง ไปเรือนใหญ่นั่นดูคุณชายที่ชื่อผิงอันคนนั้นเพื่อส่งเสบียง แม้เขาไม่รู้ว่าคุณชายผิงอันท่านนั้นมีฐานะอะไร ทว่ามองดูใบหน้าที่ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้น เขาเดาได้รางๆ ว่าฐานะของคุณชายผิงอันต้องไม่ธรรมดาแน่ ในใจก็ยิ่งกลัวขึ้นเรื่อยๆ บัดนี้คุณชายผิงอันและลุงชางหายไปแล้ว เสนาบดีจะเก็บเขาไว้หรือ 

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” เสนาบดีฉินเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมา ร้องเรียนเขาเป็นเพียงหมอกควันเท่านั้น ที่แท้ผิงอันถูกพบแล้วนี่เอง! บัดนี้ในที่สุดเสนาบดีฉินก็เชื่อมโยงเรื่องราวขึ้นมาได้ ใช่ฝ่าบาทหรือไม่ ฝ่าบาทจะลงมือกับตระกูลฉินแล้วหรือ ความคิดของคนวางแผนช่างรอบคอบจริงๆ ใช้โทษฐานที่เลื่อนลอยร้องเรียนเขาก่อน ให้เขาเผลอ บัดนี้ก็ลักตัวผิงอันและลุงชางไปอีก ก้าวต่อไปก็ควร…หึๆ เดิมทีกะจะรออีกหน่อย ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะใจร้อนเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่เขาลงมือล่วงหน้าแล้วกัน 

 

 

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ในใจเสนาบดีฉินตื่นเต้นขึ้นมารางๆ เลือดแทบจะเดือดขึ้นมาแล้ว ในมือเขามีทหารฝีมือดีหนึ่งแสนนาย วางแผนมาหลายปีเพียงนี้ ไม่เพียงในวัง แม้แต่ในทหารรักษาพระองค์ก็มีคนของเขา ฮ่าๆ ก็เป็นเวลาเตือนฝ่าบาทให้แต่งตั้งรัชทายาทแล้ว! 

 

 

เสนาบดีฉินหัวเราะร่าอย่างผยอง หางตาเห็นฉินชวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “เจ้าออกไปก่อนเถอะ ช่วงนี้ไม่ต้องออกจากจวนแล้ว ปิดปากให้สนิทหน่อย ห้ามพูดถึงแม้แต่คำเดียว” 

 

 

แม้ฉินชวนไม่เข้าใจว่าเสนาบดีหัวเราะอะไร ทว่าสามารถรักษาชีวิตไว้ได้เขาก็โชคดีมากแล้ว จึงรีบโขกศีรษะทีหนึ่งแล้วไสหัวออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ว่าราชการเช้าวันรุ่งขึ้น ขุนนางหลายท่านร่วมลงนามทูลเชิญฝ่าบาทแต่งตั้งรัชทายาท เพื่อแผ่นดินที่เป็นปึกแผ่น 

 

 

เมื่อฮ่องเต้ยงเซวียนถามอย่างสบายๆ ว่า “เช่นนั้นพวกท่านคิดว่าองค์ชายคนไหนเหมาะจะเป็นรัชทายาทเล่า” 

 

 

เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างล่างสบตากันปราดหนึ่ง เลขาธิการฝ่ายพิธีการก้าวออกมาก่อน “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเสนอองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรองอุปนิสัยสูงส่งงดงาม ความสามารถโดดเด่น จิตใจบริสุทธิ์กตัญญู เป็นผู้ที่เหมาะจะเป็นรัชทายาทที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านเลขาธิการพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“กระหม่อมคิดว่าองค์ชายรองเป็นรัชทายาทเป็นความผาสุกของต้ายงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ชั่วขณะหนึ่งขุนนางครึ่งหนึ่งก้าวออกมาแสดงท่าที คนที่ไม่ได้เปิดปากนอกจากใต้เท้าผู้ชราสองสามท่านของคณะเสนาบดี ยังมีเชื้อพระวงศ์หลายคน อ้อ และยังมีเสนาบดีฉิน 

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนมองไปที่เสนาบดีฉินอย่างไม่แยแสว่า “เสนาบดีฉินคิดว่าอย่างไรเล่า” ต้องการให้เสนาบดีฉินแสดงท่าทีแล้ว 

 

 

เสนาบดีฉินพูดอย่างนอบน้อมว่า “กระหม่อมรับฟังคำวินิจฉัยของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เมื่อพูดออกไป ทั้งท้องพระโรงเงียบสงัด ผ่านไปเนิ่นนาน ฮ่องเต้ยงเซวียนถึงอืมเสียงหนึ่ง ว่า “เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทเกี่ยวพันถึงหลายฝ่าย จำเป็นต้องค่อยๆ พิจารณา” 

 

 

เหล่าขุนนางเจ้ามองดูข้า ข้ามองดูเจ้า แล้วกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า “กระหม่อมรับบัญชา” ในใจกลับวางแผนว่าไว้ค่อยยื่นฎีกา ตัวเลือกรัชทายาทเห็นชัดๆ อยู่มิใช่หรือ นอกจากองค์ชายรองแล้วยังจะเป็นใครไปได้ เวลานี้ไม่ออกแรงจะยังรอให้ถึงเมื่อไร 

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset