เรื่องที่สองที่เสิ่นเวยทำก็คือการศึกษา ใช้เวลาสิบปีเพื่อปลูกต้นไม้ แต่ใช้เวลาร้อยปีเพื่อสร้างคน การศึกษาต้องเริ่มตั้งแต่ยังเล็ก
เสิ่นเวยเลือกเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่อายุมากกว่าสิบปีไม่เกินสิบห้าปีภายในขอบเขตเมืองชายแดนทั้งหมด พวกเขาอาจจะเป็นเด็กกำพร้าจากสงครามก็ได้ เป็นลูกหลานของประชาชนทั่วไปก็ได้ หรือว่าจะเป็นลูกหลานของนายทหารแม่ทัพในกองทัพก็ได้เช่นกัน ขอเพียงแค่สมัครใจมา ขอเพียงแค่ผ่านมาตรฐานการคัดเลือก เสิ่นเวยก็รับหมด คนที่ถูกเลือกทั้งหมดจะเข้าไปอยู่ในจวนโหว ทุกๆ ครึ่งเดือนจึงจะได้กลับบ้านหนึ่งครั้ง
เสิ่นเวยอยากก่อตั้งกองทหารเด็กหนึ่งกลุ่ม ไม่เพียงแต่แป็นเพราะสงครามครั้งนี้กับซีเหลียง แต่นางยังอยากสร้างเชื้อเพลิงกลุ่มเล็กไว้ที่เมืองชายแดนซีเจียง ขอเพียงแค่เมืองอยู่ คนอยู่ เชื้อเพลิงก็ลุกโหมไม่ดับ
เด็กผู้ชายส่งไปให้โอวหยางไน่ฝึกฝน เด็กผู้หญิงก็ให้เสี่ยวตี๋ฝึกฝน นอกจากรู้ตัวอักษรแล้ว เสิ่นเวยยังให้พวกนางคัดตำราพิชัยสงครามทั้งเล่ม พูดสามสิบหกกลยุทธ์ออกมาเป็นภาษาเรียบง่ายที่ง่ายต่อการเข้าใจส่วนที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นการฝึกฝนความแข็งแกร่ง ทักษะการต่อสู้และการตั้งแถว เช้าตรู่ของทุกวันจะได้ยินเสียงเด็กๆ ตะโกนหมายเลขประจำตัววิ่งรอบสนามฝึก เสียงที่เยาว์วัยแต่กลับมีพลังพร้อมเพรียงเพิ่มชีวิตชีวาให้จวนโหว ทำให้คนมีกำลังฮึกเหิม เสมือนเห็นความหวังและแสงสว่าง
เมื่อเสิ่นเวยว่างก็จะวิ่งไปสอนกลุ่มทหารเด็ก อธิบายตำราพิชัยสงครามให้พวกเขาฟัง พาพวกเขาไปฝึกทหาร เพียงแค่ครั้งเดียวก็จัดการพวกเขาได้อย่างว่านอนสอนง่าย สายตาของทุกคนที่มองเสิ่นเวยต่างก็มีความเลื่อมใสที่เป็นประกาย แต่ละคนต่างพูดว่า ‘คุณชายของพวกเรา’
โดยเฉพาะเด็กที่อายุสิบสี่สิบห้าปี ความเคารพที่มีต่อเสิ่นเวยก็ยิ่งมาก เดิมก็โตไม่ต่างกันนัก พวกเขายังโง่เขลา แต่คุณชายสี่ของพวกเขากลับชำนาญทั้งบุ๋นทั้งบู๊ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
ทหารเด็กอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต บวกกับปริมาณการฝึกฝนที่มากอย่างยิ่งในทุกวัน ดังนั้นอาหารของพวกเขาจึงดีอย่างถึงที่สุด นอกจากตอนเช้าแล้ว เที่ยงกับเย็นล้วนแต่มีเนื้อ ไขมันเพียงพอ เพื่อที่จะมีเนื้อให้พวกเขา เสิ่นเวยจึงพาคนไปล่าสัตว์บนเขาอันตรายเป็นประจำ
กลุ่มทหารเด็กต่างก็พูดว่า เป็นเพราะกินอาหารเช่นนี้ พวกเขาจึงต้องฝึกฝนอย่างหนัก มิเช่นนั้นไหนเลยจะคุ้มค่ากับความพยายามของคุณชายสี่
คนในจวนโหวเมืองชายแดนก็รู้สึกว่าหลังจากที่คุณชายสี่มา คุณภาพอาหารในจวนก็สูงขึ้น ตอนนี้พวกเขาไม่เพียงแต่สวมเสื้อที่อบอุ่น แต่ทุกวันยังได้กินเนื้อ ช่วงนี้อากาศหนาวแล้ว ครัวใหญ่ในจวนเตรียมแกงเนื้อแกะที่เข้มข้นไว้ทุกวัน ฉีกแป้งทอดเป็นชิ้นเล็กๆ ลงในแกง ได้กินคนละหนึ่งถ้วยใหญ่ ชีวิตดียิ่งกว่าเทพเซียน
อะไรนะ เจ้าบอกว่านอกเมืองชายแดนมีกองทัพซีเหลียงจ้องมองตาเป็นมันอยู่ ไหนเลยจะมีแกงเนื้อแกะให้กิน หึ นี่เจ้าคงไม่รู้สินะว่า ใต้บังคับบัญชาคุณชายสี่มีกลุ่มพ่อค้าสองกลุ่ม ทั้งสามารถทำการค้าขายทั้งสามารถสู้รบได้ ทุกๆ สิบวันถึงครึ่งเดือนก็จะไปมาส่งของที่เมืองชายแดนหนึ่งเที่ยว สาหร่ายจากทะเลต่างๆ กุ้งข้าวสาร ผักแห้งต่างๆ เห็ดแห้งเห็ดสด ของกินของใช้ล้วนมีหมด ครั้งก่อนยังนำแกะเป็นๆ หลายร้อยตัวมาให้อีกด้วย
คุณชายสี่บอกแล้วว่า แกะเหล่านี้จะกินหมดไม่ได้ ต้องเลี้ยงไว้ ให้แม่แกะคลอดลูกแกะเยอะๆ เช่นนี้ภายหลังพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีแกะกิน
หน้าที่เช่นการเลี้ยงแกะนี้ถูกพี่จางที่ทำงานในครัวแย่งไปแล้ว เขาบอกว่าตอนเขาเด็กๆ เคยเลี้ยงวัวที่บ้านตา วัวกับแกะเป็นปศุสัตว์เหมือนกัน เขามีประสบการณ์ จะต้องเลี้ยงแกะให้ดีได้แน่นอน ทุกคนต่างก็อิจฉาเขา
แต่ว่าคุณชายสี่บอกแล้วว่า เขายังมีงานอื่นให้อีก ช่วงนี้เขากำลังจะปลูกผักสด
เจ้าบอกว่าฤดูหนาวไหนเลยจะยังปลูกผักได้ แสดงว่าเจ้าขาดความรู้ใช่หรือไม่ คุณชายสี่บอกว่าครอบครัวใหญ่ในเมืองหลวงได้กินผักสดในช่วงฤดูหนาว เอามาจากไหน แน่นอนว่าต้องปลูก แต่ว่าต้องปลูกในห้องอุ่นอะไรสักอย่าง หากปลูกข้างนอก ไม่ใช่ว่าจะหนาวตายหมดหรือ โดยเฉพาะฤดูหนาวในซีเจียงที่หยดน้ำยังแข็งเป็นน้ำแข็ง
ซีเจียงของเราไม่มีห้องอุ่นก็จริง แต่ฤดูหนาวทุกๆ บ้านในซีเจียงของเราต่างก็ต้องมีเตียงเตาผิง คุณชายสี่บอกว่าปลูกบนเตียงเตาผิงก็ได้แล้ว คนที่ว่างงานในจวนต่างก็วิ่งมาช่วย ใช้แผ่นไม้ตอกเป็น**บไม้แต่ละใบๆ ข้างในใส่ดินไว้ หว่านเมล็ดผักลงไป รดน้ำ วางไปบนเตียงเตาผิงที่ก่อไฟจนอุ่น
เจ้าอย่าเอ็ดไป มหัศจรรย์จริงๆ สามถึงห้าวันให้หลัง ในกล่องไม้เหล่านั้นก็มีสีเขียวงอกออกมาแล้ว ผ่านไปสองวันต้นอ่อนเล็กๆ เหล่านั้นก็เติบโตแล้ว มองหน่ออ่อนเล็กๆ ที่ทำให้คนมีความสุขแต่ละต้นๆ นั้น ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ทุกวันเอาแต่แย่งกันรดน้ำ ดูแลอย่างดีที่สุด
“ท่านปู่ ลองชิมดู ผัดผักจานนี้ที่เมืองหลวงหากไม่มีเงินสองตำลึงท่านก็กินไม่ได้ หลานนำมามอบให้ท่าน” เสิ่นเวยยกผัดผักหนึ่งจานยิ้มแย้มขอความดีความชอบจากปู่นาง นี่เป็นผักต้นแรกที่นางปลูกได้
แม้ว่าตระกูลสูงส่งในเมืองหลวงจะมีผักสดใหม่กินในฤดูหนาว แต่ก็ไม่ได้มีกินเป็นประจำ อย่างไรเสียต้นทุนห้องอุ่นก็สูงเกินไป ที่สำคัญที่สุดก็คือฝีมือ ชาวนาที่ทำห้องอุ่นเป็นก็มีไม่มาก ดังนั้นราคาผักสดในฤดูหนาวของเมืองหลวงจึงค่อนข้างสูง มีเพียงเหล่าเจ้านายในจวนที่ได้กินเป็นประจำ อีกทั้งยังต้องเป็นเจ้านายที่ได้รับความโปรดปรานจึงจะได้กิน สำหรับลูกอนุภรรยาที่ไม่ได้รับความโปรดปราน อี๋เหนียง เหล่าคนใช้ ก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตากินผักดองเค็มไป
“เจ้าเอาทักษะมากมายเพียงนี้มาจากไหน แม้แต่สิ่งนี้ก็ทำได้” ท่านเสิ่นโหวยังคงรับตะเกียบเข้ามาชิมจริงๆ
เสิ่นเวยกะพริบตา เอ่ยปากกล่าว “นี่ไม่ใช่ว่าหมู่บ้านตระกูลเสิ่นเคี่ยวเข็ญมาหรือ ฤดูหนาว บ้านยากจน หมดหนทาง ก็ต้องปลูกผักด้วยตัวเองมิใช่หรือ ตอนนั้นแม้แต่ฝืนเตียงผิงไฟยังไม่พอ ได้แต่ใช้ผ้านวมคลุมผักให้ความอบอุ่น คิดถึงวันนั้นแล้วก็ลำบากจริงๆ” เสิ่นเวยบ่นถึงความลำบากขึ้นมาก็มักจะพูดได้ไม่เต็มปาก
ชั่วขณะท่านเสิ่นโหวก็รู้สึกว่าผักในปากยากจะกลืนลง เจ้าสี่ดีทุกอย่าง เว้นเสียแต่ใจแคบ คิดอาฆาตเกินไป เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็พูดเป็นแปดร้อยรอบไม่มีวันลืม
“ข้าให้เงินเจ้าหนึ่งหมื่นตำลึงแล้วไม่ใช่หรือไร” ท่านเสิ่นโหวกล่าว
เสิ่นเวยแสยะปาก “ไอ๊หยาท่านปู่ เลี้ยงบุตรสาวอย่างคนรวยเลี้ยงบุตรชายอย่างคนจน ท่านลองไปสืบถามในเมืองหลวงดู บุตรสาวตระกูลใดบ้างที่ไม่ถูกเลี้ยงมาบนกองเงินกองทอง เงินหนึ่งหมื่นตำลึงนั้นที่ท่านให้มาพอทำอะไรได้บ้าง หากไม่ใช่ว่าหลานขยันมีความสามารถ ก็คงจะหิวตายหนาวตายอยู่ที่บ้านเก่าหมู่บ้านตระกูลเสิ่นไปนานแล้ว ท่านจะไปหาหลานกตัญญูเช่นข้าได้ที่ไหนอีก ท่านรอเสียใจทีหลังได้เลย”
ท่านไม่ชอบฟัง ข้าก็จะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกชายท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่เป็นธรรม บุตรใช้หนี้แทนบิดา ก็เหมือนกับที่ท่านรู้สึกผิดต่อข้า เป็นหนี้ข้านั่นแหละ
ชั่วขณะท่านเสิ่นโหวก็กลัดกลุ้ม “พอแล้วๆ รู้แล้ว เงินส่วนตัวแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง วางใจเสียเถอะ ไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก” เขารีบยกมือหยุดไม่ให้หลานสาวพูด เด็กคนนี้ ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว อืม นิสัยนี้ช่างเหมือนเขาจริงๆ
“ห้องอุ่นปลูกผักได้จริงๆ หรือ” ท่านเสิ่นโหวเหลือบมองผักจานนี้ตรงหน้าแล้วกล่าวถาม เจ้าอย่าเอ็ดไป รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ
“แน่นอนว่าได้ ท่านก็เห็นกับตาแล้วไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยกล่าว “หลานคิดว่า ทหารกินผักเยอะหน่อยจะดีกว่า ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน มิเช่นนั้นซีเหลียงมาโจมตีกลางดึกแล้ว ทหารของพวกเรามองอะไรไม่ชัด ไม่ใช่เรื่องน่ากลัดกลุ้มหรอกหรือ”
คิดๆ ดูแล้วเสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “เพียงแต่คิดๆ ดูแล้วผักที่พวกเราปลูกในจวนโหวเหล่านี้จะมีไม่พอทหารทั้งกองทัพ แต่ยังมีประชาชนเมืองชายแดนอยู่ พวกเราแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ ให้ชาวบ้านช่วยพวกเราปลูก พวกเราก็ค่อยใช้เงินแลกมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“ชาวบ้านจะปลูกเป็นหรือ เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าไม่ได้ปลูกกันง่ายๆ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านเสิ่นโหวสนใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงลังเลเล็กน้อย
เสิ่นเวยแสยะปาก “ไม่เป็นก็สอนพวกเขาสิ ของแบบนี้พูดว่าปลูกง่ายก็ปลูกง่าย พูดว่าปลูกยากก็ปลูกยาก ขอเพียงรักษาความอุ่นกับดูแลปริมาณน้ำให้ดีก็ปลูกได้แล้ว พวกเราก็ไม่ได้ต้องการให้มันออกมาสวยอะไร แค่กินได้ก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน” ท่านเสิ่นโหวตัดสินใจเสียงหนักแน่น “ลูกน้องเจ้ายังมีกำลังคนอยู่หรือไม่ ให้ปู่หาคนให้เจ้าอีกหรือไม่” เขากำลังคิดอยู่ในหัวว่ามีใครเหมาะสมจะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้บ้าง
เสิ่นเวยส่ายหน้า “ลูกน้องข้ามีชวีไห่คนเดียวที่เหมาะสม แต่ในมือเขายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ” หยุดครู่หนึ่งแล้วเสิ่นเวยจึงเสนอ “หลานคิดว่าท่านอาสะใภ้เฉิงตระกูลแม่ทัพฟังเหมาะจะรับหน้าที่นี้”
