ณ เมืองหลวง
นกพิราบสีเทาอ่อนที่ไม่ถูกคนสังเกตเห็นตัวหนึ่งบินมาถึงเรือนหลังเล็กแห่งหนึ่ง บินลงมาเกาะอยู่บนแขนของบัณฑิตวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน บัณฑิตวัยกลางคนดึงกระบอกไม้ไผ่เล็กบนขานกพิราบออก เดินออกจากประตูด้วยความเร่งรีบ
บัณฑิตวัยกลางคนเดินผ่านตรอกซอยหลายแห่ง จนมาถึงหน้าประตูข้างของเรือนหลังหนึ่ง แลซ้ายแลขวาไม่มีใครมองอยู่จึงยกมือเคาะประตู ไม่นานประตูข้างก็ถูกแง้มออกเล็กน้อย บัณฑิตวัยกลางคนแวบเข้าไป
“นายท่าน ซีเจียงส่งข่าวมาแล้วขอรับ” บัณฑิตวัยกลางคนยื่นกระบอกไม้ไผ่เล็กให้ด้วยความเคารพนบนอบ
นายท่านผู้นั้นรับมาเทจดหมายลับข้างในออก เปิดอ่านครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ส่งให้บัณฑิตวัยกลางคน
“นึกไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พวกเขาหนีรอดไปได้ ดวงดีจริงๆ!” ในน้ำเสียงของบัณฑิตวัยกลางคนเต็มไปด้วยความเสียดาย
ทว่านายท่านผู้นั้นกลับไม่สนใจ “ช่างเถอะ เดิมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว” เขาเพียงแค่สั่งให้คนปล่อยข่าวออกไป เดิมก็ไม่ได้หวังว่าโจรภูเขาเหล่านั้นจะทำสำเร็จ แต่ว่าการเคลื่อนไหวของซีเหลียงกลับอยู่เหนือความคาดหมายเขา ยังดีที่กองกำลังหนุนเมืองชายแดนมาถึงทัน มิเช่นนั้นหากคุณชายใหญ่ผู้นั้นของจวนจิ้นอ๋องเป็นอะไรไป จักรพรรดิทรงพิโรธขึ้นมายังไม่เท่าไร แต่อาจจะเกิดปัญหาตามมามากมาย เขาไม่ได้กลัว แต่ยุ่งยากอย่างยิ่ง เวลานี้เพิ่มปัญหาไม่สู้ลดปัญหาลง
เสิ่นผิงยวนตาเฒ่าผู้นั้นเหมาะที่จะเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ บาดเจ็บนอนป่วยอยู่บนเตียงขยับไม่ได้แล้ว แต่ยังวางแผนการรบอยู่เบื้องหลังได้อีก คุ้มกันเมืองชายแดนซีเจียงได้อย่างแน่นหนา ศัตรูตัวฉกาจ ช่างเป็นศัตรูตัวฉกาจโดยแท้
ในจวนจงอู่โหว เหล่าไท่จวินตระกูลเสิ่นกับฮูหยินสวี่แม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้ก็กำลังรำพึงรำพันถึงเมืองชายแดนซีเจียงอยู่
“เชียนเกอเอ๋อร์ไปได้หลายวันแล้วใช่หรือไม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถึงซีเจียงแล้วหรือยัง เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยจากบ้านไปไกล ครั้งนี้ลำบากอย่างยิ่งแล้ว” เหล่าไท่จวินกล่าวด้วยความเป็นห่วง รักและสงสารเสิ่นเชียนหลานชายคนโตผู้นี้อย่างถึงที่สุด
ฮูหยินสวี่กล่าวโน้มน้าว “ท่านแม่วางใจ คนที่ร่วมทางไปด้วยยังมีทหารองครักษ์อีกห้าร้อยนาย เชียนเกอเอ๋อร์ไม่ลำบากหรอกเจ้าค่ะ เมื่อวานมีข่าวมาแล้วมิใช่หรือ บอกว่าท่านโหวฟื้นแล้ว อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้น มีท่านโหวคอยดูแล เชียนเกอเอ๋อร์จะต้องปลอดภัย ท่านวางใจเถิด” นางโน้มน้าวแม่สามีเช่นนี้ ทั้งยังพูดให้ตัวเองฟังด้วยเช่นกัน
สำหรับเรื่องที่ลูกชายเพียงคนเดียวเดินทางไกลไปสนามรบซีเจียงฮูหยินสวี่ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงไม่กังวล แต่ขณะที่นางเป็นห่วงก็มีสติรู้ดีว่า ลูกชายเป็นหลานคนโตในจวน นี่เป็นหน้าที่ที่เขาควรจะแบกรับ
“นั่นก็ถูก มีปู่เขาคอยปกป้องข้าเองก็วางใจลงได้เล็กน้อย” เหล่าไท่จวินเชื่อมั่นในความสามารถของสามีตนเองเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ชั่วพริบตาก็จะถึงวันที่ซวงเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือนแล้ว เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“ท่านแม่วางใจ ซวงเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของลูก ลูกจะเมินเฉยนางได้อย่างไร ทั่วทุกแห่งในจวนล้วนกำชับดีแล้ว ไม่อาจเกิดปัญหาขึ้นได้” ฮูหยินสวี่รีบกล่าว
เหล่าไท่จวินพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี แม้จะบอกว่าซีเจียงเกิดสงคราม แต่พวกเราเองก็ไม่อาจทำให้ซวงเจี่ยเอ๋อร์เดือดร้อนได้ เพียงแต่เชียนเกอเอ๋อร์ไม่อยู่ ไม่อาจส่งน้องสาวเขาออกจากเรือนด้วยตัวเองได้” เหล่าไท่จวินกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“นี่เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้มิใช่หรือ มีซื่อจื่ออยู่ ฝั่งพี่ชายพี่สะใภ้ข้าก็ไม่อาจแสดงท่าทีไม่พอใจได้แล้ว”
เหล่าไท่จวินพยักหน้าอีกครั้ง “จวนราชเลขาเป็นตระกูลที่มีเหตุผลที่สุด ซวงเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วข้าก็วางใจอย่างยิ่ง” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้บอกหรือว่าจะกลับมาเมื่อไร พี่สาวจะออกเรือนอยู่แล้วนางจะไม่กลับมาส่งสักหน่อยหรือ” ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจ
ฮูหยินสวี่ได้ยินแล้วหนังตาก็กระตุก นึกถึงคุณชายสี่ที่มีที่มาไม่ชัดเจนในจดหมายของลูกชาย นึกถึงเรืองเฟิงฮวาที่ปิดประตูเรือนสนิทก็รีบเกลี้ยกล่อม “เวยเจี่ยเอ๋อร์อยากมา แต่นางไปวัดต้าเจวี๋ยเพื่อถือศีลขอพรให้ท่านโหว ไหนเลยจะล้มเลิกกลางคันได้ ซวงเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานอยู่ในเมืองหลวง พี่น้องสามารถพบหน้ากันได้บ่อยๆ อยู่แล้ว อย่างไรเสียขอพรก็ยังสำคัญกว่า”
ไม่ว่าคุณชายสี่ผู้นั้นที่เมืองชายแดนซีเจียงจะใช่เวยเจี่ยเอ๋อร์หรือไม่ นางก็ต้องช่วยปิดบังไว้ก่อน