อาสะใภ้เฉิงคือฮูหยินของแม่ทัพฟังต้าฉุย เป็นสตรีที่ตรงไปตรงมามองโลกในแง่ดีมากเป็นพิเศษ และไม่รังเกียจความยากลำบากที่เมืองชายแดน ตามฟังต้าฉุยมาอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ทั้งสองมีบุตรชายสามคน ปีนี้บุตรชายคนเล็กอายุสิบสามปี อยู่ในกองทหารเด็กของเสิ่นเวยด้วย
นางเจอเสิ่นเวยครั้งแรกก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ‘เรียกฮูหยินอะไรกัน บ้านมารดาข้าแซ่เฉิง เจ้าเรียกข้าว่าอาสะใภ้เฉิงก็พอแล้ว’
ความประทับใจที่เสิ่นเวยมีต่อนางไม่เลวเลยทีเดียว ฟังต้าฉุยเองก็มียศลำดับสาม นางยินยอมพร้อมใจที่จะลำบากอยู่ที่เมืองชายแดนกับสามี อีกทั้งยังใช้ชีวิตผ่านไปอย่างมีสีสัน คนยังร่าเริงชอบยิ้มมากเป็นพิเศษ คนผู้นี้แทบจะไม่มีตรงไหนที่แย่เลย
“ในจวนพวกเรามีผู้ชำนาญการ ส่งพวกเขาออกไปสอน ท่าอาสะใภ้เฉิงเป็นผู้รับผิดชอบหลักในเรื่องนี้ ต้องสำเร็จแน่นอน” เสิ่นเวยรู้สึกว่าหากอาสะใภ้เฉิงอยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องเป็นยอดฝีมือหญิงที่กล้าคิดกล้าทำแน่นอน
“นางหรือ ได้อยู่” ท่านเสิ่นโหวเองก็ประทับใจครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชาเล็กน้อยเช่นกัน “เจ้ามีสายตาเฉียบแหลม ฮูหยินของฟังต้าฉุยเป็นคนสบายๆ”
เสิ่นเวยตาลุกวาว จู่ๆ ก็กล่าว “ท่านปู่ คนอื่นก็มีบ้านมีครอบครัวแล้ว ท่านแก่แล้วเหตุใดถึงไม่มีสตรีสาวๆ รู้อกรู้ใจอะไรเลยเล่า ท่านอยู่คนเดียวในจวนโหวที่ใหญ่เช่นนี้ ช่างเหงายิ่งนัก” เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ ข้างกายแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลด่านชายแดนจำนวนมากต่างก็มีอี๋เหนียงกับบุตรชายบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาทั้งนั้นมิใช่หรือ
ท่านเสิ่นโหวได้ยินแล้วชาแทบจะพุ่งออกจากปาก ชี้หลานสาวผู้ที่แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย โมโหไม่ได้ โกรธไม่ได้ เด็กคนนี้ กล้ามากจริงๆ ปากยังไม่ปิด ไม่ว่าคำพูดอะไรก็กล้าพูด
“ท่านปู่ หลานสงสัยจริงๆ นะ” ดวงตาของเสิ่นเวยเปล่งประกาย
ท่านเสิ่นโหวยิ้มก่นด่า “ปู่เจ้าฐานะติดดิน ไม่ใช่คนมักมากในกามเช่นนั้น”