“ช่างเถอะๆ ตามใจนางแล้วกัน อย่างไรเสียข้าก็ควบคุมนางไม่ได้” เหล่าไท่จวินโบกมือ ท่าทางไม่ได้สนใจ
เสิ่นเวยแค้นเคืองจนขังตัวเองไว้ในห้องไม่ยอมพบหน้าใครราวกับนกกระจอกเทศ แม่ทัพอู่เลี่ยจางเฮ่าหรานกลับชื่นชมเสิ่นเวยกับท่านเสิ่นโหวอย่างไม่ขาดปาก บ้างก็บอกว่าคุณชายสี่ตระกูลท่านมีอนาคตยิ่งนัก บ้างก็บอกว่าคุณชายสี่ตระกูลท่านวิทยายุทธ์ดีจริงๆ มีความสามารถไม่ธรรมดา บ้างก็บอกว่าท่านมีทายาทสืบทอดแล้ว ภายหลังก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้ว
ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรล้วนแต่สืบถามว่าเสิ่นเวยอายุเท่าไรแล้ว แต่งงานแล้วหรือยัง อีกทั้งยังเอ่ยว่าตระกูลตนมีบุตรสาวที่ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เจตนานั้นอย่าว่าแต่คนฉลาดเช่นท่านเสิ่นโหวและสวีโย่ว ต่อให้เป็นเถาฮวาที่โง่เขลาก็ยังรู้ว่าท่านลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่นฟ้าผู้นี้สนใจคุณชายของตน
กว่าจะส่งจางเฮ่าหรานไปได้ ในห้องก็เหลือเพียงท่านเสิ่นโหวกับสวีโย่วสองคน
ท่านเสิ่นโหวมองประเมิณชายหนุ่มที่แม้ว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นก็ยังมีท่าทางทรงพลัง แววตามีความชื่นชมแวบผ่าน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ความสุขุมนี้ก็เหมาะสมกับเจ้าสี่แล้ว
“เจอเจ้าสี่แล้วหรือยัง” ท่านเสิ่นโหวเอ่ยปากก่อน ในน้ำเสียงมีการหยั่งเชิง ในมุมมองของเขาหลานสาวเขาดีอย่างถึงที่สุด แต่หลานสาวที่ดีอย่างถึงที่สุดของเขากลับไม่สอดคล้องกับรสนิยมความชอบของคนในยุคนี้ ตอนนี้ทุกคนต่างก็คิดว่าสตรีจะต้องเพียบพร้อมสุภาพเรียบร้อยช่วยแบ่งเบาภาระสามีสอนบุตร แม้ว่าจะมีการสมรสพระราชทาน แต่ใครจะรู้ว่ารสนิยมของคุณชายใหญ่ผู้นี้แห่งจวนจิ้นอ๋องจะเหมือนกับคนในยุคนี้หรือไม่ หากเขารังเกียจคุณหนูสี่จะทำอย่างไรเล่า
สวีโย่วฉลาดอย่างยิ่ง มองแวบเดียวก็รู้ความคิดของท่านเสิ่นโหวแล้ว เขาวางแก้วชาในมือลง กระตุกมุมปาก กล่าว “นางดียิ่งนัก” นี่คือสตรีที่ตรงใจเพียงผู้เดียวที่ได้พบเจอตลอดชีวิตยี่สิบสองปีของเขา จะไม่ดีได้อย่างไร
ท่านเสิ่นโหวหน้าหนายิ่งนัก ถูกชนรุ่นหลังอ่านความคิดออกสีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว เขาชายตามองสวีโย่วปราดหนึ่ง ยุแหย่ขึ้นมา “ฟังว่าร่างกายเจ้าไม่ดีหรือ” เมื่อได้ยินว่าสวีโย่วไม่มีความคิดรังเกียจหลานสาวเขา ท่านเสิ่นโหวกลับยิ่งไม่ชอบหน้าเขา
ร่างกายไม่ดีไม่แน่ว่าชะตาชีวิตสั้น เจ้าสี่แต่งเข้าไปแล้วใช่จะต้องเป็นหม้ายหรือไม่ หลานสาวที่แสนดีของเขาแต่งงานกับคนไม่ได้ความ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ
“ท่านโหววางใจ แม้ร่างกายข้าน้อยจะไม่ดี แต่อยู่ต่ออีกห้าสิบหกสิบปีก็ไม่มีปัญหา” สวีโย่วกล่าว
อย่างเบาสบาย ตั้งแต่ที่ตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับเด็กคนนั้น เขาก็ไม่เพียงแต่ไม่ดูถูกตัวเองอีก ซ้ำยังให้ความร่วมมือกับแผนการรักษาของหมอเทวดาหลี่ด้วยความกระตือรือร้น เพียงแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อให้นานอีกหน่อย อยู่กับเด็กคนนั้นไปอีกหลายๆ ปี อย่างดีที่สุดก็สามารถมีทายาทให้เด็กน้อยได้
นิสัยของเด็กน้อยเขาทราบดี นางเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก ไม่แน่ว่าหากเขาเข้าโลงก่อน หลังจากนั้นนางก็จะหอบข้าวหอบของหนีไปมีชีวิตใหม่ หากบนเส้นทางชีวิตใหม่มีผู้ชายที่ดูดีเหมือนเขา เช่นนั้นผลลัพธ์เขาเองก็ไม่กล้าคิด
ดังนั้นต้องมีทายาท ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขัดขานางไว้ สิ่งที่ทำให้เขาพอใจก็คือ หมอเทวดาหลี่บอกแล้วว่า ขอเพียงแค่เขาให้ความร่วมมือ ไม่ดูถูกร่างกายตัวเอง การมีทายาทก็ยังมีหวังอย่างยิ่ง ไม่เห็นหรือว่าภายใต้สถานการณ์อันตรายเช่นการพบทหารซีเหลียงครั้งนี้เขาไม่ได้บุ่มบ่ามใช้กำลังภายในเลย
แต่ว่าทางที่ดีที่สุดก็คือมีชีวิตให้นานอีกหน่อย ผูกมัดเด็กน้อยคนนั้นไว้แน่นๆ ข้างกายตน
ท่านเสิ่นโหวถูกดักเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ชอบหน้าสวีโย่วแล้ว เห็นเป็นคุณชายอ่อนแอคนหนึ่ง อันที่จริงแล้วก็แค่แกล้งซื่อเป็นแมวนอนหวด ความจริงแล้วเป็นลูกหมาป่าต่างหาก
ถูกต้อง ตอนนี้สวีโย่วในใจของท่านเสิ่นโหวเป็นลูกหมาป่าตัวหนึ่ง ลูกหมาป่าที่คิดจะคาบหลานสาวสุดที่รักของเขาไป
ชั่วขณะท่านเสินโหวก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยต่อแล้ว ไปเถอะๆ รีบไปเถอะ อย่ามาขวางหูขวาตาข้าที่นี่ หลานสาวที่มากความสามารถของข้า น่าเจ็บใจ น่าผิดหวังนัก ท่านเสิ่นโหวปวดใจจริงๆ
ท่านเสิ่นโหวปวดใจ ข้าวเย็นก็กินไปได้แค่ครึ่งถ้วย คิดไปคิดมาก็ลากหลานสาวผู้มากความสามารถของเขาเข้ามา
“เจ้าสี่ พวกเราถอนหมั้นดีหรือไม่” ท่านเสิ่นโหวทอดถอนใจอยู่นาน จู่ๆ ก็พูดประโยคนี้ออกมา
เสิ่นเวยตกใจ มองปู่นางแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรไปท่านปู่” ตอนที่นางไม่อยู่สวีโย่วเจ้าโรคจิตผู้นั้นพูดอะไรกับท่านปู่ หรือว่าไม่พอใจนางงั้นหรือ การสมรสครั้งนี้ไม่ใช่เขาเป็นคนขอเองหรอกหรือ
ท่านเสิ่นโหวมองหลานสาวตัวน้อยของเขา อยากพูดแต่ก็ไม่พูด
เสิ่นเวยก็ยิ่งสงสัย “ท่านปู่ จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ยังถอนหมั้นได้อีกหรือ” หากเจ้าโรคจิตคนนั้นเสียใจไม่พอใจการแต่งงานครั้งนี้จริงๆ นางจะต้องยินดีถอนหมั้นอย่างแน่นอน นางยังไม่ทันได้รังเกียจสภาพเลวร้ายในจวนจิ้นอ๋องของเขาเลย
แต่ไม่ใช่บอกไว้หรือว่าการสมรสพระราชทานยกเลิกไม่ได้ ไม่เพียงแต่ยกเลิกไม่ได้ ยังไม่อนุญาตให้หย่าร้างอีกด้วย นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นการทำร้ายสตรีที่ไร้ความผิดไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
ท่านเสิ่นโหวเห็นหลานสาวของเขาไม่ได้มีท่าทีว่าจะต้องแต่งงานกับคุณชายใหญ่สวีให้ได้ ในใจก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าการสมรสพระราชทานกลับเป็นเรื่องที่จะจัดการได้ยากจริงๆ เขาคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “หากครั้งนี้พวกเราปกป้องซีเจียงไว้ได้ ปราบซีเหลียงแพ้ราบคาบ ก็อาศัยคุณงามความดีนี้ บวกกับเกียรติยศของปู่ จักรพรรดิจะต้องไว้หน้าอยู่บ้างแน่”
เสิ่นเวยขมวดคิ้วคิดถึงความเป็นไปได้นี้รอบหนึ่ง เหลือบตาขึ้นก็เห็นความเจ้าเล่ห์แวบผ่านในแววตาของท่านปู่ นึกโมโหทันที “นี่ท่านปู่ ท่านล้อข้าเล่นหรือไร”
จะถอนหมั้น พระราชโองการเป็นสิ่งที่ยกเลิกได้ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ พระพักตร์จักรพรรดิตบง่ายเพียงนั้นเลยหรือ ต่อให้ท่านปู่จะอาศัยเกียรติและคุณูปการในการรบมาถอนหมั้น แต่จักรพรรดิจะสบายพระทัยได้หรือ คนที่ควรถือหางให้ท้ายที่สุดในใต้หล้าก็คือจักรพรรดิ เจ้าทำให้เขาไม่สบายใจเขาก็สามารถทำให้เจ้าลำบากไปตลอดชีวิตได้
เช่นนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงเช่นนางก็อย่าได้คิดว่าจะได้แต่งออกเรือนเลย ไม่เป็นยายแก่อยู่ในบ้านไปตลอดชีวิต ต้องอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดกาล แม้ว่านางจะไม่สนใจเรื่องแต่งงาน แต่ก็ไม่อยากแต่งงานไม่ได้อีกเลยนะ
ยังมีจวนจงอู่โหว นับแต่นี้ไปจะต้องถูกจักรพรรดิตัดออกจากศูนย์กลางอำนาจ น้องชายที่นางเลี้ยงดูอย่างยากลำบากก็อย่าได้คิดจะเชิดหน้าชูตาอีกเลย
ผลที่ตามเหล่านี้ท่านปู่จะไม่รู้ได้อย่างไร เขาจะโง่แลกอนาคตทั้งหมดของจวนโหวเพื่อหลานสาวเพียงคนเดียวงั้นหรือ ไม่ใช่ว่านางดูถูกตัวเอง แต่นางยังไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้นจริงๆ
“ว่ามาๆ คุณชายใหญ่สวีทำอะไรให้ท่าน หรือจะพูดว่าท่านไม่พอใจเขาตรงไหน” เสิ่นเวยกล่าว
อย่างอารมณ์ไม่ดี