เสิ่นเวยก็ยังไม่เชื่อ กระตุกมุมปาก กล่าวอย่างดูถูก “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฐานะ ชาวบ้านในชนบทเก็บเสบียงสามถังได้มากหน่อยยังคิดจะซื้ออนุภรรยาเลย นี่เป็นสันดานของผู้ชายไม่รู้หรือ ท่านดูพ่อข้าสิ ทำตัวเหมือนท่านลุงใหญ่ท่านลุงรอง มีอนุภรรยาสองสามคนเหมือนกันมิใช่หรือ โดยเฉพาะท่านลุงรอง เรือนหลังจะอยู่ไม่พออยู่แล้ว โชคดีที่ป้าสะใภ้รองมีฝีมือ มิเช่นนั้นหลานชายหลานสาวของท่านคงจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ ท่านไม่เหมือนท่านลุงรองในจวนที่มักมากในกามเช่นนั้นหรือ” เจตนาในคำพูดก็คือท่านพูดความจริงออกมา อย่ามาโกหกข้าเสียให้ยาก
ท่านเสิ่นโหวอยากเอากระบองตีไล่เด็กที่ยั่วโมโหคนผู้นี้ออกไปจริงๆ เขาพูดได้หรือว่าเป็นเพราะลูกคนรองเขาจึงไม่กล้าแต่งอนุภรรยา แม้ว่าลูกคนโตกับลูกคนที่สามจะมีปัญญาทั่วๆ ไป แต่อย่างไรเสียก็ไม่ได้ไขว้ไขวไปไหน ลูกคนโตทำงานหนัก ลูกคนที่สามมีพรสวรรค์ด้านการเรียนหนังสือ ลูกคนรองเพียงคนเดียวที่ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ บุ๋นก็ไม่ได้บู๊ก็ไม่เป็น ทั้งยังมักมากในตัณหา ทำให้เรือนรองเต็มไปด้วยมลทิน เขากลัวว่าจะมีลูกอนุภรรยาที่เป็นแบบนี้อีกจริงๆ ต่อให้เขามีความอดทนมากกว่านี้ก็ดูแลไม่ไหวหรอก
อีกทั้งเขาก็อายุมากแล้ว เรื่องชายหญิงก็ไม่ได้สนใจมากแล้ว ปกติเขายุ่ง ไหนเลยจะมีเวลาไปหาสตรีเด็กสาวที่รู้อกรู้ใจอะไรนั่นกัน
“ท่านปู่ๆ คงไม่ใช่ว่าท่านกลัวจะมีลูกทรพีแบบท่านลุงรองอีกหรอกนะ” เสิ่นเวยละสายตากล่าว
ท่านเสิ่นโหวถูกหลานสาวพูดแทงใจ ใบหน้าที่แก่ชราก็แดงก่ำอย่างอดไม่ได้ เสิ่นเวยเห็นท่าทีแล้วก็รู้ว่าตนทายถูก หัวเราะร่าฮ่าๆ อย่างอดไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าเป็นเหตุผลนี้ คาดไม่ถึงว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ ตลกจริงๆ
ท่านเสิ่นโหวเขินจนพาลโมโห “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก เจ้ายังมีกิริยาของสตรีอยู่อีกหรือไม่ ไม่มีอะไรทำถึงวิ่งมาพูดจาเหลวไหลกับข้าที่นี่หรือ ยังไม่รีบออกไปทำงานอีก” เขาถือโอกาสโยนตะเกียบในมือออกไปด้วย
เสิ่นเวยหลบแล้วจึงวิ่งออกไปข้างนอก “ท่านปู่ๆ ท่านจะโมโหแล้ว อย่างนั้นข้าไปช่วยท่านทำงานก่อนดีกว่า”
ขำแทบตายจริงๆ จู่ๆ นางก็เพิ่งพบว่าตาเฒ่าผู้นี้น่ารักเพียงนี้เลยเชียว
หลังท่านเสิ่นโหวโมโหเสร็จแล้วก็รู้สึกขำขัน จู่ๆ ก็นึกได้ว่ายังไม่ทันได้ถามเรื่องกองทัพเด็กน้อยกลุ่มนั้นในจวนเลย จะเรียกเด็กนั่นกลับมาอีกหรือ คาดว่านางคงวิ่งไปไกลแล้ว
ช่างเถอะๆ ครั้งหน้าค่อยถามแล้วกัน