ไม่ผิดที่นางคิดเช่นนี้ บางครั้งสวีโย่วเจ้าโรคจิตผู้นั้นก็ชอบยั่วโมโหคนจริงๆ แต่ยั่วโมโหก็ยั่วโมโหเถอะ หนุ่มรูปงามแซ่สวีก็ยังคงพาออกงานได้ ปู่นางไม่ชอบเขาตรงไหนกัน
ท่านเสิ่นโหวถูกหลานสาวพูดตรงใจ กลับยิ่งมีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดมากขึ้น “เขาร่างกายไม่ดี” ราวกับไก่อ่อน ไหนเลยจะคู่ควรกับหลานสาวที่ดีเลิศของเขาได้
“เขาร่างกายไม่ดีหรือ” เสิ่นเวยร้องประหลาดใจหนึ่งครา “ท่านไปได้ยินมาจากไหนว่าเขาร่างกายไม่ดี” กำลังภายในชายผู้นั้นฝึกฝนจนยอดเยี่ยม แม้แต่ปราณก็ยังเก็บงำไว้ได้ราวกับคนธรรมดา ร่างกายจะไม่ดีได้อย่างไร
“ไม่ใช่พูดกันหรือว่าเขาร่างกายไม่ดี หนึ่งปีพักรักษาตัวอยู่บนเขาเกินครึ่งปี” ท่านเสิ่นโหวยังคงถกเถียงอย่างมั่นใจ
เสิ่นเวยกลอกตากล่าวว่า “ไม่ใช่ว่ามีคนบอกว่าหลานร่างกายอ่อนแอจนต้องกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านเก่าในชนบทด้วยเหมือนกันหรือ ท่านปู่ คนฉลาดไม่เชื่อข่าวลือนะ”
ท่านเสิ่นโหวถลึงตา “ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น เรื่องราวต้องมีเหตุมีผลเสมอ เจ้ายังเล็ก อย่าได้ถูกเขาหลอกลวงเอาได้”
เห็นท่าทางที่แค้นเคืองเช่นนั้นของท่านปู่ ในที่สุดเสิ่นเวยก็เข้าใจแล้วว่าเขาเป็นอะไร “ท่านปู่วางใจเถอะ หลานท่านฉลาด ไม่ถูกหลอกหรอก ไม่ใช่ว่าหลานท่านเชื่อมั่นในตัวเองอย่างยิ่งหรือ คุณชายใหญ่สวีเองก็ชอบหลานท่านยิ่งนัก” ไม่ต้องถามว่าเสิ่นเวยเอาความมั่นใจมาจากไหน นางมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ คุณชายใหญ่สวีเป็นใครกัน ไม่ชอบนางแล้วจะปีนกำแพงมาหานางตอนกลางดึกยามสามหรือ
ท่านเสิ่นโหวมองท่าทางปลื้มอกปลื้มใจของหลานสาวเขา ชั่วขณะก็โมโหสุดขีด ดูเอาเถิด ดูเอาเถิด ต่อให้เป็นสตรีที่มากความสามารถก็ผ่านด่านรักไปไม่ได้ นี่ขนาดยังไม่แต่ง นางก็ช่วยเขาพูดแล้ว
“เจ้า เจ้านี่มัน เหอะ เจ้าวัวลืมตีน!” ท่านเสิ่นโหวยื่นมือชี้เสิ่นเวย ถอนหายใจ
เสิ่นเวยยื่นมือปัดนิ้วของปู่นางลงทันที โมโหกล่าว “วัวลืมตีนอะไรเล่า! หากข้าเป็นวัวลืมตีนก็คงอยู่เสวยสุขในเมืองหลวงไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังออกเงินออกแรงววิ่งมาลำบากถึงซีเจียง ท่านน่ะ รีบไปล้างหน้าล้างตานอนเสีย คิดมากไปไม่ดีต่อร่างกาย เรื่องคุณชายใหญ่สวีท่านก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้วก็แค่พูดจาดีๆ ให้ท่านฟังไม่ใช่หรือ พอแล้วๆ กลับไปข้าจะไปพูดกับเขา ให้เขารินน้ำชาขอขมาท่านพอใจหรือยัง”
จริงๆ เลย ศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ละคนก็ชอบหาเรื่องอยู่นั่น